ก่อนอื่นต้องขอเท้าความไปกระทู้แรกๆ ของบ้านต้นแจงสุพรรณบุรี ที่เรามักจะบอกเสมอว่า เรากับแฟนทำงานไกลบ้าน ทุกๆ 1 เดือน เราจะได้กลับมาแค่ 2 สัปดาห์ ดังนั้นเวลาที่มาสุพรรณ ก็จะไม่เกิน 10-12 วัน เราจะมาสวนแค่ปีละ 8 ครั้งเท่านั้น
หลังจากเกี่ยวข้าวครั้งแรกเมื่อต้นปี เราก็ตั้งใจว่าเราจะทำนากันเอง 2 คน ยกเว้นขั้นตอนการเตรียมดิน เพราะไม่มีรถไถ แต่ถึงแม้จะไม่เคยทำนาเลยก็ตาม เราก็อาศัยการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ทเป็นหลัก
เราคิดจะทำนาเกือบทุกแบบ แต่
1. นาดำ พื้นที่ขนาดเล็ก รถดำนาก็ไม่รับทำ จะก้มดำนาคิดว่าคงไม่ไหว ก็เลยตัดไปก่อน
2. หยอดข้าวแห้ง แฟนอยากทำมาก เกือบจะซื้อเครื่องหยอดละ แต่เราคิดว่าฝนแถวนั้นไม่ค่อยตก กลัวข้าวไม่งอก ก็เลยตัดไป
(มีน้ำในบ่อนะคะ แต่เรากลัวว่า ถ้าเอาน้ำเข้านา ข้าวมันจะลอยมั๊ย แล้วมันจะเป็นแถวเหมือนตอนหยอดทีแรกรึเปล่า)
3. หยอดนาตม ซื้อเครื่องหยอดของเวียดนามมาเรียบร้อย แต่เปลี่ยนใจ เพราะวันที่ไปถึงเราสองคนทดลองเดินในนาเลยค่ะ ช่วงนั้นฝนตก น้ำขังพอดี แต่หลังจากที่ทดลองเดินแล้ว ก็เปลี่ยนใจทันที คิดว่าถ้าลากเครื่องหยอด ก็คงไม่ไปไหน (ใครสนใจเครื่องหยอดนาตมบอกนะคะ ยังไม่ได้แกะกล่องเลย)
4. มาจบที่ นาโยน คือวิธีที่เราสองคนคุยกันและหาข้อมูลมาอยู่บ้าง คิดในใจโยนๆไปก็น่าจะไม่ยาก
หลังจากตัดสินใจเลือกวิธีทำนาแล้ว ก็เริ่มแช่เมล็ดค่ะ ตอนแรกเราเลือกที่จะใช้เมล็ดข้าวหอมมะลิธรรมศาสตร์ที่เกี่ยวเมื่อต้นปีเพราะอยากประหยัดค่าเมล็ดพันธุ์ แช่ไปประมาณ 10 กก เห็นจะได้
ก่อนนอน อยู่ๆ ก็คิดอยากรู้เกี่ยวกับข้าวดีด ข้าวเด้ง ก็เลยเข้าไปอ่านในอินเตอร์เน็ท จำได้คร่าวๆ ว่ามันจะเป็นข้าวที่มีสีแดง และมีหาง (อะไรคือหางก่อน)
เช้ามาก็เตรียมตัวหยอดเมล็ด ที่จริงเราก็มีเครื่องหยอดเมล็ดในถาดเพาะกล้านาโยน แบบ 434 หลุมนะ (ตั้งใจไปขอซื้อพี่เค้าถึงชัยนาทกันเลย) แต่เราลืมว่าใช้ยังไง ข้าวมันไม่ลงไปในร่องต้องเสียเวลามาเกลี่ยข้าวอีก เปลี่ยนใจใช้มือหยอดแทน
ช่วงที่หยอดข้าวไป 1 ถาด เริ่มสังเกตเห็นข้าวที่มีหาง เต็มไปหมดเลย บางเมล็ดแกะดูก็เป็นเม็ดสีแดงอีก มิน่าละ ข้าวที่สีรอบที่แล้วมันแดงๆ
ในใจก็คิดว่า นี่มันข้าวดีด ข้าวเด้ง รึเปล่านะ ชักไม่แน่ใจ ลังเลอยู่พักใหญ่ ก็บอกแฟนเราว่า เราไม่เสี่ยงกับข้าวนี้แล้วหละ จะกลายเป็นว่าเราปลูกข้าวแต่ไม่ได้ข้าว (รูปนี้คือข้าวที่เราสีค่ะ จะมีเมล็ดแดงๆ เต็มไปหมด ถ้าไม่รู้ก็คงนึกว่าข้าวมันปู)
รีบชวนแฟนออกไปสามชุกเลยค่ะ ได้ข้าวหอมมะลิ 105 มา 2 กระสอบ (เพราะในใจตอนนั้นลังเล ว่าจะเพาะกล้าทันมั๊ย หรือ ว่าจะจ้างหว่านอีกรอบ)
แต่เราเลือกที่จะทำตามแผนเดิมคือ ทำนาโยน ก็เลยใช้ข้าวไปครึ่งกระสอบ แบ่งเพื่อนบ้านที่ไปอีกครึ่งกระสอบค่ะ ยังเหลืออีก 1 กระสอบแต่เอาไปสีกินไม่ได้เพราะเคลือบกันเชื้อรามา ไม่รู้ว่าถ้าเอาไปปลูกกลางปีหน้า 2025 จะยังงอกอยู่มั๊ยคะ (อันนี้ขอคำแนะนำผู้รู้ค่ะ) เราเก็บบนบ้าน ไม่ร้อน อากาศถ่ายเทดี
หมดเวลาไปแล้ว 3 วัน เราเริ่มต้นแช่ข้าวอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เตรียมร่อนดินกับตะกร้าน้อยๆเอาไว้
เที่ยงวันถัดไป ได้เวลาเอากล้าใส่ถาดเพาะ ไอ้เราก็อ่านมาว่า 1 หลุม 1 เมล็ด ข้าวจะกอใหญ่ แข็งแรง ก็เลยมานั่งหยอดมือทีละหลุม คิดว่าคงไม่นานหรอก ที่ไหนได้ 2 ถาดใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง บ่ายสามแล้ว ยังได้แค่ 2 ถาดเอง
ทำไงละทีนี้ วางแผนไว้ 65 ถาด ถ้ามานั่งทีละหลุม 3 วันคงไม่เสร็จแน่เลยเรา จากตอนแรกตั้งใจปราณีต เลยต้องรีบๆโรยๆไป กี่เมล็ดก็ไม่สนแล้วจ้า ดีที่แฟนมาช่วยโค้งสุดท้าย เสร็จเที่ยงคืนพอดี ไม่เหนื่อย แต่มึนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
จากนาที่เอียงรอบที่แล้ว เราก็ให้ช่างช่วยเรียกรถไถมาปั่นอีกรอบ แต่เราไม่ได้อยู่ด้วย สุดท้ายเสียค่ารถปรับที่นา แต่ก็ยังเอียงอยู่เหมือนเดิม ทำให้น้ำในนาสูงไม่เท่ากัน หัวแปลงไม่มีน้ำ ท้ายแปลงน้ำท่วมต้นกล้ามิด เพราะกล้าอายุน้อยเกินไป
เราเคยไปฟังคุณชัยพรเล่าเรื่องการทำนา เราก็จำอะไรไม่ได้มาก แต่จำได้ว่ามีฤกษ์ปลูกข้าว ไหนๆ ประสบการณ์เราก็มีไม่มาก อาศัยฤกษ์ยามซักหน่อยจะเป็นไร เผื่อจะได้ข้าวเต็มรวงกับเค้าบ้าง
แล้วเราก็ได้ฤกษ์ทำนาเสร็จสรรพ บวกกับกำหนดกลับไปทำงานต่อ ทำให้เราเพาะกล้าไปเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น ก็จำเป็นจะต้องเอาไปปลูกซะแล้ว
และแล้วฤกษ์โยนข้าวของเราก็มาถึง เราก็เริ่มขนกล้าใส่รถไปที่เถียงนา เราไม่กล้ารดน้ำ เพราะรากยังไม่เยอะ กลัวว่ารดน้ำแล้วดินจะแตกตอนถอนกล้า แต่ก็ทำให้เอากล้าออกจากถาดยากพอสมควร


แฟนเราเป็นคนโยน เราเป็นคนถอนกล้าให้ นางตั้งใจโยนให้เป็นแถว แล้วก็เป็นระเบียบมากนะ เห็นแบบนั้นแล้วเราก็รีบขอไปโยนมั่ง ยืนอยู่จุดเดียวนานไปหน่อย ทำให้ยกขาขึ้นยากมาก จนค่อยๆจมลงไปในนา รองเท้าที่ติดกับชุดหมีจมโคลน ขาเรายกมาแล้ว แต่รองเท้าชุดหมียังจมอยู่ในนา ล้มลุกคลุกคลานอยู่แบบนั้น จนแฟนต้องมาช่วยดึงกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ไม่ให้เราลงไปโยนต่อ
ไอ้เราก็อยากช่วยก็เลยขอยืนขอบๆ แต่ก็นะครั้งแรก โยนไม่เป็น กล้าไม่ยอมตั้งหรือปักลงไปในตม ส่วนตรงไหนที่น้ำขังสูงๆ กล้าก็จะลอยไปตามน้ำไปถึงท้ายแปลงนู้น ถ้าเพื่อนๆนึกไม่ออก ลองคิดภาพเวลาเราให้อาหารปลาดูนะคะ
พอโยนได้ไปซัก 5-6 ถาดเริ่มจับทางได้แล้ว เราหยิบกล้าเป็นกำโยนขึ้นฟ้า แล้วให้ตกลงมา ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ สนุก และ ไว ตามประสาเรา ส่วนตรงกลาง ไม่ต้องพูดถึง โยนไม่ไกลพอ แล้วถ้าจะถามหาระยะ 30 x 30 ไม่น่าจะมี
ใกล้หมดวันเห็นแฟนเรายังโยนไปไม่ถึงครึ่งทางเลย เราก็กลัวเสร็จไม่ทันภายใน 2 วัน ตามฤกษ์ยาม ก็บอกแฟนว่า โยนๆ ไปเถอะ ไม่เป็นแถวก็ช่าง นางก็เลยต้องจำใจโยนๆไป เพราะว่าเราทำเละเทะไปทั้งแปลงแล้วนี่
ภาพรวมของนาโยนปีแรกของเรา ก็จะแหว่งตรงกลาง หัวแปลงที่น้ำท่วมขังต้นกล้าจมน้ำตายเรียบ ระยะระหว่างกล้า มากกว่า 30 ซม – 1 เมตร แต่เราก็ภูมิใจที่เห็นต้นข้าวตั้งตัวได้ อีกอย่างเราไม่ได้จ้างปลูกข้าวแล้วจร้า (อันนี้ปลอบใจตัวเอง)
ชีวิตของต้นข้าวเราต่อจากนี้อีก 3 เดือน จนถึงวันเกี่ยวข้าวจะเป็นยังไง เดี๋ยวจะมาเล่าต่อในตอนที่ 3 นะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจจากเพื่อนๆมากเลยที่ตามมาตั้งแต่ต้น
ย้อนอ่าน
ตอนที่ 1 ทำนาครั้งแรก ก็จ้างซะแล้ว
https://ppantip.com/topic/43063154
ตอนที่ 3 ข้าวล้ม น้ำเต็มนาสูบเท่าไหร่ก็ไม่หมด
https://ppantip.com/topic/43105654
ตอนที่ 4 ไม่เคยปลูกข้าว แล้วจะได้ข้าวมั๊ย
https://ppantip.com/topic/43111089
ตอนที่ 2 ปลูกข้าว หรือ ให้อาหารปลา
เราคิดจะทำนาเกือบทุกแบบ แต่
1. นาดำ พื้นที่ขนาดเล็ก รถดำนาก็ไม่รับทำ จะก้มดำนาคิดว่าคงไม่ไหว ก็เลยตัดไปก่อน
2. หยอดข้าวแห้ง แฟนอยากทำมาก เกือบจะซื้อเครื่องหยอดละ แต่เราคิดว่าฝนแถวนั้นไม่ค่อยตก กลัวข้าวไม่งอก ก็เลยตัดไป
(มีน้ำในบ่อนะคะ แต่เรากลัวว่า ถ้าเอาน้ำเข้านา ข้าวมันจะลอยมั๊ย แล้วมันจะเป็นแถวเหมือนตอนหยอดทีแรกรึเปล่า)
3. หยอดนาตม ซื้อเครื่องหยอดของเวียดนามมาเรียบร้อย แต่เปลี่ยนใจ เพราะวันที่ไปถึงเราสองคนทดลองเดินในนาเลยค่ะ ช่วงนั้นฝนตก น้ำขังพอดี แต่หลังจากที่ทดลองเดินแล้ว ก็เปลี่ยนใจทันที คิดว่าถ้าลากเครื่องหยอด ก็คงไม่ไปไหน (ใครสนใจเครื่องหยอดนาตมบอกนะคะ ยังไม่ได้แกะกล่องเลย)
4. มาจบที่ นาโยน คือวิธีที่เราสองคนคุยกันและหาข้อมูลมาอยู่บ้าง คิดในใจโยนๆไปก็น่าจะไม่ยาก
เช้ามาก็เตรียมตัวหยอดเมล็ด ที่จริงเราก็มีเครื่องหยอดเมล็ดในถาดเพาะกล้านาโยน แบบ 434 หลุมนะ (ตั้งใจไปขอซื้อพี่เค้าถึงชัยนาทกันเลย) แต่เราลืมว่าใช้ยังไง ข้าวมันไม่ลงไปในร่องต้องเสียเวลามาเกลี่ยข้าวอีก เปลี่ยนใจใช้มือหยอดแทน
ในใจก็คิดว่า นี่มันข้าวดีด ข้าวเด้ง รึเปล่านะ ชักไม่แน่ใจ ลังเลอยู่พักใหญ่ ก็บอกแฟนเราว่า เราไม่เสี่ยงกับข้าวนี้แล้วหละ จะกลายเป็นว่าเราปลูกข้าวแต่ไม่ได้ข้าว (รูปนี้คือข้าวที่เราสีค่ะ จะมีเมล็ดแดงๆ เต็มไปหมด ถ้าไม่รู้ก็คงนึกว่าข้าวมันปู)
แต่เราเลือกที่จะทำตามแผนเดิมคือ ทำนาโยน ก็เลยใช้ข้าวไปครึ่งกระสอบ แบ่งเพื่อนบ้านที่ไปอีกครึ่งกระสอบค่ะ ยังเหลืออีก 1 กระสอบแต่เอาไปสีกินไม่ได้เพราะเคลือบกันเชื้อรามา ไม่รู้ว่าถ้าเอาไปปลูกกลางปีหน้า 2025 จะยังงอกอยู่มั๊ยคะ (อันนี้ขอคำแนะนำผู้รู้ค่ะ) เราเก็บบนบ้าน ไม่ร้อน อากาศถ่ายเทดี
หมดเวลาไปแล้ว 3 วัน เราเริ่มต้นแช่ข้าวอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เตรียมร่อนดินกับตะกร้าน้อยๆเอาไว้
ทำไงละทีนี้ วางแผนไว้ 65 ถาด ถ้ามานั่งทีละหลุม 3 วันคงไม่เสร็จแน่เลยเรา จากตอนแรกตั้งใจปราณีต เลยต้องรีบๆโรยๆไป กี่เมล็ดก็ไม่สนแล้วจ้า ดีที่แฟนมาช่วยโค้งสุดท้าย เสร็จเที่ยงคืนพอดี ไม่เหนื่อย แต่มึนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
พอโยนได้ไปซัก 5-6 ถาดเริ่มจับทางได้แล้ว เราหยิบกล้าเป็นกำโยนขึ้นฟ้า แล้วให้ตกลงมา ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ สนุก และ ไว ตามประสาเรา ส่วนตรงกลาง ไม่ต้องพูดถึง โยนไม่ไกลพอ แล้วถ้าจะถามหาระยะ 30 x 30 ไม่น่าจะมี
ย้อนอ่าน
ตอนที่ 1 ทำนาครั้งแรก ก็จ้างซะแล้ว https://ppantip.com/topic/43063154
ตอนที่ 3 ข้าวล้ม น้ำเต็มนาสูบเท่าไหร่ก็ไม่หมด https://ppantip.com/topic/43105654
ตอนที่ 4 ไม่เคยปลูกข้าว แล้วจะได้ข้าวมั๊ย https://ppantip.com/topic/43111089