เวลาไปห้างหากใครบังเอิญเดินไปโซนขายของเล่น เชื่อว่าพวกเราหลายคน คงคุ้นเคยกับภาพเด็กตัวน้อยผู้บ้าคลั่ง ที่อยากได้ของเล่นมาจับจองจนตัวสั่นอยู่เป็นแน่ ซึ่งกลเม็ดหลากหลายถูกหยิบยกเอามาใช้ไม่ขาดตอน ไม่ว่าจะอ้อนหรือดึงแขน เพื่อเรียกร้องความสนใจ จนพ่อแม่ต้องควักกระเป๋าเงินออกมาจับจ่ายให้ลูกอย่างเอ็นดู
ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจตามใจได้ทุกครั้ง บางครั้งพ่อแม่ก็ต้องแข็งข้อขัดใจลูกไม่ซื้อให้ บางครั้งถ้าดื้อนักก็อาจลงไม้ลงมือตีให้หลาบจำ เพื่อไม่ให้เสียคนเพราะตามใจ แต่ทว่าเด็กๆเอง ก็มีไม้ตายอยู่เหมือนกัน คือการร้องให้ลั่นห้าง โดยภารกิจปล่อยน้ำตาครั้งนี้ จะได้ของหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ที่แน่ๆคือพ่อแม่ต้องหัวเสียกันแน่นอน
อนึ่งเปรียบได้ว่า เด็กมีทักษะป้องกันตัวเองที่ดีกว่าผู้ใหญ่หลายเท่าตัว ถึงแม้ภายนอกจะดูบอบบาง เหมือนดูแลตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขารู้สึกเจ็บปวดหรือขวัญหนีดีฝ่อจากเสียงตวาดดุด่า เด็กเหล่านี้ก็สามารถรับมือกับความเจ็บช้ำได้อย่างชาญฉลาดและได้ผลเสมอ “เหล่าตัวน้อยคือนักสู้เจ้าน้ำตา” ที่ใช้พรจากพระเจ้าที่เรียกว่า “น้ำตา” ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
จนเมื่อวัยเยาว์ผ่านพ้นไป กาลเวลาเปลี่ยนความคิดให้เติบโต ประสบการณ์ชีวิตปรับทัศนคติให้ตาละปัด จากครั้งหนึ่งเราเคยรู้คุณค่าของน้ำตา กลับรู้สึกอับอายและหวาดกลัวที่จะร้องไห้ออกมายามเสียใจ หลายคนยอมกลบเกลื่อนความขมขื่นไว้ในใจ บ้างอาจใช้กำลังเขวี้ยงข้าวของระบายความคับแค้นใจ หรือบางคนตัดสินใจ กรีดแขน,แขวนคอ และคิดว่านั้นคือวิธีที่เด็ดเดี่ยว แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงอีกหนึ่งคน ที่อ่อนแออเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นเอง
หลายคนมักตีค่าของน้ำตา แทนที่ด้วยคำว่า “อ่อนแออ” ซึ่งหากเป็นจริง มนุษย์ที่ดิ้นรนอยากจะมีชีวิตอยู่ ก็ควรเรียนรู้ความอ่อนแออนี้ไว้บ้าง “ปู พงษ์สิทธิ์ คําภีร์” นักร้องเพื่อชีวิต เคยบอกความเข้มแข็งผ่านบทเพลง “ความเข้มแข็งครั้งสุดท้าย” ที่แฝงนัยยะสำคัญว่า “การร้องให้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่มันเป็นหนึ่งวิถีคนกล้าที่จะเผชิญความจริงอันเจ็บปวดผ่านร่องรอยคราบน้ำตา”
“บางทีการร้องไห้ใช่ว่าจะอ่อนแออ และน้อยคนนักที่กล้าแสดงมันออกมา”
ตัวผมเองก็เคยชิงชังและรังเกียจการร้องให้ เพราะมันทำลายภาพพจณ์หรือถูกมองอย่างเสียดหยันว่า “เป็นผู้ชายเจ้าน้ำตา” ผมจึงปกปิดความรู้สึกไว้ในใจ แสร้งฝืนยิ้ม เพื่อให้คนอื่นยอมรับว่าเรา“เข้มแข็ง”ขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าเตือนตนเองเสมอว่า “อย่าร้องไห้ ให้ใครเห็นโดยเด็ดขาด”
แต่ดูฟากฟ้าจะเข้าใจผมดี และอยากทดสอบอยู่เป็นนิจ เมื่อวันหนึ่ง ผมเดินกลับบ้านหลังจากเรียนเสร็จเหมือนทุกวัน ในเวลาคล้อยบ่าย กับกิจวัตรการเดินกลับบ้านในสถานที่ที่ซ้ำซากไม่มีอะไรให้รู้สึกจดจำ ทว่า เหตุการณ์บางอย่างก็แปลเปลี่ยนให้วันที่แสนจำเจ พิเศษขึ้นกว่าวันใดๆที่ผ่านมา
ความพิเศษในวั้นนั้น คือ การเจอกับผู้หญิงที่ตนแอบรักมาสี่ปี กำลังเดินจับมือเคียงคู่กับแฟนของเธอ
ภาพในวันวานที่ผมเคยสารภาพรักกับเธอ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้ผมรู้ว่าตนไม่มีสิทธิที่จะคร่ำครวญ เพราะการปฎิเสธคำสารภาพรักจากผม คือมติเอกฉันท์จากเธอ แต่วินาทีนั้นหัวใจผมกลับพังสลายอย่างไม่ทันตั้งตัว ใจสั่นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เสียงรถสัญจรที่ดังอื้ออึงกลับดับสนิทในทันที สายตาที่พร่ามัวเรียกรอยน้ำตาที่ปริ่มอยู่ในดวงตาให้ค่อยไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ ผมเคยพร่ำสอนตัวเองว่า “น้ำตามีค่าดั่งเพชร ” แต่เพิ่งรู้ความจริงในตอนนั้นว่า มันเป็นแค่ของโปเกราคาถูก ที่พร้อมหยิบยื่นให้ความเสียใจได้ทุกเวลา
ผมขึ้นรถตู้โดยสารแบบหมดสภาพ พยายามคงสภาพจิตใจให้อดกลั้นความรู้สึกไว้ คนขับสตาร์ทรถ พร้อมค่อยๆเคลื่อนรถออกอย่างช้าๆ เขายื่นตะกร้าใส่เงินเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารก่อนจะดับไฟในรถจนมืดสนิท รถวิ่งผ่านแสงไฟริมถนน ผมนั้งริมกระจกมองดูท้องฟ้าผ่านค่ำคืนที่ไร้ดวงดาว ความดำมืดกลับส่องให้เห็นหัวใจที่ว่างเปล่า หวนคำนึงถึงภาพพวกเขาอย่างลืมไม่ลง
อยากโทรระบายกับใครสักคน แต่คำปลอบใจที่ได้ คงไม่พ้นว่า “ไม่เจียมตัว ยุ่งกับคนมีเจ้าของ” จนเมื่อรถวิ่งขึ้นสะพานทางด่วน ความอัดกลั้นก็มาถึงจุดสิ้นสุด น้ำตาไหลนองหน้า แม้ผมพยายามเก็บเสียงสะอื้นให้ดังน้อยที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลบสายตาคนที่จับจ้องผมด้วยความสังเวช แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้แคร์ ผมก็ยังคงร้องไห้ต่อไปตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน
จนเมื่อรถมาจอดยังเป้าหมาย ผมปาดน้ำตาและค่อยๆเดินออกจากรถ ภายไต้สายตาคนที่มองผมอย่างไม่ลดละ และหลังจากเท้าได้สัมผัสพื้นดิน ผมถอนหายใจดังเฮือก ความเจ็บปวดและความปวดร้าวก็กลับหายไปในบัดดล เหมือนผมลืมไปเลยว่าร้องให้มาก่อน ท้องฟ้าที่มืดมัวแลดูโศกเศร้า แต่หัวใจกลับดูสดใสขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพของเธอจะยังคงวนเวียนอยู่ในใจ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ระบายความทุกข์ทุมให้ใครได้ฟังบ้าง แม้มันจะเป็นการร่ำร้องเพียงลำพังก็ตามที
คุณอาจไม่จำเป็นต้องร้องไห้เหมือนเด็กๆ แต่คุณต้องรู้จักใช้น้ำตาให้เป็นประโยชน์ อย่าเมินเฉยมัน ในขณะที่น้ำตาคือเพื่อนคนเดียวของคุณ ปล่อยให้มันชำระจิตใจที่ปวดร้าว อย่าฝืนทนทรมานเก็บความช้ำใจไว้กับตัวเอง เพราะการสุมเก็บความโศกเศร้า รังแต่จะทำให้ความเจ็บปวดพอกพูนขึ้นกว่าเดิม จงจำไว้ ทุกปัญหาต้องการทางออก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อให้นั้นคือการร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสมเพชก็ตามที ร้องไห้ออกมาเถอะครับ ระบายความทุกข์ผ่านรอยน้ำตา
“เพราะร้องไห้ให้ตายยังไง คุณก็ไม่ตาย มีแต่คนอมทุกข์ไว้ในใจเท่านั้นแหล่ะ ที่จะตายทั้งเป็น”
เขียนโดย(ปีจอ)
กลั้นน้ำตา=กลั้นใจตาย
ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจตามใจได้ทุกครั้ง บางครั้งพ่อแม่ก็ต้องแข็งข้อขัดใจลูกไม่ซื้อให้ บางครั้งถ้าดื้อนักก็อาจลงไม้ลงมือตีให้หลาบจำ เพื่อไม่ให้เสียคนเพราะตามใจ แต่ทว่าเด็กๆเอง ก็มีไม้ตายอยู่เหมือนกัน คือการร้องให้ลั่นห้าง โดยภารกิจปล่อยน้ำตาครั้งนี้ จะได้ของหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ที่แน่ๆคือพ่อแม่ต้องหัวเสียกันแน่นอน
อนึ่งเปรียบได้ว่า เด็กมีทักษะป้องกันตัวเองที่ดีกว่าผู้ใหญ่หลายเท่าตัว ถึงแม้ภายนอกจะดูบอบบาง เหมือนดูแลตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขารู้สึกเจ็บปวดหรือขวัญหนีดีฝ่อจากเสียงตวาดดุด่า เด็กเหล่านี้ก็สามารถรับมือกับความเจ็บช้ำได้อย่างชาญฉลาดและได้ผลเสมอ “เหล่าตัวน้อยคือนักสู้เจ้าน้ำตา” ที่ใช้พรจากพระเจ้าที่เรียกว่า “น้ำตา” ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
จนเมื่อวัยเยาว์ผ่านพ้นไป กาลเวลาเปลี่ยนความคิดให้เติบโต ประสบการณ์ชีวิตปรับทัศนคติให้ตาละปัด จากครั้งหนึ่งเราเคยรู้คุณค่าของน้ำตา กลับรู้สึกอับอายและหวาดกลัวที่จะร้องไห้ออกมายามเสียใจ หลายคนยอมกลบเกลื่อนความขมขื่นไว้ในใจ บ้างอาจใช้กำลังเขวี้ยงข้าวของระบายความคับแค้นใจ หรือบางคนตัดสินใจ กรีดแขน,แขวนคอ และคิดว่านั้นคือวิธีที่เด็ดเดี่ยว แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงอีกหนึ่งคน ที่อ่อนแออเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นเอง
หลายคนมักตีค่าของน้ำตา แทนที่ด้วยคำว่า “อ่อนแออ” ซึ่งหากเป็นจริง มนุษย์ที่ดิ้นรนอยากจะมีชีวิตอยู่ ก็ควรเรียนรู้ความอ่อนแออนี้ไว้บ้าง “ปู พงษ์สิทธิ์ คําภีร์” นักร้องเพื่อชีวิต เคยบอกความเข้มแข็งผ่านบทเพลง “ความเข้มแข็งครั้งสุดท้าย” ที่แฝงนัยยะสำคัญว่า “การร้องให้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่มันเป็นหนึ่งวิถีคนกล้าที่จะเผชิญความจริงอันเจ็บปวดผ่านร่องรอยคราบน้ำตา”
“บางทีการร้องไห้ใช่ว่าจะอ่อนแออ และน้อยคนนักที่กล้าแสดงมันออกมา”
ตัวผมเองก็เคยชิงชังและรังเกียจการร้องให้ เพราะมันทำลายภาพพจณ์หรือถูกมองอย่างเสียดหยันว่า “เป็นผู้ชายเจ้าน้ำตา” ผมจึงปกปิดความรู้สึกไว้ในใจ แสร้งฝืนยิ้ม เพื่อให้คนอื่นยอมรับว่าเรา“เข้มแข็ง”ขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าเตือนตนเองเสมอว่า “อย่าร้องไห้ ให้ใครเห็นโดยเด็ดขาด”
แต่ดูฟากฟ้าจะเข้าใจผมดี และอยากทดสอบอยู่เป็นนิจ เมื่อวันหนึ่ง ผมเดินกลับบ้านหลังจากเรียนเสร็จเหมือนทุกวัน ในเวลาคล้อยบ่าย กับกิจวัตรการเดินกลับบ้านในสถานที่ที่ซ้ำซากไม่มีอะไรให้รู้สึกจดจำ ทว่า เหตุการณ์บางอย่างก็แปลเปลี่ยนให้วันที่แสนจำเจ พิเศษขึ้นกว่าวันใดๆที่ผ่านมา
ความพิเศษในวั้นนั้น คือ การเจอกับผู้หญิงที่ตนแอบรักมาสี่ปี กำลังเดินจับมือเคียงคู่กับแฟนของเธอ
ภาพในวันวานที่ผมเคยสารภาพรักกับเธอ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้ผมรู้ว่าตนไม่มีสิทธิที่จะคร่ำครวญ เพราะการปฎิเสธคำสารภาพรักจากผม คือมติเอกฉันท์จากเธอ แต่วินาทีนั้นหัวใจผมกลับพังสลายอย่างไม่ทันตั้งตัว ใจสั่นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เสียงรถสัญจรที่ดังอื้ออึงกลับดับสนิทในทันที สายตาที่พร่ามัวเรียกรอยน้ำตาที่ปริ่มอยู่ในดวงตาให้ค่อยไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ ผมเคยพร่ำสอนตัวเองว่า “น้ำตามีค่าดั่งเพชร ” แต่เพิ่งรู้ความจริงในตอนนั้นว่า มันเป็นแค่ของโปเกราคาถูก ที่พร้อมหยิบยื่นให้ความเสียใจได้ทุกเวลา
ผมขึ้นรถตู้โดยสารแบบหมดสภาพ พยายามคงสภาพจิตใจให้อดกลั้นความรู้สึกไว้ คนขับสตาร์ทรถ พร้อมค่อยๆเคลื่อนรถออกอย่างช้าๆ เขายื่นตะกร้าใส่เงินเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารก่อนจะดับไฟในรถจนมืดสนิท รถวิ่งผ่านแสงไฟริมถนน ผมนั้งริมกระจกมองดูท้องฟ้าผ่านค่ำคืนที่ไร้ดวงดาว ความดำมืดกลับส่องให้เห็นหัวใจที่ว่างเปล่า หวนคำนึงถึงภาพพวกเขาอย่างลืมไม่ลง
อยากโทรระบายกับใครสักคน แต่คำปลอบใจที่ได้ คงไม่พ้นว่า “ไม่เจียมตัว ยุ่งกับคนมีเจ้าของ” จนเมื่อรถวิ่งขึ้นสะพานทางด่วน ความอัดกลั้นก็มาถึงจุดสิ้นสุด น้ำตาไหลนองหน้า แม้ผมพยายามเก็บเสียงสะอื้นให้ดังน้อยที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลบสายตาคนที่จับจ้องผมด้วยความสังเวช แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้แคร์ ผมก็ยังคงร้องไห้ต่อไปตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน
จนเมื่อรถมาจอดยังเป้าหมาย ผมปาดน้ำตาและค่อยๆเดินออกจากรถ ภายไต้สายตาคนที่มองผมอย่างไม่ลดละ และหลังจากเท้าได้สัมผัสพื้นดิน ผมถอนหายใจดังเฮือก ความเจ็บปวดและความปวดร้าวก็กลับหายไปในบัดดล เหมือนผมลืมไปเลยว่าร้องให้มาก่อน ท้องฟ้าที่มืดมัวแลดูโศกเศร้า แต่หัวใจกลับดูสดใสขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพของเธอจะยังคงวนเวียนอยู่ในใจ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ระบายความทุกข์ทุมให้ใครได้ฟังบ้าง แม้มันจะเป็นการร่ำร้องเพียงลำพังก็ตามที
คุณอาจไม่จำเป็นต้องร้องไห้เหมือนเด็กๆ แต่คุณต้องรู้จักใช้น้ำตาให้เป็นประโยชน์ อย่าเมินเฉยมัน ในขณะที่น้ำตาคือเพื่อนคนเดียวของคุณ ปล่อยให้มันชำระจิตใจที่ปวดร้าว อย่าฝืนทนทรมานเก็บความช้ำใจไว้กับตัวเอง เพราะการสุมเก็บความโศกเศร้า รังแต่จะทำให้ความเจ็บปวดพอกพูนขึ้นกว่าเดิม จงจำไว้ ทุกปัญหาต้องการทางออก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อให้นั้นคือการร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสมเพชก็ตามที ร้องไห้ออกมาเถอะครับ ระบายความทุกข์ผ่านรอยน้ำตา
“เพราะร้องไห้ให้ตายยังไง คุณก็ไม่ตาย มีแต่คนอมทุกข์ไว้ในใจเท่านั้นแหล่ะ ที่จะตายทั้งเป็น”