อาการตรรกะหรือลอจิกบกพร่องนั้นถ้าพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว จะเห็นว่าเกิดจากอคติของคนดีๆนี้เอง ที่เห็นชัดก็คือ อคติเพราะรัก และอคติเพราะเกลียด ไอ้เจ้าอคติ 2 ตัวนี้หละครับ ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้คนปกติสามัญ กลายเป็นคนที่มีตรรกะหรือลอจิกบกพร่องได้ ทีนี้เรามาดูกันว่าในแต่ละกลุ่มการเมืองมีอาการตรรกะหรือลอจิกบกพร่องเป็นอย่างไรกันบ้าง อันดับแรกเริ่มจากกลุ่มคนเสื้อแดง ส่วนใหญ่จะมีอาการลอจิกบกพร่อง ในอคติเพราะรัก คือรักรัฐบาล รักทักษิณ รักยิ่งลักษณ์ รักเพื่อไทย ใครจะมาเบียดเบียนในสิ่งที่ตนรัก ก็เป็นอันได้หาเรื่องหาราวกันแน่นอน อันที่เห็นได้ชัดคือ การขึ้นป้ายของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่มีข้อความว่า "ไม่เอารัฐบาลโกง" ความจริงในเนื้อหาข้อความที่อยู่ในป้ายนั้น ในฐานะประชาชนก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไร ความจริงก็ควรสนับสนุนด้วยซ้ำกับคำว่า "ไม่เอารัฐบาลโกง" คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็จนแล้วจนเล่าโรงพยาบาลดังกล่าวก็ได้รับการเบียดเบียนจากคนเสื้อแดงจนได้ ซึ่งก็เท่ากับว่าโรงพยาบาลดังกล่าวนั้นยอมรับว่า รัฐบาลที่ตนสนับสนุนนั้นโกงจริง สำหรับคนเสื้อแดงก็มีประมาณนี้ครับ ลำดับต่อมาจะเล่าถึงอาการตรรกะหรือลอจิกบกพร่องของกลุ่มการเมืองฝ่าย กปปส. บ้างว่าเป็นอย่างไร สิ่งแรกที่สังเกตได้คือ กลุ่มการเมืองฝ่าย กปปส. นั้นส่วยใหญ่มักจะคิดไปเองว่าตนเองเป็นคนดี ความคิดของตนเอง(ที่คิดเอาเองว่าเป็นคนดี) จะคิดอะไรนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ หากใครเห็นต่างจากตนเอง ถึงแม้เพียงเรื่องเดียวก็ตาม จะถูกผลักไปอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที (ประมาณว่าคนดีต้องคิดเหมือนกู คนคิดต่างกูเป็นคนเลว) แล้วก็จะหากระบวนท่าในการเบียดเบียนฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ การดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ (ผมก็นั่งงงอยู่ว่า ไอ้คนที่มันมีอาการด่าทอ ดูหมิ่นเหยียดหยาม และใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นนั้น มันจะเป็นคนดีไปได้อย่างไร แต่สำหรับพวกเดียวกันคือ กปปส. ต่างก็พาชมกันว่าเป็นคนดี ตรรกะ(ลอจิก)บกพร่องอย่างชัดเจน) ทีนี้เรามาแตกประเด็นกันว่า อาการด่าทอ ดูหมิ่นเหยียดหยาม และใส่ร้ายป้าสีผู้เห็นต่างทางการเมือง ของกลุ่ม กปปส. ผู้กำลังหลงตนเองว่าเป็นคนดีมีอะไรบ้าง ซึ่งก็มีดังนี้
1. การด่าทอ อันนี้มีสารพัด แต่ที่นำมาใช่กันบ่อยส่วนใหญ่จะเป็นคำว่า "ความแดง" ซึ่งผู้ด่าต้องการแค่ความสะใจเท่านั้น
2. การดูหมิ่นหยาม อันนี้หลักๆจะเป็นการ ดูหมิ่นเหยียดหยามในความเป็นมนุษย์ของผู้เห็นต่างทางการเมือง เช่น การดูถูกคนชนบทว่าไร้การศึกษา เป็นคนไม่มีคุณภาพ ไม่ควรมีส่วนร่วมในการเมือง อันเป็นเหตุและปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการขัดขวางการเลือกตั้งในเวลาต่อมา เพราะ กปปส. เข้าใจว่าคนชนบทไม่มีคุณภาพ จึงไม่มีการเคารพสิทธิของคนอื้นซึ่งเห็นต่างกับตน
3. การใส่ร้ายป้ายสี อันนี้หลักน่าจะมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกันคือ 1)ใส่ร้ายป้ายสีผู้เห็นต่างทางการเมืองว่าเป็นผู้ไม่รักชาติ เป็นขี้ข้าทักษิณ 2)ใส่ร้ายป้ายสีผู้เห็นต่างทางการเมืองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ประเด็นที่ 3 นี้มีเหตุการณ์น่าขำอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ผมได้เขียนบทความเรื่อง กปปส. กำลังต่อต้านหรือส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นกันแน่(
http://www.thaiorg.com/topic/3) แล้วนำไปโพสในกลุ่ม Facebook ของกลุ่ม กปปส. บางกลุ่ม และก็เกิดเรื่องที่น่าตลกขบขันขึ้น คือ มีคนมาคอมเม้นว่า คนโพสไม่จงรักภักดี ทั้งที่เนื้อหาในบทความ กปปส. กำลังต่อต้านหรือส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นกันแน่(
http://www.thaiorg.com/topic/3) ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความจงรักภักดี แสดงให้เห็นว่าคนคอมเม้นมีอาการตรรกะหรือลอจิกบกพร่องอย่างชัดแจ้ง 555 ทั้งที่เนื้อหาก็มีแต่เรื่องของการรักษาสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐของประชาชนที่มีอยู่เต็มที่ภายใต้ระบบประชาธิปไตย และผู้เขียนก็ไม่ได้พูดถึงการปกป้องรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ รัฐบาลเป็นอย่างไรนั้นมันไม่สำคัญ ใครทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นเป็นการสมควรแล้ว แต่ที่ผู้เขียนเน้นก็คือ การรักษาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นต้นน้ำของ สิทธิเสรีภาพประชาชนในการตรวจสอบภาครัฐที่มีอย่างเต็มที่ ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบภาครัฐนั้น จะนำมาซึ่ง ขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ มันก็เหมือนกันกับอุดมการณ์ที่ กปปส. อ้างไว้ในการเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนแรก ตั้งแต่เริ่มต้น แต่วันนี้ กปปส. เปลี่ยนไป เป็นผู้ต่อต้านขบวนการทุจริตคอรัปชั่นอยู่ดีๆ แต่ก็กลับมาเป็นผู้ส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นเสียเอง ถามว่าส่งเสริมยังไง คำตอบก็คือ ส่งเสริมด้วยการคิดจะทำปฏิวัติรัฐประหารยังไงเล่าครับ คือการรวบอำนาจจากประชาชนทั้งหมดมาไว้ในมือของ กปปส.ผู้คิดจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจะทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัดลงหลายอย่าง รวมถึงสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐด้วย ซึ่งก็หมายถึง การรจำกัดประสิทธิภาพในการต่อต้านขบวนการทุจริตคอรัปชั่นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการที่ประสิทธิภาพในการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นที่ลดลง ก็หมายถึง การทุจริตคอรัปชั่นจะมีมากขึ้น และความเสียหายต่อประเทศชาติก็จะมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งท่านผู้อ่านอย่าลืมไปนะครับว่า คนที่มีอำนาจนั้นไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นคนปกติสามัญ ที่มีความอยาก ความโลภเป็นปกติอยู่แล้ว และมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า(เงินงบประมาณแผ่นดิน) เป็นอาการธรรมดา ดังนั้นการที่จะแน่ใจหรือมั่นใจว่า ผู้มีอำนาจนั้นยังคงเป็นคนที่ดำรงค์ความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ ไม่ใช่การมอบอำนาจให้คนที่เราคิดว่าเป็นคนดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการตรวจสอบผู้มีอำนาจนั้นอย่างเต็มที่ ได้ตลอดเวลา และในทุกๆเรื่อง ต่างหาก จะเห็นได้ว่าหากเกิดการยึดอำนาจรัฐประหารขึ้น จะทำให้กระบวนการตรวจสอบผู้มีอำนาจ และขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นอันอาจจะเกิดจากผู้ดำรงค์อำนาจในตอนนั้น ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจไม่มีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบผู้มีอำนาจจากการรัฐประหารเลยก็เป็นได้ เพราะผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ ทำอะไรก็ไม่ผิด (ท่านผู้อ่านก็ลองเทียบเคียง คำว่าทำอะไรก็ไม่ผิดของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ กับ การออกกฏหมายล้างผิดคนโกงดูสิครับ ว่ามันไม่ต่างกันเลย) จะเห็นได้ว่าความเลวร้ายในการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้ต่ำไปกว่า การออกกฏหมายล้างผิดให้คนโกงเลย และผมว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้น เลวร้ายยิ่งกว่าการออกกฏหมายล้างผิดคนโกงเสียอีก ท่านผู้อ่านทุกท่านครับก็อย่างที่ทราบกันทุกคนว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การกระทำที่มิชอบของผู้มีอำนาจ ประชาชนสามารถตรวจสอบและต่อต้านได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้มีอำนาจจากการรัฐประหารนั้น(เผด็จการ) คุณอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้มีอำนาจนั้นกำลังทุจริตคอรัปชั่นอะไรอยู่ เนื่องจากจะไม่มีฝ่ายค้านคอยตรวจสอบ และคอยออกมาแฉให้ประชาชนได้รับทราบและต่อต้านการกระทำที่มิชอบของผู้มีอำนาจต่อไป ตัวอย่างที่มีการทุจริตคอรัปชั่นที่ประชาชนไม่รู้เลยในเวลาที่ผู้มีอำนาจดำรงค์อำนาจอยู่ ก็จะเห็นได้จาก เหตุการณ์การยึดทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เนื่องมาจากว่าหลังการเสียชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ มีการแตกแยกกันของผู้รับมรดก จึงทำให้มีการตรวจสอบการได้มาซึ่งทรัพย์สินย้อนหลัง แล้วจึงพบว่าเงินของรัฐถูกยักยอกไปมากมายมหาศาล นี่ท้าผู้รับมรดกไม่แตกแยกกันก็คงไม่มีใครรู้นะเนี๊ย ดังนั้นการมีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐอย่างเต็มที่ของประชาชนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และอย่าไปหลงกลลวงของผู้ที่คิดจะยึดอำนาจนะว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ หลังการยึดอำนาจ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลสำคัญคือ ผู้ก่อการยึดอำนาจก็ต้องการความมั่นคงของตนเองเหมือนกันครับท่าน ดังนั้น ตำแหน่งทางการเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของผู้ก่อการยึดอำนาจ และถ้าหารใครบอกว่าจะปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อทำสำเร็จแล้ว จะไปใช้ชีวิตธรรมดาอยู่ชนบท หากคุณเชื่อคุณก็คิดไม่เป็นแล้ว เพราะเหตุและผลมันไม่ให้ ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เราต่างก็เป็นผู้ปราถนาที่จะเห็นการทุจริตคอรัปชั่นนั้นหมดไปจากประเทศไทย จงใช้สติพิจารณาให้ดี เพราะสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในตรรกะของความเป็นจริงทั้งสิ้น ตอนนี้ กปปส. เปลี่ยนไปแล้ว (อ่านในบทความ
http://www.thaiorg.com/topic/3) ตอนนี้ กปปส. กำลังจะกระทำการยึดอำนาจแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นปฏิปักษ์ต่อต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นปฏิปักษ์ต่อการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การกระทำของ กปปส. ในขณะนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น อย่าชัดแจ้งแจ่มแจ๋ว ผลประโยชน์ของประเทศชาติคือผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด ผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมดก็คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ใครที่ยังสนับสนุน กปปส. อยู่ในขณะนี้ โปรดพิจารณาใหม่โดยรอบคอบและถี่ถ้วนอีกครั้ง เพราะการกระทำของ กปปส. ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติเลวร้ายไปกว่าการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงเสียอีก หากรักในเสรีภาพ อยากให้ประเทศชาติปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแท้จริง ร่วมกันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ร่วมกันต่อต้านการปฏิวัติ ร่วมกันต่อต้านนายกคนกลาง ร่วมกันต่อต้าน กปปส.
ออกมารักษาสิทธิเสรีภาพของตนเองได้แล้วครับ พี่น้องชาวไทย
โดย ก.อักษรสั่ง
(ช่วยกันแชร์บทความนี้ออกไปให้พี่น้องชาวไทยได้รับรู้มากที่สุด)
ที่มา:
http://www.thaiorg.com/topic/10
อาการตรรกะ(ลอจิก)บกพร่องของกลุ่มการเมืองขั้นสาวก
1. การด่าทอ อันนี้มีสารพัด แต่ที่นำมาใช่กันบ่อยส่วนใหญ่จะเป็นคำว่า "ความแดง" ซึ่งผู้ด่าต้องการแค่ความสะใจเท่านั้น
2. การดูหมิ่นหยาม อันนี้หลักๆจะเป็นการ ดูหมิ่นเหยียดหยามในความเป็นมนุษย์ของผู้เห็นต่างทางการเมือง เช่น การดูถูกคนชนบทว่าไร้การศึกษา เป็นคนไม่มีคุณภาพ ไม่ควรมีส่วนร่วมในการเมือง อันเป็นเหตุและปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการขัดขวางการเลือกตั้งในเวลาต่อมา เพราะ กปปส. เข้าใจว่าคนชนบทไม่มีคุณภาพ จึงไม่มีการเคารพสิทธิของคนอื้นซึ่งเห็นต่างกับตน
3. การใส่ร้ายป้ายสี อันนี้หลักน่าจะมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกันคือ 1)ใส่ร้ายป้ายสีผู้เห็นต่างทางการเมืองว่าเป็นผู้ไม่รักชาติ เป็นขี้ข้าทักษิณ 2)ใส่ร้ายป้ายสีผู้เห็นต่างทางการเมืองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ประเด็นที่ 3 นี้มีเหตุการณ์น่าขำอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ผมได้เขียนบทความเรื่อง กปปส. กำลังต่อต้านหรือส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นกันแน่(http://www.thaiorg.com/topic/3) แล้วนำไปโพสในกลุ่ม Facebook ของกลุ่ม กปปส. บางกลุ่ม และก็เกิดเรื่องที่น่าตลกขบขันขึ้น คือ มีคนมาคอมเม้นว่า คนโพสไม่จงรักภักดี ทั้งที่เนื้อหาในบทความ กปปส. กำลังต่อต้านหรือส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นกันแน่(http://www.thaiorg.com/topic/3) ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความจงรักภักดี แสดงให้เห็นว่าคนคอมเม้นมีอาการตรรกะหรือลอจิกบกพร่องอย่างชัดแจ้ง 555 ทั้งที่เนื้อหาก็มีแต่เรื่องของการรักษาสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐของประชาชนที่มีอยู่เต็มที่ภายใต้ระบบประชาธิปไตย และผู้เขียนก็ไม่ได้พูดถึงการปกป้องรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ รัฐบาลเป็นอย่างไรนั้นมันไม่สำคัญ ใครทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นเป็นการสมควรแล้ว แต่ที่ผู้เขียนเน้นก็คือ การรักษาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นต้นน้ำของ สิทธิเสรีภาพประชาชนในการตรวจสอบภาครัฐที่มีอย่างเต็มที่ ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบภาครัฐนั้น จะนำมาซึ่ง ขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ มันก็เหมือนกันกับอุดมการณ์ที่ กปปส. อ้างไว้ในการเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนแรก ตั้งแต่เริ่มต้น แต่วันนี้ กปปส. เปลี่ยนไป เป็นผู้ต่อต้านขบวนการทุจริตคอรัปชั่นอยู่ดีๆ แต่ก็กลับมาเป็นผู้ส่งเสริมขบวนการทุจริตคอรัปชั่นเสียเอง ถามว่าส่งเสริมยังไง คำตอบก็คือ ส่งเสริมด้วยการคิดจะทำปฏิวัติรัฐประหารยังไงเล่าครับ คือการรวบอำนาจจากประชาชนทั้งหมดมาไว้ในมือของ กปปส.ผู้คิดจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจะทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัดลงหลายอย่าง รวมถึงสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐด้วย ซึ่งก็หมายถึง การรจำกัดประสิทธิภาพในการต่อต้านขบวนการทุจริตคอรัปชั่นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการที่ประสิทธิภาพในการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นที่ลดลง ก็หมายถึง การทุจริตคอรัปชั่นจะมีมากขึ้น และความเสียหายต่อประเทศชาติก็จะมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งท่านผู้อ่านอย่าลืมไปนะครับว่า คนที่มีอำนาจนั้นไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นคนปกติสามัญ ที่มีความอยาก ความโลภเป็นปกติอยู่แล้ว และมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า(เงินงบประมาณแผ่นดิน) เป็นอาการธรรมดา ดังนั้นการที่จะแน่ใจหรือมั่นใจว่า ผู้มีอำนาจนั้นยังคงเป็นคนที่ดำรงค์ความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ ไม่ใช่การมอบอำนาจให้คนที่เราคิดว่าเป็นคนดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการตรวจสอบผู้มีอำนาจนั้นอย่างเต็มที่ ได้ตลอดเวลา และในทุกๆเรื่อง ต่างหาก จะเห็นได้ว่าหากเกิดการยึดอำนาจรัฐประหารขึ้น จะทำให้กระบวนการตรวจสอบผู้มีอำนาจ และขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นอันอาจจะเกิดจากผู้ดำรงค์อำนาจในตอนนั้น ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจไม่มีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบผู้มีอำนาจจากการรัฐประหารเลยก็เป็นได้ เพราะผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ ทำอะไรก็ไม่ผิด (ท่านผู้อ่านก็ลองเทียบเคียง คำว่าทำอะไรก็ไม่ผิดของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ กับ การออกกฏหมายล้างผิดคนโกงดูสิครับ ว่ามันไม่ต่างกันเลย) จะเห็นได้ว่าความเลวร้ายในการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้ต่ำไปกว่า การออกกฏหมายล้างผิดให้คนโกงเลย และผมว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้น เลวร้ายยิ่งกว่าการออกกฏหมายล้างผิดคนโกงเสียอีก ท่านผู้อ่านทุกท่านครับก็อย่างที่ทราบกันทุกคนว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การกระทำที่มิชอบของผู้มีอำนาจ ประชาชนสามารถตรวจสอบและต่อต้านได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้มีอำนาจจากการรัฐประหารนั้น(เผด็จการ) คุณอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้มีอำนาจนั้นกำลังทุจริตคอรัปชั่นอะไรอยู่ เนื่องจากจะไม่มีฝ่ายค้านคอยตรวจสอบ และคอยออกมาแฉให้ประชาชนได้รับทราบและต่อต้านการกระทำที่มิชอบของผู้มีอำนาจต่อไป ตัวอย่างที่มีการทุจริตคอรัปชั่นที่ประชาชนไม่รู้เลยในเวลาที่ผู้มีอำนาจดำรงค์อำนาจอยู่ ก็จะเห็นได้จาก เหตุการณ์การยึดทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เนื่องมาจากว่าหลังการเสียชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ มีการแตกแยกกันของผู้รับมรดก จึงทำให้มีการตรวจสอบการได้มาซึ่งทรัพย์สินย้อนหลัง แล้วจึงพบว่าเงินของรัฐถูกยักยอกไปมากมายมหาศาล นี่ท้าผู้รับมรดกไม่แตกแยกกันก็คงไม่มีใครรู้นะเนี๊ย ดังนั้นการมีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบภาครัฐอย่างเต็มที่ของประชาชนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และอย่าไปหลงกลลวงของผู้ที่คิดจะยึดอำนาจนะว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ หลังการยึดอำนาจ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลสำคัญคือ ผู้ก่อการยึดอำนาจก็ต้องการความมั่นคงของตนเองเหมือนกันครับท่าน ดังนั้น ตำแหน่งทางการเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของผู้ก่อการยึดอำนาจ และถ้าหารใครบอกว่าจะปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อทำสำเร็จแล้ว จะไปใช้ชีวิตธรรมดาอยู่ชนบท หากคุณเชื่อคุณก็คิดไม่เป็นแล้ว เพราะเหตุและผลมันไม่ให้ ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เราต่างก็เป็นผู้ปราถนาที่จะเห็นการทุจริตคอรัปชั่นนั้นหมดไปจากประเทศไทย จงใช้สติพิจารณาให้ดี เพราะสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในตรรกะของความเป็นจริงทั้งสิ้น ตอนนี้ กปปส. เปลี่ยนไปแล้ว (อ่านในบทความ http://www.thaiorg.com/topic/3) ตอนนี้ กปปส. กำลังจะกระทำการยึดอำนาจแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นปฏิปักษ์ต่อต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นปฏิปักษ์ต่อการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การกระทำของ กปปส. ในขณะนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อขบวนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น อย่าชัดแจ้งแจ่มแจ๋ว ผลประโยชน์ของประเทศชาติคือผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด ผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหมดก็คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ใครที่ยังสนับสนุน กปปส. อยู่ในขณะนี้ โปรดพิจารณาใหม่โดยรอบคอบและถี่ถ้วนอีกครั้ง เพราะการกระทำของ กปปส. ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติเลวร้ายไปกว่าการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงเสียอีก หากรักในเสรีภาพ อยากให้ประเทศชาติปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแท้จริง ร่วมกันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ร่วมกันต่อต้านการปฏิวัติ ร่วมกันต่อต้านนายกคนกลาง ร่วมกันต่อต้าน กปปส.
ออกมารักษาสิทธิเสรีภาพของตนเองได้แล้วครับ พี่น้องชาวไทย
โดย ก.อักษรสั่ง
(ช่วยกันแชร์บทความนี้ออกไปให้พี่น้องชาวไทยได้รับรู้มากที่สุด)
ที่มา: http://www.thaiorg.com/topic/10