ปลูกข้าวครั้งที่สองนี้เราก็ยังคงไม่ฉีดยา ไม่ใส่ปุ๋ยเหมือนเดิม อาศัยผักบุ้ง และหญ้าที่ขึ้นในแปลง บวกกับเศษฟางที่เหลืออยู่ ก็คงจะพอเป็นปุ๋ยได้บ้าง 
เราเองทำใจไว้แล้วว่ารอบนี้ ข้าวก็คงไม่เต็มแปลงเหมือนปีแรก เพราะปรับพื้นที่แล้วแต่ก็ยังไม่เท่ากันทำให้ท้ายแปลงระดับน้ำสูงกว่าเกือบ 10 ซม บวกกับความขี้เกียจ และ รีบของเราเอง ทำให้ต้นกล้าเกือบครึ่งหนึ่งจมน้ำ ทำให้ข้าวขึ้นไม่เต็มนาทั้งผืน
เดือนสิงหาที่เรากลับไปอีกครั้ง เห็นหญ้าขึ้นเต็มแปลงตรงที่แหว่งๆ นั่นแหละ เรามองเห็นหญ้า เยอะกว่าข้าวอีก จนไม่อยากเดินไปดูข้าวที่ตัวเองปลูก ตอนนั้นก็ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้ผลผลิตแล้ว
เดือนตุลาเรากลับไปอีกรอบ ต้นหญ้าที่เคยเห็น หายไปอาจจะเพราะเค้าแช่น้ำนานไปหน่อย ส่วนข้าวก็กอใหญ่ขึ้น ใหญ่กว่าตอนทำนาหว่านปีแรก คราวนี้ก็ใจฟูขึ้นมาบ้างละ ความหวังที่จะได้ข้าวก็กลับมาอีกครั้ง
นั่งดูนาผ่านกล้อง รอว่าเมื่อไหร่ข้าวจะออกดอก จนวันที่ 16 ต.ค น้องถ่ายรูปมาให้ดู บอกว่าข้าวเราออกดอกแล้วนะ เราก็เริ่มนับวันเกี่ยวข้าวตั้งแต่วันนั้น 
จนวันที่ 21-22 ต.ค เราเข้าไปดูกล้องอีกรอบ รู้สึกว่านาข้าวเราเปลี่ยนไป มันเหมือนมีอะไรฟูๆ ขาวเต็มไปหมด จนแอบคิดไม่ได้ว่า รึว่า ข้าวเราจะออกดอกวันนี้ ไม่ใช่วันที่ 16 
ปีนี้ฝนตกเยอะ ระดับน้ำในบ่อสูงกว่าท่อที่ วางไว้ ทำให้ไม่สามารถปล่อยน้ำออกทางท่อพีวีซีที่ฝังไว้ได้แต่เราต้องสูบน้ำออก ก่อนวันที่ 10 พ.ย เพื่อให้ทันเกี่ยวข้าวในวันที่ 15 พ.ย  แฟนเราเลยตัดสินใจสั่งปั๊มโซล่าเซลล์ไปให้ช่างติดตั้งให้ เพื่อสูบน้ำออกจากนาตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย และด้วยความที่ปั๊มค่อนข้างแรง เราเลยคิดว่า ไม่เกิน 3 วัน น้ำคงจะแห้งพอดี
เรากลับไปสวนอีกทีเย็นวันที่ 12 พ.ย สิ่งที่เราเห็นคือ น้ำยังสูงเกือบ 30 ซม ถึงแม้ปั้มจะทำงานอยู่ก็ตาม ก็สงสัยว่าทำไม เกือบ 7 วันแล้วน้ำถึงยังไม่แห้งซักที เมื่อดูที่ปลายท่อปรากฎว่าท่อแตก ทำให้น้ำจากบ่อไหลกลับเข้ามาที่นา พอกลางคืนที่ไม่มีแสง ปั๊มโซล่าเซลล์หยุดทำงาน น้ำก็จะกลับเข้ามาในนาเหมือนเดิม 
แฟนเราก็พยายามซ่อมท่อช่วงที่แตก และ รั่ว จนคิดได้ว่าเราต้องอุดท่อตรงฝั่งบ่อน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้ามาในนา  ถึงจะคิดได้ช้า แต่ว่าก็ช่วยไม่ให้น้ำเข้ามาในนาได้
แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถสูบน้ำออกได้ ระดับน้ำยังคงอยู่ที่ 10-20 ซม แต่ว่าข้าวเราเริ่มแก่แล้ว ข้าวล้มไปครึ่งแปลง และ รถเกี่ยวก็คิวแน่นมากๆ รอบนี้เราทำใจไว้แล้วว่าข้าวคงไม่ถึง 300 กก เป็นแน่