คำว่า ปัญญา ในทางพุทธศาสนาจะหมายถึง ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ ซึ่งเรื่องการดับทุกข์ก็คือเรื่องอริยสัจ ๔ โดยหัวใจของอริยสัจ ๔ หรือปัญญานี้ก็สรุปอยู่ที่ ความเข้าใจในลักษณะ ๓ ประการของสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติ โดยลักษณะที่สำคัญที่สุดก็คือ ความเป็นอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) ของทุกสิ่ง โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรรู้ว่าเป็นอนัตตาก็คือ ร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็น “เรา” หรือ “ตัวเรา” นี้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ปัญญา ก็คือ ความเข้าใจว่า “แท้จริงมันไม่มีตัวเรา”
การที่เราจะเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งนั้น เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจใน “สิ่งสูงสุด” ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ก่อน เมื่อเราเข้าใจในสิ่งสูงสุดนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่า สิ่งสูงสุดนี้ได้สร้างสิ่งทั้งหลายโดยเฉพาะร่างกายและจิตใจของเราขึ้นมาได้อย่างไร? และเข้าใจได้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร?
สิ่งสูงสุดนี้เทียบได้กับพระเจ้าหรือเทพเจ้าสูงสุดของบางศาสนา โดยสิ่งสูงสุดของพุทธศาสนานี้จะเป็น กฎสูงสุดของธรรมชาติ หรือ กฎสูงสุดของจักรวาล ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา ที่หมายถึง การเกิดขึ้นพร้อมของปัจจัย โดยกฎนี้มีใจความโดยสรุปว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น”
คำว่า สิ่ง คือ คำที่ใช้เรียกธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่ ซึ่งสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติก็สรุปได้ ๒ อย่าง คือ วัตถุ กับ นาม โดยสิ่งที่เป็น วัตถุ ได้แก่พวกวัตถุและสิ่งของทั้งหลาย รวมทั้งร่างกายของคน สัตว์ และพืช. ส่วนสิ่งที่เป็น นาม ได้แก่พวก จิตใจ หรือ การรับรู้ ความรู้สึก ความจำ ความคิด เป็นต้น
คำว่า เกิด หมายถึง จากการที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วมามีขึ้นในภายหลัง
คำว่า ดับ หมายถึง จากการที่มีอยู่ก่อน แล้วมาหายไปในภายหลัง
คำว่า เหตุ หมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดผลหรือสิ่งใหม่
คำว่า ปัจจัย หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสนับสนุนเหตุ
คำว่า ผล หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
คำว่า ปรุงแต่ง หมายถึง การกระทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา
กฎอิทัปปัจจยตา เป็น กฎสูงสุดของธรรมชาติ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ (คือสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา) ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือกฎสูงสุดนี้ไปได้ ซึ่งกฎของธรรมชาติอื่นๆก็ล้วนขึ้นอยู่กับกฎสูงสุดนี้ทั้งสิ้น
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎง่ายๆหรือธรรมดาๆที่ใครๆก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว คือใครๆก็รู้ว่า การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นมาได้ จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (อย่างเช่น ร่างกายก็มีพ่อและแม่มาเป็นเหตุ และมีอาหาร น้ำ อุณหภูมิที่พอเหมาะ และอากาศที่บริสุทธิ์มาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา) ซึ่งในทางตรงกันข้าม ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ (ถ้าสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ ก็เรียกว่าเหนือธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่เหนือธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งคือธรรมชาติ จะมีก็เพียงความเชื่อว่ามันมีเท่านั้น เช่น อำนาจวิเศษ, หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์, หรือจิตที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ที่เรียกว่า ผี, รวมทั้งเรื่อง นรกใต้ดิน, สวรรค์บนฟ้า, เทวดา, นางฟ้า เป็นต้น)
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ แม้จะเป็นกฎง่ายๆหรือธรรมดาๆ แต่ทว่ามีพลังอำนาจมากจนไม่มีอะไรจะมาต้านทานได้ ซึ่งกฎสูงสุดนี้จะสิงอยู่ในทุกสิ่ง หรือควบคุมทุกสิ่งเอาไว้ และดลบันดาลทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไป ถ้าเราเข้าใจกฎสูงสุดนี้ได้อย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว เราก็จะเข้าใจถึงความจริงพื้นฐานของทุกสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ รวมทั้งทำให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตของเราและของทุกชีวิตได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่ากฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ เป็นเสมือนกุญแจที่จะใช้ไขปริศนาของชีวิตและธรรมชาติ อันจะทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เราควรรู้ได้
กฎสูงสุดของธรรมชาติ
การที่เราจะเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งนั้น เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจใน “สิ่งสูงสุด” ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ก่อน เมื่อเราเข้าใจในสิ่งสูงสุดนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่า สิ่งสูงสุดนี้ได้สร้างสิ่งทั้งหลายโดยเฉพาะร่างกายและจิตใจของเราขึ้นมาได้อย่างไร? และเข้าใจได้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร?
สิ่งสูงสุดนี้เทียบได้กับพระเจ้าหรือเทพเจ้าสูงสุดของบางศาสนา โดยสิ่งสูงสุดของพุทธศาสนานี้จะเป็น กฎสูงสุดของธรรมชาติ หรือ กฎสูงสุดของจักรวาล ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา ที่หมายถึง การเกิดขึ้นพร้อมของปัจจัย โดยกฎนี้มีใจความโดยสรุปว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น”
คำว่า สิ่ง คือ คำที่ใช้เรียกธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่ ซึ่งสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติก็สรุปได้ ๒ อย่าง คือ วัตถุ กับ นาม โดยสิ่งที่เป็น วัตถุ ได้แก่พวกวัตถุและสิ่งของทั้งหลาย รวมทั้งร่างกายของคน สัตว์ และพืช. ส่วนสิ่งที่เป็น นาม ได้แก่พวก จิตใจ หรือ การรับรู้ ความรู้สึก ความจำ ความคิด เป็นต้น
คำว่า เกิด หมายถึง จากการที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วมามีขึ้นในภายหลัง
คำว่า ดับ หมายถึง จากการที่มีอยู่ก่อน แล้วมาหายไปในภายหลัง
คำว่า เหตุ หมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดผลหรือสิ่งใหม่
คำว่า ปัจจัย หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสนับสนุนเหตุ
คำว่า ผล หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
คำว่า ปรุงแต่ง หมายถึง การกระทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา
กฎอิทัปปัจจยตา เป็น กฎสูงสุดของธรรมชาติ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ (คือสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา) ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือกฎสูงสุดนี้ไปได้ ซึ่งกฎของธรรมชาติอื่นๆก็ล้วนขึ้นอยู่กับกฎสูงสุดนี้ทั้งสิ้น
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎง่ายๆหรือธรรมดาๆที่ใครๆก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว คือใครๆก็รู้ว่า การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นมาได้ จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (อย่างเช่น ร่างกายก็มีพ่อและแม่มาเป็นเหตุ และมีอาหาร น้ำ อุณหภูมิที่พอเหมาะ และอากาศที่บริสุทธิ์มาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา) ซึ่งในทางตรงกันข้าม ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ (ถ้าสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ ก็เรียกว่าเหนือธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่เหนือธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งคือธรรมชาติ จะมีก็เพียงความเชื่อว่ามันมีเท่านั้น เช่น อำนาจวิเศษ, หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์, หรือจิตที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ที่เรียกว่า ผี, รวมทั้งเรื่อง นรกใต้ดิน, สวรรค์บนฟ้า, เทวดา, นางฟ้า เป็นต้น)
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ แม้จะเป็นกฎง่ายๆหรือธรรมดาๆ แต่ทว่ามีพลังอำนาจมากจนไม่มีอะไรจะมาต้านทานได้ ซึ่งกฎสูงสุดนี้จะสิงอยู่ในทุกสิ่ง หรือควบคุมทุกสิ่งเอาไว้ และดลบันดาลทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไป ถ้าเราเข้าใจกฎสูงสุดนี้ได้อย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว เราก็จะเข้าใจถึงความจริงพื้นฐานของทุกสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ รวมทั้งทำให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตของเราและของทุกชีวิตได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่ากฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ เป็นเสมือนกุญแจที่จะใช้ไขปริศนาของชีวิตและธรรมชาติ อันจะทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เราควรรู้ได้