ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๕ ผู้ต้องสงสัย
http://ppantip.com/topic/31835690
“ฉันว่าเราย้ายพี่พงษ์เข้ารักษาต่อที่กรุงเทพฯ ดีกว่านะแก้ว ผ่าหัวกระสุนออกแล้ว พี่พงษ์เองก็พ้นขีดอันตรายแล้ว” ศศิเสนอขึ้น ภายหลังตกลงกับภูชิตว่าจะเดินทางกลับกรุงเทพฯบ่ายนี้ ในขณะที่ทอฝันก็จะขอติดรถกลับไปด้วย ส่วนดนัยบอกว่าจะขออยู่ดูอาการแสงพงษ์และตามเรื่องของสายแพรก่อน
“แต่ตอนนี้พี่พงษ์ยังไม่รู้สึกตัว นั่งรถนานๆ ฉันกลัวว่าแผลจะกระทบกระเทือน แล้วอีกอย่าง...สายแพร เราเองก็ยังไม่รู้ว่าป่านนี้สายแพรจะเป็นตายร้ายดียังไง...” กิ่งแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง ศศิมีลูกชายที่ต้องดูแล ทั้งการงานที่บริษัทเองก็ยังค้างอยู่มาก แม้ใจจริงเธอจะยังไม่อยากจากพวกเขาไปตอนนี้เลย แต่ก็คงจะอยู่ต่อนานกว่านี้ไม่ได้
“ถ้าเธอว่าอย่างนั้น... ก็แล้วแต่เธอละกันนะ พี่พงษ์เขาไม่มีญาติที่ไหนใช่มั้ย” จบคำ กิ่งแก้วหันมาพยักหน้าเบาๆ ให้กับผู้เป็นเพื่อน ศศิยื่นมือไปบีบแขนกิ่งแก้วเบาๆ
“เขาเหลือแต่เธอแล้วหละแก้ว เธอคือหลักสุดท้ายที่เขาจะพึ่งพิงได้ ฉันมั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พวกฉันจะคอยให้กำลังใจเธอ และยินดีจะช่วยเหลือทุกอย่างนะ”
“ขอบใจนะศศิ... ขอบคุณมากจ้ะ” กิ่งแก้วยิ้มทั้งน้ำตา แล้วก็หวนนึกไปถึงตอนตกลงปลงใจเป็นแฟนกับแสงพงษ์ใหม่ๆ เขาพร่ำบอกเธอเสมอว่าตนเองไม่มีอะไรเลย ไม่อาจจะดูแลใครได้ เขากลัวการสูญเสีย กลัวความเจ็บปวด หากเขาต้องพบเจอมรสุมใดๆ ในชีวิต ก็ขอให้เขาได้รับทุกข์นั้นแต่เพียงผู้เดียว ไม่อยากแบ่งมันให้กับใคร
แต่เป็นเธอนั่นแหละที่เห็นความคิดของเขาว่าช่างตลกสิ้นดี มีใครในโลกนี้บ้างที่ไม่กลัวการสูญเสีย เขาไม่อยากแบ่งทุกข์ให้กับคนอื่น แล้วเขาไม่เป็นคนใจร้ายหน่อยหรือที่จะไม่ยอมแบ่งปันความสุขร่วมกับใคร... กิ่งแก้วไม่เคยคิดจะโหยหาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เพราะชีวิตของเธอเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก สิ่งที่เธอขาด แสงพงษ์กลับมี และสิ่งที่แสงษ์ขาด เธอก็พร้อมที่จะเติมเต็มให้เขา เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน และแสงพงษ์คอยดับไฟนั้นด้วยจิตใจอันสุขุมเยือกเย็น แสงพงษ์พูดน้อยและไม่ค่อยมีสังคม โดดเดี่ยว เงียบและเก็บตัว และเธอเป็นคนพาเขาให้ออกมารู้จักสีสันของชีวิต ทำให้เขามีรอยยิ้ม ทำให้เขาหัวเราะร่วมไปกับเธอ เธอจะไม่ขอโทษใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้ขึ้น
แต่เธอจะขอโทษตัวเธอเอง โทษที่วันนั้นเธอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ถ้าคืนนั้นเธอตามเขาขึ้นไปบนผาเวิ้งเหว เธออาจจะได้ปกป้องเขา อาจได้ปกป้องคนรักของเธอ ได้อยู่เคียงข้างเขาในขณะที่เขาเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายนั้น แต่เธอกลับเลือกเอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่
กิ่งแก้วนั่งก้มหน้านิ่ง สองมือประสานกันไว้บนตัก พริ้มตาหลับลงอย่างช้าๆ พร้อมกับหยดน้ำตาอุ่นๆ ที่เคลียคลอสองแก้มลงมาเป็นทาง...
“สีหน้าเธอดูแปลกๆ ไปนะฝน ตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว กังวลเรื่องอะไรรึเปล่า ?” เสียงร้องทักของปราณทำให้คนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยานต้องสะดุ้งน้อยๆ ชายหนุ่มเดินเนิบนาบ ก่อนทรุดกายลงนั่งเคียงข้างฝนทิพย์
“ก็... แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” คนพูดยังคงเงยหน้ามองกิ่งก้านของต้นสักเบื้องหน้า
“คิดเรื่องเมื่อคืนล่ะสิ เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็จะออกไปที่จุดใต้ผาเวิ้งเหวแล้วนะ” คำพูดของปราณทำให้ฝนทิพย์ตาโตขึ้นมาทันที หญิงสาวกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน อาการร้อนรนจนปราณอดสงสัยไม่ได้
“จริงเหรอ ? แล้วนายไปด้วยรึเปล่า ? แล้ว...เอ่อ... ฉันขอตามไปด้วยได้มั้ย?”
“ฉันน่ะต้องไปอยู่แล้ว ส่วนเธอ... จะไปด้วยทำไม ? เป็นสาวเป็นแส้เข้าป่าไปกับผู้ชายไม่ดีนะจ๊ะ” ปราณตีคิ้วใส่ก่อนที่ฝนทิพย์จะตบแขนเข้าให้
“อย่ามากวนนะปราณ ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเข้าป่าเลย ฉันก็แค่อยากไปดูจุดที่อยู่ใต้หน้าผาเท่านั้นแหละ”
“แต่มันไกลนา... เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ กว่าจะเดินลงไปถึงที่นั่นต้องอ้อมเขาไปอีกตั้งสองลูก ระยะทางเกือบหกกิโลฯ เดี๋ยวเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาใครจะแบกเธอกลับจ๊ะแม่คุณ”
“ไอ้ปราณ... ฉันบอกว่าจะไป ฉันก็ต้องไปให้ได้ แกไปบอกพี่พนมด้วยนะว่าให้รอฉันด้วย ขอไปเตรียมตัวก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งดุ่มๆ กลับไปยังบ้านพัก ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่วายร้องแซวตามหลัง
“อย่าลืมเตรียมยาหอม ยาดม ยาอม ยาหม่องมาด้วยนะจ๊ะ แม่สาวนางไพร...”
ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๖ ไร้เงาสายแพร
http://ppantip.com/topic/31835690
“ฉันว่าเราย้ายพี่พงษ์เข้ารักษาต่อที่กรุงเทพฯ ดีกว่านะแก้ว ผ่าหัวกระสุนออกแล้ว พี่พงษ์เองก็พ้นขีดอันตรายแล้ว” ศศิเสนอขึ้น ภายหลังตกลงกับภูชิตว่าจะเดินทางกลับกรุงเทพฯบ่ายนี้ ในขณะที่ทอฝันก็จะขอติดรถกลับไปด้วย ส่วนดนัยบอกว่าจะขออยู่ดูอาการแสงพงษ์และตามเรื่องของสายแพรก่อน
“แต่ตอนนี้พี่พงษ์ยังไม่รู้สึกตัว นั่งรถนานๆ ฉันกลัวว่าแผลจะกระทบกระเทือน แล้วอีกอย่าง...สายแพร เราเองก็ยังไม่รู้ว่าป่านนี้สายแพรจะเป็นตายร้ายดียังไง...” กิ่งแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง ศศิมีลูกชายที่ต้องดูแล ทั้งการงานที่บริษัทเองก็ยังค้างอยู่มาก แม้ใจจริงเธอจะยังไม่อยากจากพวกเขาไปตอนนี้เลย แต่ก็คงจะอยู่ต่อนานกว่านี้ไม่ได้
“ถ้าเธอว่าอย่างนั้น... ก็แล้วแต่เธอละกันนะ พี่พงษ์เขาไม่มีญาติที่ไหนใช่มั้ย” จบคำ กิ่งแก้วหันมาพยักหน้าเบาๆ ให้กับผู้เป็นเพื่อน ศศิยื่นมือไปบีบแขนกิ่งแก้วเบาๆ
“เขาเหลือแต่เธอแล้วหละแก้ว เธอคือหลักสุดท้ายที่เขาจะพึ่งพิงได้ ฉันมั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พวกฉันจะคอยให้กำลังใจเธอ และยินดีจะช่วยเหลือทุกอย่างนะ”
“ขอบใจนะศศิ... ขอบคุณมากจ้ะ” กิ่งแก้วยิ้มทั้งน้ำตา แล้วก็หวนนึกไปถึงตอนตกลงปลงใจเป็นแฟนกับแสงพงษ์ใหม่ๆ เขาพร่ำบอกเธอเสมอว่าตนเองไม่มีอะไรเลย ไม่อาจจะดูแลใครได้ เขากลัวการสูญเสีย กลัวความเจ็บปวด หากเขาต้องพบเจอมรสุมใดๆ ในชีวิต ก็ขอให้เขาได้รับทุกข์นั้นแต่เพียงผู้เดียว ไม่อยากแบ่งมันให้กับใคร
แต่เป็นเธอนั่นแหละที่เห็นความคิดของเขาว่าช่างตลกสิ้นดี มีใครในโลกนี้บ้างที่ไม่กลัวการสูญเสีย เขาไม่อยากแบ่งทุกข์ให้กับคนอื่น แล้วเขาไม่เป็นคนใจร้ายหน่อยหรือที่จะไม่ยอมแบ่งปันความสุขร่วมกับใคร... กิ่งแก้วไม่เคยคิดจะโหยหาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เพราะชีวิตของเธอเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก สิ่งที่เธอขาด แสงพงษ์กลับมี และสิ่งที่แสงษ์ขาด เธอก็พร้อมที่จะเติมเต็มให้เขา เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน และแสงพงษ์คอยดับไฟนั้นด้วยจิตใจอันสุขุมเยือกเย็น แสงพงษ์พูดน้อยและไม่ค่อยมีสังคม โดดเดี่ยว เงียบและเก็บตัว และเธอเป็นคนพาเขาให้ออกมารู้จักสีสันของชีวิต ทำให้เขามีรอยยิ้ม ทำให้เขาหัวเราะร่วมไปกับเธอ เธอจะไม่ขอโทษใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้ขึ้น
แต่เธอจะขอโทษตัวเธอเอง โทษที่วันนั้นเธอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ถ้าคืนนั้นเธอตามเขาขึ้นไปบนผาเวิ้งเหว เธออาจจะได้ปกป้องเขา อาจได้ปกป้องคนรักของเธอ ได้อยู่เคียงข้างเขาในขณะที่เขาเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายนั้น แต่เธอกลับเลือกเอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่
กิ่งแก้วนั่งก้มหน้านิ่ง สองมือประสานกันไว้บนตัก พริ้มตาหลับลงอย่างช้าๆ พร้อมกับหยดน้ำตาอุ่นๆ ที่เคลียคลอสองแก้มลงมาเป็นทาง...
“สีหน้าเธอดูแปลกๆ ไปนะฝน ตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว กังวลเรื่องอะไรรึเปล่า ?” เสียงร้องทักของปราณทำให้คนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยานต้องสะดุ้งน้อยๆ ชายหนุ่มเดินเนิบนาบ ก่อนทรุดกายลงนั่งเคียงข้างฝนทิพย์
“ก็... แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” คนพูดยังคงเงยหน้ามองกิ่งก้านของต้นสักเบื้องหน้า
“คิดเรื่องเมื่อคืนล่ะสิ เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็จะออกไปที่จุดใต้ผาเวิ้งเหวแล้วนะ” คำพูดของปราณทำให้ฝนทิพย์ตาโตขึ้นมาทันที หญิงสาวกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน อาการร้อนรนจนปราณอดสงสัยไม่ได้
“จริงเหรอ ? แล้วนายไปด้วยรึเปล่า ? แล้ว...เอ่อ... ฉันขอตามไปด้วยได้มั้ย?”
“ฉันน่ะต้องไปอยู่แล้ว ส่วนเธอ... จะไปด้วยทำไม ? เป็นสาวเป็นแส้เข้าป่าไปกับผู้ชายไม่ดีนะจ๊ะ” ปราณตีคิ้วใส่ก่อนที่ฝนทิพย์จะตบแขนเข้าให้
“อย่ามากวนนะปราณ ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเข้าป่าเลย ฉันก็แค่อยากไปดูจุดที่อยู่ใต้หน้าผาเท่านั้นแหละ”
“แต่มันไกลนา... เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ กว่าจะเดินลงไปถึงที่นั่นต้องอ้อมเขาไปอีกตั้งสองลูก ระยะทางเกือบหกกิโลฯ เดี๋ยวเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาใครจะแบกเธอกลับจ๊ะแม่คุณ”
“ไอ้ปราณ... ฉันบอกว่าจะไป ฉันก็ต้องไปให้ได้ แกไปบอกพี่พนมด้วยนะว่าให้รอฉันด้วย ขอไปเตรียมตัวก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งดุ่มๆ กลับไปยังบ้านพัก ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่วายร้องแซวตามหลัง
“อย่าลืมเตรียมยาหอม ยาดม ยาอม ยาหม่องมาด้วยนะจ๊ะ แม่สาวนางไพร...”