หลังจากย้ายรังเสร็จหมาดๆ ตอนนี้เพิ่งมีอินเตอร์เน็ตใช้
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้จะกลับมาแปะนิยายตามเดิมแล้วค่ะ ^^
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๑๓
http://ppantip.com/topic/31664085
###
บทที่ ๑๔ อดีตอัปยศ
คีตา อะคีรา เดินมาตามทางเดินหน้าห้องท้องพระโรงในเวลาเช้า ทว่าผู้ที่ติดตามเขาในวันนี้...ไม่ใช่พิฆาน
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่กลับจากปราบปรามพวกเมยาดิคที่หมู่บ้านทางด้านตะวันตก และพบดาบของศมิน อาการของเด็กหนุ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยัน และยังขี้ม้าไม่ได้ จึงไม่สะดวกติดตามเข้าร่วมประชุมเสนาธิการ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คีตาพยายามจับดาดูพฤติกรรมของมินนรา พูดคุยกับนางเพื่อคอยดูท่าทีเป็นครั้งคราว ในกลางดึกบางวันเขายังออกมาเดินในสวนใกล้ๆ ห้องพักของนาง ดูว่านางหรือแมวป่าจะโผล่มาบ้างหรือไม่ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ ไม่เห็นแมวป่า ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย...
จะเป็นเพราะนางรู้ว่าเขาคอยจ้องดูอยู่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทว่ายิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้น รู้สึกอึดอัดในอก หัวใจราวกับถูกบีบทุกครั้งที่คิดว่านางเป็นเมยาดิค
...บางทีอาจเพราะเขาสงสัยในแผนของพวกมัน ความระแคะระคายสงสัยก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้เช่นกัน
ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องท้องพระโรง เขารู้สึกหลากใจอบ้างยามเห็นสายตาคลางแคลงของข้าราชการบางท่านที่มองมา หากเขาก็ทราบ แม้ระยะนี้จะไม่มีใครเห็นแมวป่าอีก แต่ข่าวลือก็ใช่ว่าจะจางหายไปด้วย ตรงกันข้าม ข่าวลือกลับกลายเป็นว่า หลังจากคนเสตาลัญฉน์ทราบว่าความลับถูกพบเห็น ก็จัดการเอาแมวนั่นไปเก็บเสีย
ข่าวลือก็คือข่าวลือ มีจริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป
การประชุมเสนาบดีในเวลาต่อมายังคงมีราชาภควานเป็นประธานเช่นเคย ร่วมด้วยเจ้าชายนรบดี และเจ้าชายนิรมัน
การประชุมดำเนินไปด้วยดี หลังจากเหล่าเสนาบดีรายงานเหตุต่างๆ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนแล้ว องค์ราชาก็ให้โอกาสที่ประชุมเสนอวาระอื่นเพิ่มเติม อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระองค์
คนอื่นๆ ในที่ประชุมล้วนเงียบอยู่ ทว่าคีตาสังเกตเห็นทหารหลวงผู้ติดตามที่ด้านหลังเจ้าชายนรบดีก้มกระซิบกระซาบกับพระองค์ ชายผู้นั้นมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เขาต้องสนใจ ผมสั้นนั้นเป็นสีเทา สายตากลอกลิ้ง ท่าทางหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย
ครั้นแล้วเจ้าชายก็เหลียวมาทางคีตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย้ยหยัน
"ข้าขอเสนอเรื่องแมวป่าเป็นวาระเร่งด่วน" องค์ยุพราชโพล่งขึ้น เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง แม้แต่เจ้าชายนิรมันยังต้องเบิกตาด้วยความตระหนก
...พระองค์ก็คงทราบเรื่องข่าวลือเช่นกัน
"แมวป่า..." องค์ราชาตรัส
"ถูกแล้วพระบิดา ข้าได้ยินชาวบ้านลือกัน ว่าเสตาลัญฉน์เลี้ยงแมวป่าไว้ในคฤหาสน์ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้วิ่งเข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่นเลยทีเดียว ตอนนี้เอาไปซ่อนเสียที่ไหนเล่า" ประโยคสุดท้าย ทรงหันมากล่าวกับคีตา
"มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ" ราชาภควานตรัสถาม พลางทอดพระเนตรมาทางผู้นำเสตาลัญฉน์เช่นกัน ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเคยสดับเรื่องนี้แล้วหรือไม่ หากแต่โดยปกติ แม้จะทรงทราบเรื่องแล้ว ก็ยังทรงถามเพื่อสอบสวนทวนความเช่นกัน
คีตาก้าวมาตรงหน้าพระพักตร์ กำมือขวาทาบอก ค้อมกายต่ำด้วยความเคารพอย่างสูง ก่อนจะยืดตัวตรงด้วยท่าทีอันผ่าเผย แล้วเอ่ยขึ้น
"ฝ่าบาท ข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง" น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ เช่นเดียวกับสีหน้าและดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
"พระบิดา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ชาวบ้านลือกันไปทั่ว ข้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายในที่นี้ก็ต้องเคยได้ยินมาเช่นกัน"
ในท้องพระโรงบังเกิดเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้ง เสนาธิการบางคนพยักพเยิดให้กันและกัน ยอมรับว่าเคยได้ยินข่าวลือนี้จริง หากแต่ผู้นำเสตาลัญฉน์ยังคงรักษาท่าทีไว้ ไม่กล่าวกระไรอีก ในเมื่อไม่มีผู้ถาม เหตุใดจึงต้องกล่าวให้มากความ
ในที่สุดก็มีคนกล่าวขึ้น...
"ข้าขอเสนอให้มีการตรวจค้นคฤหาสน์เสตาลัญฉน์" ผู้กล่าวคือเจ้าชายนรบดีเอง "ข้าจะนำทหารไปตรวจค้นหลังจากการประชุมนี้เสียเลย"
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เหลือบหางตาไปทางผู้ติดตามของตน ...หากวันนี้ผู้ที่ติดตามเขามาเป็นพิฆาน คงได้เกิดเรื่องใหญ่กันแน่...
—
พิฆานก้าวออกจากห้องของตน หอบไม้ค้ำยัน ทำท่ากระย่องกระแย่งไปตามทางเดิน เขาไม่ต้องการใช้ไม้ค้ำยันให้เกิดเสียงดัง เมื่อมาถึงหน้าห้องบวงสรวงก็หันซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีใครแน่แล้วจึงลอบยิ้มออกมา ล้วงหยิบกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขปลดโซ่ที่คล้องประตู ก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ
เมื่อเช้า เขาได้ยินอัยยาบอกว่าจะเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อหาผ้าพันแผลมาเพิ่ม (หลังจากมินนราใช้ทำแผลให้คีตาจนเกือบหมดม้วนในคราวเดียว) เขาจึงเห็นเป็นโอกาสฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอา ลงไปหาพี่ชายในห้องใต้ดิน อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขวา ทำให้เขาไม่ได้พบพี่ชายมาหลายวันแล้ว
การต้องอาศัยไม้ค้ำยันประคองตัวเองก้าวลงบันไดทำให้ขลุกขลักอยู่ไม่น้อย หากนั่นยังไม่นับรวมกับที่เขาต้องค่อยๆ คลำทางในความมืด เพราะเมื่อต้องใช้ไม้ค้ำยัน ก็ไม่มีมือไปถือคบเพลิง ทว่าความลำบากทั้งหมดนั้นไม่สำคัญ...ไม่สำคัญเลย...
เด็กหนุ่มแหย่ไม้ค้ำยันไปเบื้องหน้าเพื่อนำทาง แล้วค่อยๆ จรดลงที่บันไดขั้นถัดไป ก่อนจะโยกกายวางเท้าซ้ายตามลงไป โดยพยายามไม่ให้เท้าขวาต้องกระทบพื้น เพื่อป้องกันการกระเทือนถึงหัวเข่า
เขาก้าวบ้างพักบ้าง เป็นเวลานานพอสมควรกว่าจะไต่บันไดอันวกวนลงมาถึงห้องลับใต้ดิน แล้วจึงค่อยๆ โขยกเขยกตรงไปผลักประตูเหล็ก อันเป็นเสมือนคุกขังพี่ชายให้เปิดออกเบาๆ
"เวคิน!" เขาร้องขึ้นอย่างยินดี ทันทีที่เห็นพี่ชายนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ชายผมแดงเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาสองสีแฝงแววหม่นมีรอยยิ้มเปี่ยมอาทร เขายืนขึ้นอ้าแขนรับน้องชายที่ลืมตัว โผเข้ามาทั้งที่ขายังเจ็บ จนทั้งคู่แทบล้มโครมลง
"เจ้าบาดเจ็บไม่ใช่หรือ ลงมาทำไม" ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย ก่อนจะประคองน้องชายให้นั่งลงที่โต๊ะกลมกลางห้อง
"เจ็บแค่นี้เล็กน้อย" พิฆานคุยโอ่ "กลัวแต่ว่าพี่จะเฉาตายเสียก่อน ถ้าไม่ได้ยินเสียงข้า"
เวคินหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยมีใครทำให้เขาหัวเราะได้อย่างจริงใจ นอกจากเด็กหนุ่มผู้นี้
"ลงมาแบบนี้ ท่านอาไม่ว่าอะไรหรือ" เขาถามอีก หย่อนกายนั่งลงข้างน้องชาย
พิฆานเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ "อย่าเอ็ดไป ท่านอาไม่อยู่ ข้าจึงแอบลงมาได้"
ผู้เป็นพี่แสร้งเหลือบมองกลับด้วยแววตารู้ทัน "อย่างนี้ถ้าท่านอากลับมา คงต้องบอกให้ล่ามเจ้าไว้แล้วล่ะสิ"
"อย่าเชียว" เด็กหนุ่มท้วง "ถ้าท่านอาล่ามข้า แล้วใครจะเอาเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้พี่ฟังเล่า"
เวคินคลี่ยิ้มบางๆ "แล้ววันนี้มีอะไรมาเล่าล่ะ เรื่องที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บนี่น่ะหรือ"
"ใช่แล้ว" พิฆานรับ จากนั้นจึงเล่าเหตุการณ์การต่อสู้กับงูน้ำอย่างออกรส
เวคินรับฟังด้วยท่าทีสนอกสนใจ ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ทำท่าตื่นเต้นไปตามเรื่องตามราว หากในใจยังอดคิดไม่ได้ ...งูน้ำ อย่างไรก็เป็นงู ตัวเขาเองก็เป็นงู
"แล้วพี่อ่านอะไรอยู่หรือ" เด็กหนุ่มถามขึ้นบ้าง หลังจากเล่าเรื่องของตัวจบ พร้อมกับหันไปทางตำราแผ่นหนังที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ...ตำราที่พี่ชายของเขาอ่านค้างไว้
"ประวัติของกาเยน" เวคินตอบเรียบๆ
"กาเยน...กาเยน..." พิฆานทวนคำ "กาเยน เสตาลัญฉน์ ผู้นำกองกำลังคนสุดท้ายที่เป็นคนตระกูลเสตาลัญฉน์น่ะหรือ"
ชายผมแดงพยักหน้านิดหนึ่ง
"ประวัติของเขาเป็นอย่างไร พี่เล่าให้ข้าฟังหน่อย"
เวคินกลอกตาตลบหนึ่ง ก่อนจะตอบเป็นเชิงหยอก "เจ้าก็เอาไปอ่านเองสิ"
"โธ่ พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ชอบอ่าน แค่จับตำราก็ง่วงแล้ว"
ผู้เป็นพี่หัวเราะเบาๆ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ น้องชายของเขาขี้เกียจอ่านตำราเป็นที่สุด หากให้เขานั่งเฉยๆ อ่านตำรา ยังยากกว่าให้เขาบุกตะลุยเข้าป่าปิศาจหลายเท่านัก
ทว่าก่อนที่เวคินจะเริ่มเล่า ก็มีเสียงบางอย่างขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เสียงที่ทำให้พิฆานต้องสะดุ้งสุดตัว รวบไม้ค้ำยันของตน ยกขา กระโดดเหยงๆ ไปหลบอยู่หลังฉากกั้นห้องทีเดียว
เสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดหินมาช้าๆ
เวคินได้ยินแล้วก็พอทราบว่าเป็นใคร เขาอยู่ห้องใต้ดินมาเนิ่นนาน คนที่ลงมาก็มีเพียงไม่กี่คน ให้จำแนกเสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้น ไม่ยากเลย
"ท่านปู่ ไม่ใช่ท่านอาหรอก ออกมาเถอะ" เขากระซิบบอกน้องชายที่หลังฉากกั้นห้อง พิฆานจึงผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ดังเฮือกใหญ่ กะเผลกกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม
สักครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะกับประตูเหล็ก จากนั้น ร่างซูบผอมก็ก้าวเข้ามา เมื่อเห็นสองพี่น้องอยู่กันพร้อมหน้า ชายชราก็คลี่ยิ้มเปี่ยมเมตตา
"ท่านปู่ทำข้าตกใจหมด" เด็กหนุ่มโอด เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากผู้มาใหม่
"อัยยาห้ามไม่ให้เจ้าลงมาไม่ใช่หรือ" จิรภัจเอ่ยถามเป็นเชิงหยอก
"ถ้าไม่ได้ลงมา ข้าคงอึดอัดตาย"
ชายชราหัวเราะออกมาอีก แล้วจึงหันไปทางเวคิน "คราวนี้ น้องเจ้าเอาวีรกรรมอะไรมาเล่าให้ฟังอีกล่ะ"
"วีรกรรมในน้ำน่ะ ท่านปู่ ถูกกระชากลงน้ำจนขาแทบหัก"
จิรภัจพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ แล้วจึงหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
พิฆานเห็นพวกเขาเงียบไปเป็นครู่ จึงพูดขึ้นบ้าง "ข้ากำลังจะให้พี่เล่าเรื่องกาเยน สมัยก่อนท่านปู่ก็ติดตามกาเยนไม่ใช่หรือ ท่านปู่เล่าให้ข้าฟังบ้างเถิด"
จิรภัจได้ยินแล้วก็ถอนใจยาว เรื่องราวของกาเยนในความทรงจำของเขาสลดหดหู่อยู่ไม่น้อย "ฟังคนแก่เล่าจะไปสนุกอะไร ฟังพี่เจ้าเล่านั่นละ ดีแล้ว"
"ข้าก็รู้มาจากตำราเท่านั้น ที่ไหนจะสนุกเท่าฟังท่านเล่าจากประสบการณ์ ข้าเองก็อยากฟังเช่นกัน ท่านปู่"
ชายชราเห็นสายตาอ้อนวอนของสองพี่น้อง จึงจำต้องสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเอ่ย
"กาเยนในตอนนั้น ก็เป็นผู้นำเสตาลัญฉน์ที่อาจหาญ เช่นเดียวกับคีตาของพวกเจ้าในเวลานี้..."
—
[ต่อด้านล่างจ้า]
คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๑๔ อดีตอัปยศ
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้จะกลับมาแปะนิยายตามเดิมแล้วค่ะ ^^
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/31664085
###
บทที่ ๑๔ อดีตอัปยศ
คีตา อะคีรา เดินมาตามทางเดินหน้าห้องท้องพระโรงในเวลาเช้า ทว่าผู้ที่ติดตามเขาในวันนี้...ไม่ใช่พิฆาน
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่กลับจากปราบปรามพวกเมยาดิคที่หมู่บ้านทางด้านตะวันตก และพบดาบของศมิน อาการของเด็กหนุ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยัน และยังขี้ม้าไม่ได้ จึงไม่สะดวกติดตามเข้าร่วมประชุมเสนาธิการ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คีตาพยายามจับดาดูพฤติกรรมของมินนรา พูดคุยกับนางเพื่อคอยดูท่าทีเป็นครั้งคราว ในกลางดึกบางวันเขายังออกมาเดินในสวนใกล้ๆ ห้องพักของนาง ดูว่านางหรือแมวป่าจะโผล่มาบ้างหรือไม่ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ ไม่เห็นแมวป่า ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย...
จะเป็นเพราะนางรู้ว่าเขาคอยจ้องดูอยู่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทว่ายิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้น รู้สึกอึดอัดในอก หัวใจราวกับถูกบีบทุกครั้งที่คิดว่านางเป็นเมยาดิค
...บางทีอาจเพราะเขาสงสัยในแผนของพวกมัน ความระแคะระคายสงสัยก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้เช่นกัน
ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องท้องพระโรง เขารู้สึกหลากใจอบ้างยามเห็นสายตาคลางแคลงของข้าราชการบางท่านที่มองมา หากเขาก็ทราบ แม้ระยะนี้จะไม่มีใครเห็นแมวป่าอีก แต่ข่าวลือก็ใช่ว่าจะจางหายไปด้วย ตรงกันข้าม ข่าวลือกลับกลายเป็นว่า หลังจากคนเสตาลัญฉน์ทราบว่าความลับถูกพบเห็น ก็จัดการเอาแมวนั่นไปเก็บเสีย
ข่าวลือก็คือข่าวลือ มีจริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป
การประชุมเสนาบดีในเวลาต่อมายังคงมีราชาภควานเป็นประธานเช่นเคย ร่วมด้วยเจ้าชายนรบดี และเจ้าชายนิรมัน
การประชุมดำเนินไปด้วยดี หลังจากเหล่าเสนาบดีรายงานเหตุต่างๆ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนแล้ว องค์ราชาก็ให้โอกาสที่ประชุมเสนอวาระอื่นเพิ่มเติม อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระองค์
คนอื่นๆ ในที่ประชุมล้วนเงียบอยู่ ทว่าคีตาสังเกตเห็นทหารหลวงผู้ติดตามที่ด้านหลังเจ้าชายนรบดีก้มกระซิบกระซาบกับพระองค์ ชายผู้นั้นมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เขาต้องสนใจ ผมสั้นนั้นเป็นสีเทา สายตากลอกลิ้ง ท่าทางหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย
ครั้นแล้วเจ้าชายก็เหลียวมาทางคีตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย้ยหยัน
"ข้าขอเสนอเรื่องแมวป่าเป็นวาระเร่งด่วน" องค์ยุพราชโพล่งขึ้น เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง แม้แต่เจ้าชายนิรมันยังต้องเบิกตาด้วยความตระหนก
...พระองค์ก็คงทราบเรื่องข่าวลือเช่นกัน
"แมวป่า..." องค์ราชาตรัส
"ถูกแล้วพระบิดา ข้าได้ยินชาวบ้านลือกัน ว่าเสตาลัญฉน์เลี้ยงแมวป่าไว้ในคฤหาสน์ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้วิ่งเข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่นเลยทีเดียว ตอนนี้เอาไปซ่อนเสียที่ไหนเล่า" ประโยคสุดท้าย ทรงหันมากล่าวกับคีตา
"มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ" ราชาภควานตรัสถาม พลางทอดพระเนตรมาทางผู้นำเสตาลัญฉน์เช่นกัน ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเคยสดับเรื่องนี้แล้วหรือไม่ หากแต่โดยปกติ แม้จะทรงทราบเรื่องแล้ว ก็ยังทรงถามเพื่อสอบสวนทวนความเช่นกัน
คีตาก้าวมาตรงหน้าพระพักตร์ กำมือขวาทาบอก ค้อมกายต่ำด้วยความเคารพอย่างสูง ก่อนจะยืดตัวตรงด้วยท่าทีอันผ่าเผย แล้วเอ่ยขึ้น
"ฝ่าบาท ข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง" น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ เช่นเดียวกับสีหน้าและดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
"พระบิดา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ชาวบ้านลือกันไปทั่ว ข้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายในที่นี้ก็ต้องเคยได้ยินมาเช่นกัน"
ในท้องพระโรงบังเกิดเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้ง เสนาธิการบางคนพยักพเยิดให้กันและกัน ยอมรับว่าเคยได้ยินข่าวลือนี้จริง หากแต่ผู้นำเสตาลัญฉน์ยังคงรักษาท่าทีไว้ ไม่กล่าวกระไรอีก ในเมื่อไม่มีผู้ถาม เหตุใดจึงต้องกล่าวให้มากความ
ในที่สุดก็มีคนกล่าวขึ้น...
"ข้าขอเสนอให้มีการตรวจค้นคฤหาสน์เสตาลัญฉน์" ผู้กล่าวคือเจ้าชายนรบดีเอง "ข้าจะนำทหารไปตรวจค้นหลังจากการประชุมนี้เสียเลย"
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เหลือบหางตาไปทางผู้ติดตามของตน ...หากวันนี้ผู้ที่ติดตามเขามาเป็นพิฆาน คงได้เกิดเรื่องใหญ่กันแน่...
—
พิฆานก้าวออกจากห้องของตน หอบไม้ค้ำยัน ทำท่ากระย่องกระแย่งไปตามทางเดิน เขาไม่ต้องการใช้ไม้ค้ำยันให้เกิดเสียงดัง เมื่อมาถึงหน้าห้องบวงสรวงก็หันซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีใครแน่แล้วจึงลอบยิ้มออกมา ล้วงหยิบกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขปลดโซ่ที่คล้องประตู ก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ
เมื่อเช้า เขาได้ยินอัยยาบอกว่าจะเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อหาผ้าพันแผลมาเพิ่ม (หลังจากมินนราใช้ทำแผลให้คีตาจนเกือบหมดม้วนในคราวเดียว) เขาจึงเห็นเป็นโอกาสฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอา ลงไปหาพี่ชายในห้องใต้ดิน อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขวา ทำให้เขาไม่ได้พบพี่ชายมาหลายวันแล้ว
การต้องอาศัยไม้ค้ำยันประคองตัวเองก้าวลงบันไดทำให้ขลุกขลักอยู่ไม่น้อย หากนั่นยังไม่นับรวมกับที่เขาต้องค่อยๆ คลำทางในความมืด เพราะเมื่อต้องใช้ไม้ค้ำยัน ก็ไม่มีมือไปถือคบเพลิง ทว่าความลำบากทั้งหมดนั้นไม่สำคัญ...ไม่สำคัญเลย...
เด็กหนุ่มแหย่ไม้ค้ำยันไปเบื้องหน้าเพื่อนำทาง แล้วค่อยๆ จรดลงที่บันไดขั้นถัดไป ก่อนจะโยกกายวางเท้าซ้ายตามลงไป โดยพยายามไม่ให้เท้าขวาต้องกระทบพื้น เพื่อป้องกันการกระเทือนถึงหัวเข่า
เขาก้าวบ้างพักบ้าง เป็นเวลานานพอสมควรกว่าจะไต่บันไดอันวกวนลงมาถึงห้องลับใต้ดิน แล้วจึงค่อยๆ โขยกเขยกตรงไปผลักประตูเหล็ก อันเป็นเสมือนคุกขังพี่ชายให้เปิดออกเบาๆ
"เวคิน!" เขาร้องขึ้นอย่างยินดี ทันทีที่เห็นพี่ชายนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ชายผมแดงเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาสองสีแฝงแววหม่นมีรอยยิ้มเปี่ยมอาทร เขายืนขึ้นอ้าแขนรับน้องชายที่ลืมตัว โผเข้ามาทั้งที่ขายังเจ็บ จนทั้งคู่แทบล้มโครมลง
"เจ้าบาดเจ็บไม่ใช่หรือ ลงมาทำไม" ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย ก่อนจะประคองน้องชายให้นั่งลงที่โต๊ะกลมกลางห้อง
"เจ็บแค่นี้เล็กน้อย" พิฆานคุยโอ่ "กลัวแต่ว่าพี่จะเฉาตายเสียก่อน ถ้าไม่ได้ยินเสียงข้า"
เวคินหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยมีใครทำให้เขาหัวเราะได้อย่างจริงใจ นอกจากเด็กหนุ่มผู้นี้
"ลงมาแบบนี้ ท่านอาไม่ว่าอะไรหรือ" เขาถามอีก หย่อนกายนั่งลงข้างน้องชาย
พิฆานเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ "อย่าเอ็ดไป ท่านอาไม่อยู่ ข้าจึงแอบลงมาได้"
ผู้เป็นพี่แสร้งเหลือบมองกลับด้วยแววตารู้ทัน "อย่างนี้ถ้าท่านอากลับมา คงต้องบอกให้ล่ามเจ้าไว้แล้วล่ะสิ"
"อย่าเชียว" เด็กหนุ่มท้วง "ถ้าท่านอาล่ามข้า แล้วใครจะเอาเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้พี่ฟังเล่า"
เวคินคลี่ยิ้มบางๆ "แล้ววันนี้มีอะไรมาเล่าล่ะ เรื่องที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บนี่น่ะหรือ"
"ใช่แล้ว" พิฆานรับ จากนั้นจึงเล่าเหตุการณ์การต่อสู้กับงูน้ำอย่างออกรส
เวคินรับฟังด้วยท่าทีสนอกสนใจ ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ทำท่าตื่นเต้นไปตามเรื่องตามราว หากในใจยังอดคิดไม่ได้ ...งูน้ำ อย่างไรก็เป็นงู ตัวเขาเองก็เป็นงู
"แล้วพี่อ่านอะไรอยู่หรือ" เด็กหนุ่มถามขึ้นบ้าง หลังจากเล่าเรื่องของตัวจบ พร้อมกับหันไปทางตำราแผ่นหนังที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ...ตำราที่พี่ชายของเขาอ่านค้างไว้
"ประวัติของกาเยน" เวคินตอบเรียบๆ
"กาเยน...กาเยน..." พิฆานทวนคำ "กาเยน เสตาลัญฉน์ ผู้นำกองกำลังคนสุดท้ายที่เป็นคนตระกูลเสตาลัญฉน์น่ะหรือ"
ชายผมแดงพยักหน้านิดหนึ่ง
"ประวัติของเขาเป็นอย่างไร พี่เล่าให้ข้าฟังหน่อย"
เวคินกลอกตาตลบหนึ่ง ก่อนจะตอบเป็นเชิงหยอก "เจ้าก็เอาไปอ่านเองสิ"
"โธ่ พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ชอบอ่าน แค่จับตำราก็ง่วงแล้ว"
ผู้เป็นพี่หัวเราะเบาๆ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ น้องชายของเขาขี้เกียจอ่านตำราเป็นที่สุด หากให้เขานั่งเฉยๆ อ่านตำรา ยังยากกว่าให้เขาบุกตะลุยเข้าป่าปิศาจหลายเท่านัก
ทว่าก่อนที่เวคินจะเริ่มเล่า ก็มีเสียงบางอย่างขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เสียงที่ทำให้พิฆานต้องสะดุ้งสุดตัว รวบไม้ค้ำยันของตน ยกขา กระโดดเหยงๆ ไปหลบอยู่หลังฉากกั้นห้องทีเดียว
เสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดหินมาช้าๆ
เวคินได้ยินแล้วก็พอทราบว่าเป็นใคร เขาอยู่ห้องใต้ดินมาเนิ่นนาน คนที่ลงมาก็มีเพียงไม่กี่คน ให้จำแนกเสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้น ไม่ยากเลย
"ท่านปู่ ไม่ใช่ท่านอาหรอก ออกมาเถอะ" เขากระซิบบอกน้องชายที่หลังฉากกั้นห้อง พิฆานจึงผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ดังเฮือกใหญ่ กะเผลกกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม
สักครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะกับประตูเหล็ก จากนั้น ร่างซูบผอมก็ก้าวเข้ามา เมื่อเห็นสองพี่น้องอยู่กันพร้อมหน้า ชายชราก็คลี่ยิ้มเปี่ยมเมตตา
"ท่านปู่ทำข้าตกใจหมด" เด็กหนุ่มโอด เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากผู้มาใหม่
"อัยยาห้ามไม่ให้เจ้าลงมาไม่ใช่หรือ" จิรภัจเอ่ยถามเป็นเชิงหยอก
"ถ้าไม่ได้ลงมา ข้าคงอึดอัดตาย"
ชายชราหัวเราะออกมาอีก แล้วจึงหันไปทางเวคิน "คราวนี้ น้องเจ้าเอาวีรกรรมอะไรมาเล่าให้ฟังอีกล่ะ"
"วีรกรรมในน้ำน่ะ ท่านปู่ ถูกกระชากลงน้ำจนขาแทบหัก"
จิรภัจพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ แล้วจึงหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
พิฆานเห็นพวกเขาเงียบไปเป็นครู่ จึงพูดขึ้นบ้าง "ข้ากำลังจะให้พี่เล่าเรื่องกาเยน สมัยก่อนท่านปู่ก็ติดตามกาเยนไม่ใช่หรือ ท่านปู่เล่าให้ข้าฟังบ้างเถิด"
จิรภัจได้ยินแล้วก็ถอนใจยาว เรื่องราวของกาเยนในความทรงจำของเขาสลดหดหู่อยู่ไม่น้อย "ฟังคนแก่เล่าจะไปสนุกอะไร ฟังพี่เจ้าเล่านั่นละ ดีแล้ว"
"ข้าก็รู้มาจากตำราเท่านั้น ที่ไหนจะสนุกเท่าฟังท่านเล่าจากประสบการณ์ ข้าเองก็อยากฟังเช่นกัน ท่านปู่"
ชายชราเห็นสายตาอ้อนวอนของสองพี่น้อง จึงจำต้องสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเอ่ย
"กาเยนในตอนนั้น ก็เป็นผู้นำเสตาลัญฉน์ที่อาจหาญ เช่นเดียวกับคีตาของพวกเจ้าในเวลานี้..."
—
[ต่อด้านล่างจ้า]