สุดสัปดาห์นี้ผมมีภาระกิจกลับไปบ้านนอก ไปปลูกมะเขือออแกนิกส์
เย็นวันศุกร์ผมโทรชวนเธอแล้ว เธอบอกว่าแม่เธอจะมาค้างด้วยไปไม่ได้
'เหนื่อยคนเดียวอีกแล้วตรู' ผมคิดในใจ
เย็นวันศุกร์
มะเขือเปาะที่เพาะไว้สองสัปดาห์ ถูกลำเรียงขึ้นหลังรถ พร้อมอุปกรณ์จำเป็นในการทำเกษตร ผมใช้เวลาสองชั่วโมงขับรถจากบางบัวทอง มาราชบุรี ผมชอบขับกลางคืน รถว่างดี
เช้าวันเสาร์
เริ่มงานตามแผน
ผมมีกล้ามะเขือ อยุ่ 176 ต้น จากสองกระบะ
ข้อมูลจากเน็ดให้ปลูกห่างกัน 70 ซม และทำเป็นแปลงคู่
ผมจะทำแปลงขนาด 1.5 X 10 ม. 5 แปลง เว้นระยะห่างระหว่างแปลง 50 ซม.
คำนวนแล้วจะปลูกมะเขือได้ 150 ต้น
สายวันเสาร์
หลังจากคำนวณเสร็จ ผมลงมือ เครื่องไม้เครื่องมือพร้อมครับ เป็าหมายคือเย็นนี้ต้องเสร็จ กล้ามะเขือเปาะทั้งหมดต้องลงไปอยู่ในแปลง แดดแรงขึ้นเรี่อย ๆ แต่ลมช่วยพัด ช่วยระบายความร้อนออกไปได้เยอะ รู้สึกร้อนแต่สะบายด้วยซ้ำ แปลกนะ เวลาเราอยู่ในรถ หรือห้องแอร์ เราเห็นคนทำงานกลางแจ้ง เราจะรู้สึกว่ามันน่าจะร้อนมาก จนเราคิดว่า 'เค้าทนกันได้อย่างไร' แต่พอมาสำผัสจริง มันก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิดหรอก
บ่ายวันเสาร์ เสียงพ่อตะโกนเรียกกินข้าว
แปลงมะเขือความยาว 10 เมตร 5 แปลง เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ผมใช้ กะทา (ผมว่าคุณบางคนคงไม่รู้จักหรอก) เกลี่ยดินในแปลงให้เสมอ แล้วรถน้ำให้ชุ่ม ก่อนพักกินข้าว
"ทำงานเป็นตาเถรอดเพลไปได้" ....พ่อตะโกนบอก
งานช่วงบ่าย
เริ่มงานปูแผ่นผลาสติกสีดำ คราวานี้แหละ ปัญหา เพราะผมต้องทำงานคนเดียว ลมพัดแรง มันต้องมีคนสองคนจับแผ่นพลาสติกคนละด้านแล้วปูลงไปบนแปลงดิน หลังจากนั้นก็นำไม้ไผ่เสียบลงไปเป็นสมอบก ...แต่ผมก็แก้ปัญหาได้ นึกถึงเธอ ถ้าเธอมาช่วยงานคงเร็วขึ้นเยอะ หลังจากปูแผ่นปลาสติกเสร็จแล้ว ก็เริ่มงานเจาะรู พลาสติก ผมนั่ง ๆ ยืน ๆ 150 ครั้ง กลางแดดเดือนมีนาคม ตอนบ่ายสอง มีหลายครั้งที่ลุกขึ้นมามันหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม แต่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เหลือบไปเห็นแม่วัยไกล้ 70 เดินหว่านปุ๋ยในนา ยังนึกระอายอยู่ใจ ทำไมเราอ่อนแอจริง
เจาะรูเสร็จก็ถึงงานเจาะหลุม อันนี้ไม่ยาก ยืนทำได้ แค่หาไม้มาเหลาปลายให้แหลม แล้ว กระทุ้งกลางรูพลาสติกที่เจาะไว้ ให้เป็นรูพอที่ตุ้มมะเขือจะใส่ลงไปได้ ผมพยายาม ทำงานให้เสร็จ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เสร็จจนได้ ยังเหลืออีก 1 แปลง (30 ต้น) แม่มาเรียกไปกินข้าวตอนไกล้มืด แม่บอกที่เหลือเดี๋ยวแม่ทำเอง ผมไม่ค่อยจะไว้ใจพ่อกับแม่เลย
เมื่อเช้าระหว่างทานข้าว พ่อเปรยมาว่า
"กูต่อสายตรงจากปั้มรดน้ำมะเขือเลย ไวดี" (โทษนะบ้านนอก พ่อใช้คำว่า กู) เป็นเรื่องปกติ
ผมนึกในใจ 'โห... แล้วต้นมะเขือโดนแรงน้ำตรง ๆ แบบนั้น ม้นไม่ล้มระเนระนาดไปหมดหรือนี่'
ส่วนแม่ เคยพูดว่า "ปลูกพืชไม่ใส่ปุ่ยมันไม่ได้กินหรอก แม่ท้าเลย" ....อันนี้ก็ถึงกับท้าเลย
แล้วผมจะไว้ใจใครได้เนี่ยะ ..
ผมน่าจะเสร็จงานพรู่งนี้สาย ๆ แล้วกลับไปเลือกตั้ง
หลังจากนั้นผมจะไม่ได้มาอีก 2สัปดาห์ ...เป็นห่วง
เป็นห่วงว่า มะเขือเทศออแกนิกส์ จะมีคนแอบเอาปุ๋ยเคมีมาใส่
เป็นห่วงว่า กล้ามะเขือเปาะของผม จะสลบไสล หรืออาจถึงกับตาย เพราะการรดน้ำแบบสายตรงจากปั้ม ทั้ง ๆ ที่ผมมีโอ่งน้ำ มีฝักบัวให้
พรุ่งนี้ก่อนกลับต้องกำชับ จะว่าเป็นนลูกสั่งสอนพ่อแม่ก็ต้องยอม
เตรียมวัดที่ ทำแปลงมะเขือ
เป็นรูปเป็นร่าง แล้ว
สองสาวน้อย ปั่นจักรยานเล่นแถวนั้น แวะมาให้กำลังใจ
ปู + เจาะแผ่นพลาสติก เสร็จแล้ว
เสร็จงาน แต่งานยังไม่เสร็จ
ต้นมะละกอ สวยดี เลยถ่ายมา
มะเขือ ออแกนิกส์ (เล่าให้ฟัง )
เย็นวันศุกร์ผมโทรชวนเธอแล้ว เธอบอกว่าแม่เธอจะมาค้างด้วยไปไม่ได้
'เหนื่อยคนเดียวอีกแล้วตรู' ผมคิดในใจ
เย็นวันศุกร์
มะเขือเปาะที่เพาะไว้สองสัปดาห์ ถูกลำเรียงขึ้นหลังรถ พร้อมอุปกรณ์จำเป็นในการทำเกษตร ผมใช้เวลาสองชั่วโมงขับรถจากบางบัวทอง มาราชบุรี ผมชอบขับกลางคืน รถว่างดี
เช้าวันเสาร์
เริ่มงานตามแผน
ผมมีกล้ามะเขือ อยุ่ 176 ต้น จากสองกระบะ
ข้อมูลจากเน็ดให้ปลูกห่างกัน 70 ซม และทำเป็นแปลงคู่
ผมจะทำแปลงขนาด 1.5 X 10 ม. 5 แปลง เว้นระยะห่างระหว่างแปลง 50 ซม.
คำนวนแล้วจะปลูกมะเขือได้ 150 ต้น
สายวันเสาร์
หลังจากคำนวณเสร็จ ผมลงมือ เครื่องไม้เครื่องมือพร้อมครับ เป็าหมายคือเย็นนี้ต้องเสร็จ กล้ามะเขือเปาะทั้งหมดต้องลงไปอยู่ในแปลง แดดแรงขึ้นเรี่อย ๆ แต่ลมช่วยพัด ช่วยระบายความร้อนออกไปได้เยอะ รู้สึกร้อนแต่สะบายด้วยซ้ำ แปลกนะ เวลาเราอยู่ในรถ หรือห้องแอร์ เราเห็นคนทำงานกลางแจ้ง เราจะรู้สึกว่ามันน่าจะร้อนมาก จนเราคิดว่า 'เค้าทนกันได้อย่างไร' แต่พอมาสำผัสจริง มันก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิดหรอก
บ่ายวันเสาร์ เสียงพ่อตะโกนเรียกกินข้าว
แปลงมะเขือความยาว 10 เมตร 5 แปลง เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ผมใช้ กะทา (ผมว่าคุณบางคนคงไม่รู้จักหรอก) เกลี่ยดินในแปลงให้เสมอ แล้วรถน้ำให้ชุ่ม ก่อนพักกินข้าว
"ทำงานเป็นตาเถรอดเพลไปได้" ....พ่อตะโกนบอก
งานช่วงบ่าย
เริ่มงานปูแผ่นผลาสติกสีดำ คราวานี้แหละ ปัญหา เพราะผมต้องทำงานคนเดียว ลมพัดแรง มันต้องมีคนสองคนจับแผ่นพลาสติกคนละด้านแล้วปูลงไปบนแปลงดิน หลังจากนั้นก็นำไม้ไผ่เสียบลงไปเป็นสมอบก ...แต่ผมก็แก้ปัญหาได้ นึกถึงเธอ ถ้าเธอมาช่วยงานคงเร็วขึ้นเยอะ หลังจากปูแผ่นปลาสติกเสร็จแล้ว ก็เริ่มงานเจาะรู พลาสติก ผมนั่ง ๆ ยืน ๆ 150 ครั้ง กลางแดดเดือนมีนาคม ตอนบ่ายสอง มีหลายครั้งที่ลุกขึ้นมามันหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม แต่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เหลือบไปเห็นแม่วัยไกล้ 70 เดินหว่านปุ๋ยในนา ยังนึกระอายอยู่ใจ ทำไมเราอ่อนแอจริง
เจาะรูเสร็จก็ถึงงานเจาะหลุม อันนี้ไม่ยาก ยืนทำได้ แค่หาไม้มาเหลาปลายให้แหลม แล้ว กระทุ้งกลางรูพลาสติกที่เจาะไว้ ให้เป็นรูพอที่ตุ้มมะเขือจะใส่ลงไปได้ ผมพยายาม ทำงานให้เสร็จ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เสร็จจนได้ ยังเหลืออีก 1 แปลง (30 ต้น) แม่มาเรียกไปกินข้าวตอนไกล้มืด แม่บอกที่เหลือเดี๋ยวแม่ทำเอง ผมไม่ค่อยจะไว้ใจพ่อกับแม่เลย
เมื่อเช้าระหว่างทานข้าว พ่อเปรยมาว่า
"กูต่อสายตรงจากปั้มรดน้ำมะเขือเลย ไวดี" (โทษนะบ้านนอก พ่อใช้คำว่า กู) เป็นเรื่องปกติ
ผมนึกในใจ 'โห... แล้วต้นมะเขือโดนแรงน้ำตรง ๆ แบบนั้น ม้นไม่ล้มระเนระนาดไปหมดหรือนี่'
ส่วนแม่ เคยพูดว่า "ปลูกพืชไม่ใส่ปุ่ยมันไม่ได้กินหรอก แม่ท้าเลย" ....อันนี้ก็ถึงกับท้าเลย
แล้วผมจะไว้ใจใครได้เนี่ยะ ..
ผมน่าจะเสร็จงานพรู่งนี้สาย ๆ แล้วกลับไปเลือกตั้ง
หลังจากนั้นผมจะไม่ได้มาอีก 2สัปดาห์ ...เป็นห่วง
เป็นห่วงว่า มะเขือเทศออแกนิกส์ จะมีคนแอบเอาปุ๋ยเคมีมาใส่
เป็นห่วงว่า กล้ามะเขือเปาะของผม จะสลบไสล หรืออาจถึงกับตาย เพราะการรดน้ำแบบสายตรงจากปั้ม ทั้ง ๆ ที่ผมมีโอ่งน้ำ มีฝักบัวให้
พรุ่งนี้ก่อนกลับต้องกำชับ จะว่าเป็นนลูกสั่งสอนพ่อแม่ก็ต้องยอม
เตรียมวัดที่ ทำแปลงมะเขือ
เป็นรูปเป็นร่าง แล้ว
สองสาวน้อย ปั่นจักรยานเล่นแถวนั้น แวะมาให้กำลังใจ
ปู + เจาะแผ่นพลาสติก เสร็จแล้ว
เสร็จงาน แต่งานยังไม่เสร็จ
ต้นมะละกอ สวยดี เลยถ่ายมา