อัลกุรอาน ได้ยกตัวอย่างให้เรารู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายสองคนของท่านนบีอาดัม คือ ฮาบีล และ กอบีล, อัลลฮ์ทรงมีคำสั่งแก่ท่านรอซูลให้เล่าเรื่องราว เกี่ยวกับ ลูกชายสองคนของท่านนบีอาดัมให้แก่ชาวยิวฟัง, ในการที่พระองค์ทรงรับของพลีจาก ฮาบีล และปฏิเสธของพลีจาก กอบีล ซึ่งทำให้ กอบีล โกรธและกล่าวอาฆาตว่า จะฆ่าน้องชายของเขา ฮาบีล (5:27)
น้องชายของเขา ฮาบีล ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมตอบแก่พี่ชายเขาว่าถ้าท่านยื่นมือมาฆ่าฉัน, ฉันก็จะไม่ฆ่าท่าน, เนื่องจากฉันมีความ
ยำเกรงต่ออัลลอฮ์, พระองค์ผู้เป็น ผู้เป็นเจ้าชีวิตของบรรดามวลมนุษย์และชนแห่งมวลวิญญาณทั้งหลาย(5:27-28), ดังนั้นเรื่องบาดหมางนี้ ทำให้เป็นสาเหตุในการที่ กอบีล ฆ่าน้องชายของเขาฮาบีล (5:30), เมื่อฆ่าแล้ว กอบีล ไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพของ ฮาบีล อย่างไร, พระเจ้าก็ส่ง อีกา มาแสดงการขุดคุ้ยดินซึ่งทำให้ กอบีล เกิดความคิดในการฝังซ่อนศพน้องชายของเขา,และเขารู้สึกละอายใจ ในการที่ตัวของเขาไม่มีความคิดและคุณค่าเท่ากับ อีกาตัวนั้น,ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้อธรรมคือผู้ที่ประสพกับความหายนะและจะเป็นผู้มีความเสียใจในที่สุด (5:31)
จากเรื่องราวที่อัลลอฮ์ทรงยกตัวอย่างนี้ พระองค์จึงกล่าวแก่ท่านรอซูล, ในซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) ว่า:
“เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่า
ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว, แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน” (5:32)
จาก ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) นี้ อัลลอฮ์สอนแก่ท่านรอซูลโดยตรงให้เข้าใจถึง การฆาตกรรม ครั้งแรกในมวลมนุษย์ชาติบนโลกนี้, พระองค์อัลลอฮ์,ไม่ได้เล่าเรื่องนี้สำหรับชาวอิสราเอลโดยตรง, แต่บัญญัตินี้เป็นการสอนท่านรอซูลมูฮัมมัด ให้เห็นตัวอย่างเรื่องราวที่อัลลอฮ์ทรงสั่งท่านรอซูลไว้ในบัญญัติ 5:27-31, พระองค์จึงวางให้เป็นกฏหมาย, สำหรับชาวยิวและปวงชนทั้งหลายให้รู้ว่า ถ้า
ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ชาติทั้งมวล
มันเป็นการเข้าใจผิด และความเขลาในการเข้าใจอัลกุรอานบัญญัตินี้ ของมุสลิมและครูสอนศาสนาอิสลามบางท่านที่อธิบายแก่มุสลิมว่า บัญญัตินี้ไม่เกี่ยวกับมุสลิม อัลลอฮ์ไม่ได้ให้บัญญัตินี้แก่ท่านรอซูลมูฮัมมัดแต่ให้เฉพาะชาวยิวเท่านั้น บัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่า, พระองค์อัลลอฮ์ทรงสอนท่านรอซูลมูฮัมมัดว่า, “
การฆ่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งผู้บริสุทธิ์ เปรียบเท่ากับการฆ่ามวลมนุษย์ทั้งโลก”, ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการเสริมสร้างความมีสันติภาพบนโลกนี้ บัญญัตินี้เป็นบัญญัติที่สอนมวลมนุษย์ชาติทั้งหมดให้เข้าใจถึงบาปที่เกิดจากการฆ่าบุคคลที่บริสุทธิ์ โดยปราศจากเหตุผลตามที่ อัลลอฮ์ทรงระบุไว้คือ
การชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดิน
อัลลอฮ์ทรงกล่าววว่า เพราะว่าลูกชายของท่านนะบีอาดัมฆ่าพี่ชายของเขาเราจึงได้ตั้งเป็นกฏหมายให้แก่วงศ์วานของชาวยิว ว่า, ถ้าผู้ใดก็ตามที่ฆ่าผู้ใดก็ตาม, หรือทำการกบฏหรือบ่อนทำลายแผ่นดิน(รัฐ) มันจะมีโทษหรือความผิดเท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด
บัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ใดที่ฆ่ามนุษย์โดยไม่มีเหตุผลเช่นการป้องกันตัว,ชดเเชยชีวิตหนึ่งต่อชีวิตหนึ่ง,เท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด, ทั้งนี้ไม่มีความแตกต่างระหว่างชีวิตของคนๆหนึ่งกับชีวิตของอีกคนหนึ่ง แต่ในทางตรงกันข้าม, ถ้าผู้ใดพยายามที่จะป้องกันการนองเลือด และความสงบสุขในสังคมมนุษย์, เช่นนั้นแล้วมวลชนทั้งหมดจะได้รับการป้องกัน(ความปลอดภัยต่อชีวิต) จากอัลลอฮ์ซึ่งเปรียบเสมือนว่าเขาผู้นั้นได้ช่วยชีวิตของมวลมนุษยชาติทั้งหมด
มีรายงาน จาก อัลอะมัชและบุคคลอื่นๆ กล่าวว่า อะบูซอและห์ กล่าวว่า อะบูฮูรอยระห์ กล่าวว่า “เขาเข้าไปหาท่านอุสมาน เมื่อท่านถูกล้อมอยู่ในบ้านของท่าน,และกล่าวว่า ฉันเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน,ถึงเวลาแล้วที่จะต่อสู้เพื่อป้องกันท่าน, โอท่านผู้ทรงไว้ซึ่งความศรัทธา!
เขา(ท่านอุสมาน)ตอบว่า, โอท่าน อะบู ฮูรอยระห์ มันจะทำให้ท่านพอใจหรือ ที่ท่านจะฆ่าคนทั้งหมด, รวมทั้งตัวฉันด้วย? ฉัน(อะบูฮูรอยระห์) ตอบว่า, “มันไม่ได้ทำให้ฉันพอใจ”, เขา(ท่านอุสมาน)กล่าาว่า “ถ้าท่านฆ่าคนเพียงคนเดียวมันเท่ากับฆ่าปวงชนทั้งหมด, ดังนั้นฉันอนุญาติให้ท่านกลับไป,ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองท่านและมีความปลอดภัยในหน้าที่ของท่าน, ดังนั้นฉันจึงกลับไปและไม่ได้ต่อสู้
อาลี บิน อาบิ ตอฮัล รายงานว่า อิบนุ อับบาส กล่าวว่า “เช่นเดียวกับที่อัลลอฮ์ทรงกล่าวไว้ว่า:
“ถ้าผู้ใดก็ตามที่ฆ่าผู้ใดก็ตาม, หรือทำการกบฏหรือบ่อนทำลายแผ่นดิน(รัฐ) มันจะมีโทษหรือความผิดเท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด,และ ถ้าผู้ใดพยายามที่จะป้องกันการนองเลือด และความสงบสุขในสังคมมนุษย์, เช่นนั้นแล้วมวลชนทั้งหมดจะได้รับการป้องกัน( ความปลอดภัยต่อชีวิต) จากอัลลอฮ์ซึ่งเปรียบเสมือนว่าเขาผู้นั้นได้ช่วยชีวิตของมวลมนุษยชาติทั้งหมด”
ยังมีอีกหลายฮาดีษที่กล่าวไว้ในทำนองนี้, จากความหมายของอัลกุรอานบัญญัตินี้,และฮาดีษ ที่กล่าวมาแล้วแสดงให้เห็นว่า
ซูเราะห์ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) นี้เป็นคำสั่งและคำสอนของ อัลลอฮ์ต่อท่านรอซูลโดยตรง ที่ท่านรอซูลนำมาสอนท่านศอฮาบะห์ผู้ติดตาม, และสอนมุสลิม ในสมัยของท่าน
อีกประการหนึ่ง ถ้ามุสลิมผู้ใดในห้องศาสนานี้, ผู้ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของการประทานอัลกุรอาน, ที่กล่าวว่า บัญญัตินี้ไม่ได้ให้กับท่านรอซูล, แต่ประทานให้ เฉพาะ ชาวยิวเท่านั้น ท่านจะต้องกลับไปทบทวนความรู้ในการศึกษาอัลกุรอานของท่านเสียใหม่ว่า, ท่านให้ความสำคัญในบัญญัติ ของอัลกุรอาน มากเท่าใด อย่าลืมไปว่า อัลลอฮ์ประทานอัลกุรอานทุกๆบัญญัติให้ผ่านท่านรอซูลเท่านั้นไม่ใช่ให้ต่อผู้หนึ่งผู้ใด และถ้าเราเชื่อว่าอัลกุรอานทุกๆบัญญัติเป็นสัจธรรมแล้วก็เท่ากับเราเชื่อในความมีอยู่จริงของอัลลอฮ์และนั้นก็เราเป็นมุสลิมที่มีความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง
มุสลิม จงทำความเข้าใจซูเราะห์ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) "ก่อนที่ท่านจะสนับ อาชญากรรม และ ฆาตกร ทางศาสนา"
อัลกุรอาน ได้ยกตัวอย่างให้เรารู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายสองคนของท่านนบีอาดัม คือ ฮาบีล และ กอบีล, อัลลฮ์ทรงมีคำสั่งแก่ท่านรอซูลให้เล่าเรื่องราว เกี่ยวกับ ลูกชายสองคนของท่านนบีอาดัมให้แก่ชาวยิวฟัง, ในการที่พระองค์ทรงรับของพลีจาก ฮาบีล และปฏิเสธของพลีจาก กอบีล ซึ่งทำให้ กอบีล โกรธและกล่าวอาฆาตว่า จะฆ่าน้องชายของเขา ฮาบีล (5:27)
น้องชายของเขา ฮาบีล ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมตอบแก่พี่ชายเขาว่าถ้าท่านยื่นมือมาฆ่าฉัน, ฉันก็จะไม่ฆ่าท่าน, เนื่องจากฉันมีความ
ยำเกรงต่ออัลลอฮ์, พระองค์ผู้เป็น ผู้เป็นเจ้าชีวิตของบรรดามวลมนุษย์และชนแห่งมวลวิญญาณทั้งหลาย(5:27-28), ดังนั้นเรื่องบาดหมางนี้ ทำให้เป็นสาเหตุในการที่ กอบีล ฆ่าน้องชายของเขาฮาบีล (5:30), เมื่อฆ่าแล้ว กอบีล ไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพของ ฮาบีล อย่างไร, พระเจ้าก็ส่ง อีกา มาแสดงการขุดคุ้ยดินซึ่งทำให้ กอบีล เกิดความคิดในการฝังซ่อนศพน้องชายของเขา,และเขารู้สึกละอายใจ ในการที่ตัวของเขาไม่มีความคิดและคุณค่าเท่ากับ อีกาตัวนั้น,ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้อธรรมคือผู้ที่ประสพกับความหายนะและจะเป็นผู้มีความเสียใจในที่สุด (5:31)
จากเรื่องราวที่อัลลอฮ์ทรงยกตัวอย่างนี้ พระองค์จึงกล่าวแก่ท่านรอซูล, ในซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) ว่า:
“เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่าผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว, แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน” (5:32)
จาก ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) นี้ อัลลอฮ์สอนแก่ท่านรอซูลโดยตรงให้เข้าใจถึง การฆาตกรรม ครั้งแรกในมวลมนุษย์ชาติบนโลกนี้, พระองค์อัลลอฮ์,ไม่ได้เล่าเรื่องนี้สำหรับชาวอิสราเอลโดยตรง, แต่บัญญัตินี้เป็นการสอนท่านรอซูลมูฮัมมัด ให้เห็นตัวอย่างเรื่องราวที่อัลลอฮ์ทรงสั่งท่านรอซูลไว้ในบัญญัติ 5:27-31, พระองค์จึงวางให้เป็นกฏหมาย, สำหรับชาวยิวและปวงชนทั้งหลายให้รู้ว่า ถ้าผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ชาติทั้งมวล
มันเป็นการเข้าใจผิด และความเขลาในการเข้าใจอัลกุรอานบัญญัตินี้ ของมุสลิมและครูสอนศาสนาอิสลามบางท่านที่อธิบายแก่มุสลิมว่า บัญญัตินี้ไม่เกี่ยวกับมุสลิม อัลลอฮ์ไม่ได้ให้บัญญัตินี้แก่ท่านรอซูลมูฮัมมัดแต่ให้เฉพาะชาวยิวเท่านั้น บัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่า, พระองค์อัลลอฮ์ทรงสอนท่านรอซูลมูฮัมมัดว่า, “การฆ่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งผู้บริสุทธิ์ เปรียบเท่ากับการฆ่ามวลมนุษย์ทั้งโลก”, ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการเสริมสร้างความมีสันติภาพบนโลกนี้ บัญญัตินี้เป็นบัญญัติที่สอนมวลมนุษย์ชาติทั้งหมดให้เข้าใจถึงบาปที่เกิดจากการฆ่าบุคคลที่บริสุทธิ์ โดยปราศจากเหตุผลตามที่ อัลลอฮ์ทรงระบุไว้คือ การชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดิน
อัลลอฮ์ทรงกล่าววว่า เพราะว่าลูกชายของท่านนะบีอาดัมฆ่าพี่ชายของเขาเราจึงได้ตั้งเป็นกฏหมายให้แก่วงศ์วานของชาวยิว ว่า, ถ้าผู้ใดก็ตามที่ฆ่าผู้ใดก็ตาม, หรือทำการกบฏหรือบ่อนทำลายแผ่นดิน(รัฐ) มันจะมีโทษหรือความผิดเท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด
บัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ใดที่ฆ่ามนุษย์โดยไม่มีเหตุผลเช่นการป้องกันตัว,ชดเเชยชีวิตหนึ่งต่อชีวิตหนึ่ง,เท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด, ทั้งนี้ไม่มีความแตกต่างระหว่างชีวิตของคนๆหนึ่งกับชีวิตของอีกคนหนึ่ง แต่ในทางตรงกันข้าม, ถ้าผู้ใดพยายามที่จะป้องกันการนองเลือด และความสงบสุขในสังคมมนุษย์, เช่นนั้นแล้วมวลชนทั้งหมดจะได้รับการป้องกัน(ความปลอดภัยต่อชีวิต) จากอัลลอฮ์ซึ่งเปรียบเสมือนว่าเขาผู้นั้นได้ช่วยชีวิตของมวลมนุษยชาติทั้งหมด
มีรายงาน จาก อัลอะมัชและบุคคลอื่นๆ กล่าวว่า อะบูซอและห์ กล่าวว่า อะบูฮูรอยระห์ กล่าวว่า “เขาเข้าไปหาท่านอุสมาน เมื่อท่านถูกล้อมอยู่ในบ้านของท่าน,และกล่าวว่า ฉันเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน,ถึงเวลาแล้วที่จะต่อสู้เพื่อป้องกันท่าน, โอท่านผู้ทรงไว้ซึ่งความศรัทธา!
เขา(ท่านอุสมาน)ตอบว่า, โอท่าน อะบู ฮูรอยระห์ มันจะทำให้ท่านพอใจหรือ ที่ท่านจะฆ่าคนทั้งหมด, รวมทั้งตัวฉันด้วย? ฉัน(อะบูฮูรอยระห์) ตอบว่า, “มันไม่ได้ทำให้ฉันพอใจ”, เขา(ท่านอุสมาน)กล่าาว่า “ถ้าท่านฆ่าคนเพียงคนเดียวมันเท่ากับฆ่าปวงชนทั้งหมด, ดังนั้นฉันอนุญาติให้ท่านกลับไป,ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองท่านและมีความปลอดภัยในหน้าที่ของท่าน, ดังนั้นฉันจึงกลับไปและไม่ได้ต่อสู้
อาลี บิน อาบิ ตอฮัล รายงานว่า อิบนุ อับบาส กล่าวว่า “เช่นเดียวกับที่อัลลอฮ์ทรงกล่าวไว้ว่า:
“ถ้าผู้ใดก็ตามที่ฆ่าผู้ใดก็ตาม, หรือทำการกบฏหรือบ่อนทำลายแผ่นดิน(รัฐ) มันจะมีโทษหรือความผิดเท่ากับเขาผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษยชาติทั้งหมด,และ ถ้าผู้ใดพยายามที่จะป้องกันการนองเลือด และความสงบสุขในสังคมมนุษย์, เช่นนั้นแล้วมวลชนทั้งหมดจะได้รับการป้องกัน( ความปลอดภัยต่อชีวิต) จากอัลลอฮ์ซึ่งเปรียบเสมือนว่าเขาผู้นั้นได้ช่วยชีวิตของมวลมนุษยชาติทั้งหมด”
ยังมีอีกหลายฮาดีษที่กล่าวไว้ในทำนองนี้, จากความหมายของอัลกุรอานบัญญัตินี้,และฮาดีษ ที่กล่าวมาแล้วแสดงให้เห็นว่า
ซูเราะห์ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ 32 (5:32) นี้เป็นคำสั่งและคำสอนของ อัลลอฮ์ต่อท่านรอซูลโดยตรง ที่ท่านรอซูลนำมาสอนท่านศอฮาบะห์ผู้ติดตาม, และสอนมุสลิม ในสมัยของท่าน
อีกประการหนึ่ง ถ้ามุสลิมผู้ใดในห้องศาสนานี้, ผู้ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของการประทานอัลกุรอาน, ที่กล่าวว่า บัญญัตินี้ไม่ได้ให้กับท่านรอซูล, แต่ประทานให้ เฉพาะ ชาวยิวเท่านั้น ท่านจะต้องกลับไปทบทวนความรู้ในการศึกษาอัลกุรอานของท่านเสียใหม่ว่า, ท่านให้ความสำคัญในบัญญัติ ของอัลกุรอาน มากเท่าใด อย่าลืมไปว่า อัลลอฮ์ประทานอัลกุรอานทุกๆบัญญัติให้ผ่านท่านรอซูลเท่านั้นไม่ใช่ให้ต่อผู้หนึ่งผู้ใด และถ้าเราเชื่อว่าอัลกุรอานทุกๆบัญญัติเป็นสัจธรรมแล้วก็เท่ากับเราเชื่อในความมีอยู่จริงของอัลลอฮ์และนั้นก็เราเป็นมุสลิมที่มีความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง