ชวนคุยเรื่อง "โมฆะเลือกตั้ง" แช่แข็งประชาธิปไตย ผ่านเวที "สัมนา..." มติชนออนไลนื

กระทู้สนทนา
วงสัมมนาจวกยับกระบวนการแช่แข็งปชต. "สภาวะยกเว้น-รธน.50-สงครามกลางเมืองโดยกม."


(ภาพประกอบข่าว)

หลายเดือนที่ผ่านมา การเมืองไทยพบกับปัญหาซับซ้อนมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายฝ่ายตั้งคำถามต่อปัญหาที่เกิดกับ "ประชาธิปไตย" ในประเทศไทย ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ
เพิ่งตัดสินให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้น

ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่องการเลือกตั้งในวันที่21มีนาคมคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์
สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่นภาควิชาสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดสัมมนา
วิชาการเรื่อง "แช่แข็งประชาธิปไตยไทย" โดยมีนายจอน อึ้งภากรณ์, ผศ. ดร. ธำรงศักดิ์
เพชรเลิศอนันต์, ผศ. ดร. บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, นางสดศรี สัตยธรรม และนายสมบัติ บุญงามอนงค์

เป็นวิทยากร



เรียกร้องคำนึงทั้งเสียงข้างมาก-น้อย + ลงประชามติแบบมีผลบังคับ

นายจอน อึ้งภากรณ์กล่าวในงานสัมมนาว่า  หลังจากมีการแก้รัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีต้องมา
จากการเลือกตั้ง ล่วงเลยมาจนถึงเหตุการณ์รัฐประหารปีพ.ศ. 2549 ประชาชนต่างตื่นตัวทางการเมือง
มีสื่อสังคมออนไลน์ ขณะที่การแสดงออกคัดค้านรัฐประหารมีคนเข้าร่วมมากมายจนถึงวันนี้

เหตุการณ์การคัดค้านในช่วงที่ผ่านมาเริ่มด้วยการค้านรัฐประหารล่วงเลยมาสู่การค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ซึ่งตรงนี้ตัวเองเห็นด้วยกับการชุมนุมคัดค้านของประชาชนอย่างกว้างขวางเช่นกันโดยการเรียกร้องดำเนิน
ไปจนต้องมีการยกเลิกพ.ร.บ.ในที่สุด

อย่างไรก็ตามประชาชนยังไม่ถอดใจเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาซึ่งถือว่ามีโอกาสเลือกรัฐบาลใหม่แต่ไม่จบ
เนื่องจากเกิดกปปส.เป็นกลุ่มองค์กรเกิดใหม่ออกมาเรียกร้องสิ่งที่เกินเลยข้อเรียกร้องตามประชาธิปไตย
คือเรียกร้องให้นายกฯรักษาการออกจากตำแหน่ง, ร้องเอานายกฯคนกลาง, ให้แช่แข็งการเลือกตั้ง,
ร้องสภาประชาชน และต้องการการปฏิรูป แต่กปปส.เป็นส่วนหนึ่งของคนในประเทศไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่
ด้วยซ้ำ เห็นได้จากประชาชนจำนวนมากไปเลือกตั้ง ขณะที่กลุ่มคนส่วนน้อยเรียกร้องให้มีนายกฯคนกลาง
ร้องการปฏิรูปตามแนวคิดของตัวเอง ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

ประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นประชาธิปไตยที่คำนึงทั้งเสียงส่วนใหญ่และน้อยประชาชนมีส่วนร่วมแต่เชื่อว่า
รัฐบาลที่ผ่านมาไม่คำนึงถึงเสียงส่วนน้อยและสร้างความไม่พอใจมาตลอดทุกรัฐบาลแต่ความไม่พอใจ
ในรัฐบาลมีวิธีตามประชาธิปไตยที่จะเปลี่ยนแปลงได้เราสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยวิธีประชาธิปไตย
ได้แต่ดูเหมือนว่าประชาชนและผู้มีอำนาจส่วนหนึ่งจะไม่ยอม อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีนอก
ประชาธิปไตย ถือเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชน

สำหรับทางออกนั้น อ.จอน ระบุว่า ไม่มีคำตอบชัดเจนแต่ต้องยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย

"อยากเห็นประชาธิปไตยที่เรามีระบบการลงประชามติแบบของสวิตเซอร์แลนด์ที่มีลักษณะบังคับต่อผู้มี
อำนาจเช่นประชาชนสามารถลงชื่อให้มีการทำประชามติถ้าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ตกไปไม่ใช่หน้าที่
ของศาลรัฐธรรมนูญคิดว่าถ้าเรากลับไปสู่เส้นทางของประชาธิปไตยและแก้รัฐธรรมนูญให้มีระบบการลง
ประชามติที่มีผลบังคับต่อผู้มีอำนาจจะเป็นการเติมประชาธิปไตยทางตรงเข้าร่วมด้วย เราจะต้องมีการปฏิรูป
อย่างที่เรียกร้อง แต่ต้องร่วมกันทุกฝ่าย ไม่ใช่แต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"
นายจอน กล่าว



ผลจากรัฐธรรมนูญปี 50 กับ การแช่แข็ง ?

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม อดีตกกต. กล่าวถึงคำถามเรื่อง "การแช่แข็งนี้มีส่วนมาจากรัฐธรรมนูญปี 50 หรือไม่"
โดยอดีต กกต. ระบุว่า ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดำเนินการหยุดชะงัก หรือแช่แข็งประชาธิปไตยได้ อย่างไร
ก็ตาม ต้องมีการหารือเกี่ยวกับคำถามนี้ สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ การเลือกตั้งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้
ประชาธิปไตยถูกแช่แข็ง เมื่อดูแล้วหากการเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จเพราะการขัดขวางการเลือกตั้ง  ทำให้มีลักษณะ
ไม่สามารถเดินหน้าต่อไป สิ่งเหล่านี้ ต้องทบทวนว่า จะทำอย่างไรให้ประชาธิปไตยหลุดพ้นจากการแช่แข็ง

การปฏิวัติโดยทหารดูเป็นวิธีการที่ล้าสมัยแต่ตอนนี้ไปใช้องค์อิสระที่แช่แข็งแทนได้ในฐานะประชาชนไทย
คนหนึ่งเราคงไม่ยอมให้มีการแช่แข็งจะทำอย่างไรที่จะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นดำเนินการใต้ระบบประชาธิปไตย
การเลือกตั้งเป็นสาเหตุให้หยุดชะงักลงเราต้องทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปประสบความสำเร็จโดยความร่วมมือ
ของประชาชนถ้าผู้จัดเลือกตั้งปฏิวัติเอง ก็ต้องใช้พลังประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ได้

นางสดศรี กล่าวเสริมอีกว่า "เห็นได้ว่าพลังประชาชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่ดีที่สุด สิ่งที่จะสลัด
การแช่แข็งคือพลังประชาชน หวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าแม้มีการขัดขวาง ขอให้ประชาชนไปเลือกตั้ง ปฏิวัติ
ให้ประชาธิปไตยกลับคืนมาเป็นของชาวไทยตลอดไป"




"แช่แข็งได้ แต่แข็งไม่นาน ต้านบริบทโลกไม่ได้"

สำหรับมุมมองจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการเมืองสมัยใหม่อย่างผศ.ดร.ดำรงศักดิ์เพชรเลิศอนันต์ เชื่อว่า  
ในฐานะนักวิชาการที่มองจากรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์การเมือง ถ้าถามว่าการแช่แข็งจะบรรลุผลหรือไม่
คงตอบไม่ได้ เพราะคนที่พยายามก็จะพยายามต่อไป แต่ถ้ามองบริบทการเปลี่ยนแปลง อาจมองเห็นแนวทาง
บางประการว่า ต่อให้บรรลุเป็นครั้งคราวแต่ไม่อาจบรรลุตลอดไป

ในบริบทเหตุการณ์ความไม่สงบรายวันพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความต้องการแช่แข็งระบบสภาผู้แทนราษฎร
ที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐสภาที่ยึดโยงกับสภาผู้แทนฯอย่างไรก็ตามการเลือกตั้งยังดำรงไปอย่างเงียบๆ
ผ่านการเลือกตั้งในกระบวนการท้องถิ่นที่เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

เนื่องจาก แกนนำของกระบวนการแช่แข็งต่างอยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง คนเหล่านี้รู้ตัวว่าเลือกตั้งคือที่มาของ
อำนาจท้องถิ่น แต่การเลือกตั้งส.ส.นำมาสู่การเป็นรัฐบาลกลาง ฉะนั้นการแช่แข็งคือการกำหนดเกณฑ์ของการ
ได้เป็นรัฐบาลกลาง


อย่างไรก็ตามคงคลายใจได้ว่าประเทศนี้แข็งไม่ได้พม่า"แข็ง"มา50 ปีจนไม่อาจแข็งได้ ต่างชาติสะกิดก็ต้องอ่อน
กลับเข้าคืนสู่เวทีโลก บริบทโลกตอนนี้คือกระแสประชาธิปไตยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นกระแสที่เกิดมานาน
พัดกระหน่ำราชวงศ์ชิงและฝั่งญี่ปุ่นมาแล้ว แต่สำหรับไทย มันเดินๆหยุดๆ

มีคำถามว่า "ทำไมที่ผ่านมาทหารมีอำนาจมาก?" คำตอบอาจพบว่า คนไทยมีคำมาก ทั้ง "แต่งตั้ง คัดสรร สรรหา"
ซึ่งต่างมีความหมายเดียวกันคือ เป็นการแช่แข็งอำนาจประชาชน ทหารยึดอำนาจเสร็จก็แต่งตั้งสภานิติบัญญัติ
โดยเอาทหารเข้าไป และผู้ยึดอำนาจขึ้นเป็นนายกฯ มีความพยายามยึดอำนาจเป็นระยะแต่ไม่อาจคงอยู่ในรูป
แบบเดิม บทเรียนการรัฐประหารถือว่าเจ็บปวดมากกว่าเมื่อคนยึดอำนาจไม่ได้อำนาจ ทำให้กระบวนการยึดอำนาจ
ของกองทัพเป็นไปได้ยากตามบริบทโลก

ความพยายามแช่แข็งเป็นการพยายามให้มีการแต่งตั้งการแช่แข็งคือกระบวนการเข้าสู่อำนาจอย่างหนึ่งเพื่อ
จัดสรรทรัพยากรเพื่อให้มีคุณค่าต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นการเข้าสู่อำนาจโดยไม่ได้วางรากฐานจากเสียงประชาชน
ความพยายามจากเสธ.ต่างๆล้มเหลวตลอดแม้จะมีความฮึกเหิมแรกๆวันนี้ก็ถอยไปอยู่สวนลุม

"ด้วยสายตาของความเกลียดชังทำให้พี่น้องเข้าสู่กระบวนการไปเมื่อพวกเขาถอยออกมา เขาก็จะรู้ว่าไทยต้อง
เดินหน้าไป"
  ผศ.ดร.ดำรงศักดิ์ กล่าว



"สงครามการเมืองโดยกฎหมาย"

สำหรับมุมมองของผศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ เริ่มต้นบรรยายโดยยกตัวอย่างกรณี "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" เชื่อว่า
หลายคนเข้าใจประวัติศาสตร์เยอรมันน้อยมาก ความเป็นจริงแล้วฮิตเลอร์ อยู่ในระบบการแข่งขันทางการเมือง
ของรัฐไวมาร์ มีความพยายามรัฐประหาร ติดคุกก็เขียนหนังสือ "ไมน์คัมพ์" เมื่อออกจากคุกก็หันมาลงเลือกตั้ง
ความหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ทำให้ประชาชนยอมรับการขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่าเขาเป็นความหวังอุดมการณ์ชาตินิยมถูกนำมาใช้เมื่อพรรคนาซีได้รับการเลือกตั้ง
ช่วงที่เดินหน้าอยู่นั้นเกิดไฟไหม้รัฐสภามีการป้ายสีว่าเป็นฝีมือคอมมิวนิสต์ เมื่อสังคมเชื่อว่าการเผารัฐสภาเป็น
ผลงานของคอมฯ จึงมีกฎหมายพิเศษให้อำนาจคุ้มครองประชาชนและรัฐ โดยความยินยอมของประธานาธิบดี
เชิญฮิตเลอร์ เป็นคนกลาง กฏหมายนี้ออกหลังจากการเผารัฐสภา ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพียง 6 วัน

กฎหมายฉบับนี้ถูกขยายผลเพื่อป้องกันการก่อการร้ายและปกป้องประชาชน กฎหมายนี้ให้อำนาจกับนายกฯ คือ
ฮิตเลอร์ จำกัดเสรีภาพ-แสดงความคิดเห็น รวมถึงความเป็นส่วนตัวอื่นๆ พรรคนาซีควบคุมความเห็นของประชาชน
โดยการสร้างผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา กฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้าม และฮิตเลอร์ อยู่ในอำนาจได้ 12 ปี
โดยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงคราม และแยกประเทศ เยอรมันต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะฟื้นฟู

ฮิตเลอร์ มาจากการข่มขู่สาธารณะให้กลัวผีคอมฯ ผีตัวนี้ทำให้เถลิงอำนาจได้ ระหว่างที่ครองอำนาจ คนดัง
หลายคนช่วยฮิตเลอร์ สร้างภาพ คนเยอรมันหลงเชื่อว่าฮิตเลอร์ จะนำไปเป็นมหาอำนาจ แต่ก็จบลงด้วยการ
แบ่งแยกประเทศ กรณีนี้ ทางรัฐศาสตร์เรียกว่า "สภาวะยกเว้น" คือการสร้างเงื่อนไขบางประการเพื่อให้ใช้
กฎหมายยิ่งยวดกับฝ่ายหนึ่ง

การสร้างสภาวะยกเว้นน่ากลัวที่สุดสำหรับประชาธิปไตยกรณีของฮิตเลอร์คือการรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ
วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า"สงครามกลางเมืองโดยกฎหมาย"คือการบังคับเข้มข้นกับฝ่ายหนึ่งยกเว้นอย่างยิ่งยวด
กับอีกฝ่ายหนึ่ง การก้าวล่วงอำนาจคือภาวะที่อันตรายอย่างยิ่งยวด


"โลกกลม-โลกแบน" ?

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด กล่าวว่า เหตุผลของการแช่แข็งประชาธิปไตยเป็นเรื่องของประชาชน
วันที่กาลิเลโอ บอกว่า "โลกกลม" คนส่วนใหญ่เชื่อว่า "โลกแบน" พร้อมกับตกใจและโกรธ เนื่องจากขัดต่อระบบ
ความเชื่อที่ถูกบ่มมาทั้งชีวิต ความเชื่อหรือคุณค่าเหล่านี้เมื่อถูกขัด เขาก็ต้องสู้ ในทางการเมืองคนที่คิดว่าอำนาจ
สูงสุดเป็นของประชาชนอาจเคยถูกมองเป็นขบถมาก่อน แต่วันนี้คนที่คิดแบบนี้มีมากเท่ากับคนที่เชื่อว่าโลกกลม
แต่เราอยู่ในช่วงรอยต่อ

ปัญหาคือ เรายังเดินทางไม่ไกล คนบางส่วนก็ยังเชื่อว่า "โลกแบน"

การซื้อสิทธิ์ขายเสียงอาจเป็นเครื่องมือในการสร้างประชาธิปไตยเมื่อก่อนการเมืองไม่เกี่ยวกับชาวบ้านแต่มา
เกี่ยวเมื่อมีผลตอบแทนเริ่มซื้อเสียงดีลเป็นโครงการตอนนี้ดีลเรื่องนโยบายแม้เหมือนเป็นเรื่องทุจริต แต่มันทำให้
การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาชน วิวัฒนาการการซื้อ-ขายเสียงทำให้คนตื่นตัว  อย่างไรก็ดี สำหรับวิกฤตการ
ที่กำลังเกิดขึ้น คนที่สู้กันนั้นชิงอำนาจอยู่ตรงส่วนบน แต่คนข้างล่างที่ไม่ได้ชิงอำนาจ ประชาชนที่เห็นต่าง
ทางการเมืองถูกโยงไปเป็นกลไกในการชิงอำนาจดังกล่าว

"วิกฤตการนี้เหมือนกับแม่ที่กำลังจะคลอดลูกเจ็บเหมือนจะตาย แต่คุณภาพใหม่จะเกิดได้ถ้าไม่แท้งก่อน เชื่อว่า
ประเทศมีความหวัง"  บก.ลายจุด กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395407268&grpid=&catid=01&subcatid=0100

ด้วย วาทะของเพื่อน  ผู้สนับสนุน  คำวินิจฉัยของ ตลก.วันนี้ ใครคัดค้าน  ไม่เห็นด้วย
กับตลก.  ดูจะกลายเป็น  "ควายแดง"   ทั้งโง่เขลา   ป็นขี้ข้าทักษิณ   กันไปหมด  แล้ว

เลยต้องเอา  คคห.ที่ต่างมุมมอง  ของ นักวิชาการ  มานำเสนอ   หากเพื่อนๆ มั่นใจ
ก็ช่วยเข้ามายืนยันด้วยว่า   นักวิชาการ เหล่านี้   ก็คือ "ควายแดง"  "ขี้ข้าทักษิณ"
เหมือนที่ท่านประนาม  เพื่อนๆ   เพราะคคห.ของเรา  ก็นำมาจาก  ข้อมูล  และ
คคห.เหล่า ปรมาจารย์  ทั้งหลายนี่แหละ  หากขะด่าทอ เสียดสีเรา   ก็ว่าตรงๆ  ไปที่
ผู้รู้  เหล่านี้  ได้เลย   เอาเลยค่ะ   อย่าละเว้น   เพราะ  ท่านเหล่านี้  ล้วนคัดค้าน ตลก.
ยิ้ม


สาวแว่น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่