คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๒ บาดแผล

กระทู้สนทนา
บทนี้จะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องแล้วนะคะ
ส่วนคอมเมนต์ ไปตอบที่กระทู้เดิมแล้วเน่อ
ปูลู พรุ่งนี้จะมาแปะอีกตอนนะฮับ

ความเดิม
http://ppantip.com/topic/31416243

ต่อเลยจ้า

###

บทที่ ๒ บาดแผล

ที่นี่...ที่ไหน...

คีตายืนอยู่เพียงลำพังในความมืด... หนาวเย็นจนต้องซุกมือกอดอก

เขามองไปรอบตัว เห็นเพียงความมืดมิด รู้สึกเพียงความหนาวเย็น

...ที่นี่ที่ไหนกัน

เขาแหงนมองขึ้นไปทางด้านบน เหนือศีรษะมีเพียงความมืดมิดและดำสนิท มองลงไปทางด้านล่าง ใต้เท้าของเขาก็มีเพียงความมืดกลวงไม่ต่างกัน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนพื้น...ทั้งที่ไม่มีพื้น

ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากจุดเดิม เดินไปเรื่อยๆ เห็นเพียงความมืด รู้สึกเพียงความหนาวเหน็บ

เขาเดินไป เดินไปอีกหลายก้าว จึงค่อยเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นเลือนราง

จุดสีขาวเล็กๆ ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในความมืด จากในที่อันห่างไกล เมื่อได้ระยะ คีตาจึงเห็นว่ามันเป็นเงาสีขาว รูปร่างคล้ายผีเสื้อ มีหางเป็นติ่งยาวจากปีกคู่ล่าง หากกางปีกเต็มที่คงมีขนาดประมาณฝ่ามือ

ครั้นขยับปีกบินมาตรงหน้าในระยะชั่วแขน ผีเสื้อตัวนั้นก็กลับเปลี่ยนรูปกลายร่างจนมีลักษณะคล้ายมนุษย์ คล้ายหญิงสาว ทว่ายังคงเห็นเป็นเงาสีขาวอ่อนจาง เบาบางจนดูไม่รู้ว่าเป็นใคร

คีตาชะงักฝีเท้า หรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ

ใคร... เขาถามออกไป ทว่าไม่ได้รับคำตอบ ไม่มีใครตอบกลับมา อย่าว่าแต่เสียงตอบ แม้แต่เสียงตนเอง เขาก็ไม่ได้ยิน

เขาสงสัย มันคือผีเสื้อ คือเงา หรือเป็นใครกันแน่ แต่ไม่ว่าจะถามอย่างไร ก็ไม่มีเสียงออกมา ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย

เงาสีขาวนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ส่วนที่ดูคล้ายมือทั้งสองข้างยื่นมาสัมผัสใบหน้าเขาแผ่วเบา สัมผัสนั้นวูบไหวราวกับสายลมเฉื่อยฉิว แต่ก็ช่างนุ่มนวล อ่อนโยน

ตั้งแต่เกิด นอกจากสัมผัสของพ่อแม่แล้ว เขาไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยได้ถึงเพียงนี้

ชายหนุ่มค่อยๆ หลับตาลงอย่างวางใจ รับรู้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นแผ่วเบาที่อกขวา จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงค่อยจางหายไป...



"คีตา..." ใบหน้าขี้เล่นของพิฆานลอยเด่นขึ้นมาแทนที่ความมืด พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

ชายหนุ่มกลอกตามองไปรอบๆ ...ความืดหายไปแล้ว เขากำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง ภายในห้องของเขาเอง

เขากลับมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์แล้ว กลับมายังสถานที่อันเป็นบ้านของเขามานานร่วมยี่สิบหกปี และเป็นบ้านของคนจำนวนมากมาย หากแต่ไม่ใช่คนในตระกูลเสตาลัญฉน์เลยสักคนเดียว

แม้เสตาลัญฉน์จะเป็นตระกูลต้องคำสาป แต่หลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา ทุกคนในตระกูลล้วนทำหน้าที่ปกป้องแคว้นอากัณห์จากพวกปิศาจเมยาดิคอย่างเข้มแข็ง...จนกระทั่งถึงกาลสิ้นสุดของสายตระกูล

ตระกูลเสตาลัญฉน์...เวลานี้ไม่มีอีกแล้ว

คีตาดันตัวขึ้นนั่ง แต่ความรู้สึกปวดระบมที่บาดแผล ร้าวไปถึงหัวไหล่และต้นแขนทำให้เขาต้องทรุดนอนลงไปอีก หญิงกลางคนที่นั่งอยู่ข้างกายจึงช่วยประคองเขาลุกขึ้นนั่ง

"เห็นไหม ท่านป้า ข้าบอกแล้ว พิษแค่นี้ทำอะไรคีตาไม่ได้หรอก" พิฆานคุยอวดเสียงร่าเริง

หญิงกลางคนตวัดสายตามองคนพูดอย่างตำหนิ "ปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่ได้" นางดุ แล้วจึงกดเสียงต่ำจนน่าขนลุก "แล้วก็ ข้าเป็นอาของเจ้า ไม่ใช่ป้า!"

พิฆานแลบลิ้นออกมานิดหนึ่ง "เถอะน่า ท่านป้า อีกปีสองปีท่านก็จะสี่สิบแล้ว อย่าดุนักเลย" เด็กหนุ่มยังคงใช้สรรพนามเดิม ตอกย้ำด้วยตัวเลข จึงถูกฝ่ามือของ 'ท่านป้า' ฟาดเข้ากลางศีรษะ

"โอ๊ย! ข้าเจ็บนะท่านป้า...เอ๊ย! ท่านอา"

คีตายังคงมีสีหน้าซีดเพราะพิษบาดแผล แต่เมื่อเห็นอาหลานคู่นี้แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

อัยยา...อาหญิงของพิฆานยังคงดูไม่ต่างจากแต่ก่อน เมื่อสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มน้อยติดตามนางกับ ทยุต พี่ชายของนางออกต่อสู้กับพวกเมยาดิคที่อาละวาดไปทั่วแคว้น แม้จะล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่รูปร่างของนางยังเพรียวบาง การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เส้นผมหยักศกยาวคลุมบ่านั้นยังคงเป็นสีน้ำตาลสวย จมูกรั้นแสดงถึงความเป็นคนดื้อ บ่งบอกบุคลิกของนางได้เป็นอย่างดี มีเพียงประกายในดวงตาสีน้ำตาลเข้มเท่านั้นที่หม่นแสงลง เพราะความสูญเสียที่เกาะกินในจิตใจ

...เพราะนางต้องสูญเสียลูกสาว สูญเสียสามีไปเมื่อสิบหกปีก่อน ด้วยฝีมือของพวกเมยาดิค!

"อัยยา เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ" เขาถามเสียงเบา ยังรู้สึกอ่อนล้าจากอาการบาดเจ็บ

"เจ้าถูกพิษ..." หญิงกลางคนตอบตามที่ทราบจากหมอ ซึ่งนางเชิญมารักษาอาการเขา และกลับไปเสียครู่ใหญ่แล้ว "คิดว่าเล็บของค้างคาวตัวนั้นคงอาบพิษมา ท่านหมอว่าพิษชนิดนี้ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน คงต้องให้เวลาท่านหาวิธีรักษาสักหน่อย แต่ดูจากอาการของเจ้าแล้ว ท่านหมอคิดว่าพิษคงไม่รุนแรงมาก ถ้าเจ้าตื่นแล้วก็คงไม่เป็นอะไร"

คีตาพยักหน้ารับรู้ แล้วมองออกไปทางหน้าต่าง ม่านยาวสีขาวครีมปักลายทองเช่นเดียวกับเครื่องนอนบนเตียงของเขา ถูกรวบไว้ด้านข้าง ปล่อยให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาภายในห้องสีทึม ซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องเรือนทำจากไม้ สลักด้วยลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ทาสีดำ และเคลือบน้ำยาจนเป็นเงา

ชายหนุ่มใช้ความคิดจนคิ้วดำเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ...ทำไมจึงต้องใช้พิษ เล็บของค้างคาวตัวนั้น ความจริงก็เป็นอาวุธร้ายกาจอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องอาบพิษอีก

แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยเห็นค้างคาวตัวไหนใช้พิษมาก่อน จะมีก็แต่พวกเมยาดิคที่เป็นแมงมุม งู ซึ่งเป็นพวกที่มีพิษในตัวอยู่แล้วเท่านั้น

พอดีมีเสียงเคาะประตูเบาๆ ความคิดของเขาจึงกระจัดกระจาย เขาหันมองไปที่ประตูไม้แกะสลักสีดำบานสูง

บานประตูค่อยๆ แง้มเปิดออก ชายชราถือไม้เท้าก้าวเข้ามาช้าๆ

"ตื่นแล้วหรือ คีตา" เขาทักทายคนเจ็บด้วยกระแสเสียงสั่นเล็กน้อยตามวัย "แผลเป็นอย่างไรบ้าง"

"ยังรู้สึกปวดอยู่เลย ท่านลุง"

ชายชราทิ้งร่างซูบผอม ซึ่งถูกใช้งานมาเนิ่นนานลงนั่งที่เก้าอี้ไม้สีดำตัวหนึ่ง ใบหน้าของเขาแม้แลดูซีดเหลืองด้วยวัยอันร่วงโรย หากดวงตาภายใต้คิ้วสีเทาดกหนานั้นมีประกาย ไม่ใช่ประกายจ้าอย่างผู้นำที่องอาจห้าวหาญเช่นคีตา แต่เป็นประกายนุ่มนวลเปี่ยมด้วยเมตตา

มุมปากของชายชราคลี่ออกเล็กน้อย เปรยขึ้นเบาๆ "เมื่อคืนเห็นคนอื่นๆ หามเจ้าเข้ามา พิฆานก็หน้าซีดเซียวยืนร้องไห้เป็นเด็กๆ อยู่หน้าห้องเจ้า ข้าก็คิดว่าจะเป็นอะไรมากเสียแล้ว"

"โธ่! ท่านปู่จิรภัจ ข้าไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย" เด็กหนุ่มแย้ง แสร้งปั้นหน้าขึงขัง "แค่...เอ่อ...ฝุ่นเข้าตา..."

คีตาหัวเราะออกมาเบาๆ เขามีหรือจะไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้รักและห่วงใยเขาเพียงใด พิฆานยึดถือเขาเป็นแบบอย่าง ทำทุกสิ่งที่เขาบอกให้ทำ เชื่อฟังเขาเสียยิ่งกว่าอัยยา อาสาวที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กเสียอีก

คงเป็นเช่นเดียวกับเขาเอง ที่เทิดทูนบูชา ศิษฎี เสตาลัญฉน์ วีรบุรุษในตำนานผู้ล่วงลับ ...ตั้งแต่จำความได้ คีตาก็ได้ยินชื่อศิษฎีจนจำขึ้นใจ เมื่อโตมาได้สักหน่อย เรียนรู้วีรกรรมที่ศิษฎีฝากไว้ต่อแผ่นดิน เขาก็ยิ่งเกิดแรงบันดาลใจ ต้องการเป็นให้ได้อย่างศิษฎี เป็นนักรบที่อาจหาญ เป็นที่พึ่งของผู้คน

แต่เล็กมา เขาคิดอยู่เสมอว่า จะต้องเดินทางมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ มาสมัครเป็นนักรบในกองกำลัง เพื่อจะได้ต่อสู้กับพวกเมยาดิค เป็นนักรบอาจหาญเช่นเดียวกับศิษฎี

หากแต่เขาเคยไม่คิด ว่าเวลาของเขาจะมาถึงเร็วเหลือเกิน เมื่อหมู่บ้านลุหะ หมู่บ้านของเขาถูกพวกเมยาดิคโจมตี พ่อของเขาเสียชีวิต แม่ของเขาหายสาบสูญ ส่วนตัวเขาเอง เวลานั้นอายุเพียงเก้าปี ได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลัง ตั้งแต่นั้น เขาจึงมาใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาแห่งเสตาลัญฉน์ และเป็นนักรบดังที่ตั้งใจไว้

เมื่อแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในเสตาลัญฉน์นั้น จิรภัจเป็นที่ปรึกษาของกองกำลังอยู่ เขาไม่ใช่คนตระกูลเสตาลัญฉน์ แต่ก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดตระกูลนี้มากที่สุด เป็นผู้ที่ กาเยน เสตาลัญฉน์ ผู้นำกองกำลังคนก่อนไว้ใจมาก ถึงกับให้ดูแลเสตาลัญฉน์แทน เมื่อเขาจากไป

...และจิรภัจก็เป็นผู้ที่คีตาเคารพรักประดุจบิดา ผู้ซึ่งเขาสูญเสียไปตั้งแต่ในวัยเด็ก

ชายหนุ่มมองดูผู้อาวุโสด้วยสายตาอ่อนโยน ...จิรภัจเองก็เป็นผู้สูญเสีย เขาสูญเสียลูกสาวเพราะพวกเมยาดิคด้วยเช่นกัน

นึกถึงตรงนี้แล้ว คีตาค่อยถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกสลดสังเวช จากนั้นสายตาของเขาจึงเลยไปที่อาวุธประจำกาย ซึ่งนอนซ่อนคมอยู่ในปลอก บนที่วางลักษณะคล้ายเขากวาง ตั้งอยู่บนตู้เตี้ยสีดำระดับเอว มันคืออาวุธที่เขาใช้ต่อสู้กับพวกเมยาดิคเมื่อคืน

อสิกร คือชื่อของอาวุธนั้น เป็นอาวุธที่ศิษฎีกวัดแกว่งเข้าประหัติประหารกับพวกเมยาดิค หลายคนเชื่อว่าอาวุธนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับประทานมาจากเทพเจ้าแห่งแสง หลังสิ้นสุดยุคของศิษฎี อาวุธนี้ก็ได้สืบทอดสู่ผู้นำกองกำลังเสตาลัญฉน์ในแต่ละรุ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนตระกูลเสตาลัญฉน์ทั้งสิ้น

อสิกรได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวบรวมจิตวิญญาณของผู้นำอันกล้าหาญแห่งตระกูลเสตาลัญฉน์ทั้งหมด จนกระทั่งถึงยุคของกาเยน เขาสละตำแหน่ง ให้จิรภัจซึ่งไม่ใช่คนของตระกูลเป็นผู้นำกองกำลังแทน ทว่าจิรภัจกลับไม่ยอมรับ เขาเพียงยินยอมรักษาการแทนตำแหน่งผู้นำเท่านั้น และไม่เคยแตะต้องอสิกรเลยแม้สักครั้งเดียว

จวบจนกระทั่งสิบสามปีก่อน คีตาซึ่งมีอายุเพียงยี่สิบสองปี หากก็ได้แสดงความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในกองกำลังเสตาลัญฉน์นับครั้งไม่ถ้วน ในครั้งนั้น เขากับผู้ติดตามจำนวนสี่ห้าคน สืบเสาะค้นหาแหล่งกบดานของชาวเมยาดิคกลุ่มหนึ่งจนพบ แล้วจึงส่งผู้ติดตามมาขอกำลังเสริมจากจิรภัจจำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าทำลายเมยาดิคกลุ่มนั้นจนเป็นผลสำเร็จ เหตุการณ์นี้ ทำให้คีตาเป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงแต่เฉพาะจากคนในกองกำลังเท่านั้น แม้แต่ ราชาภควาน ผู้ปกครองแคว้นยังเห็นสมควรแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้นำกองกำลังเสตาลัญฉน์ หลังจากที่กองกำลังต้องว่างเว้นผู้นำมานานเกือบสามสิบปี

ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้นำกองกำลังเสตาลัญฉน์คนแรก ที่ไม่ได้มาจากตระกูลเสตาลัญฉน์

เมื่อเป็นผู้นำกองกำลังแล้ว เขาย่อมต้องได้รับสืบทอดอสิกรต่อมาด้วย สำหรับคีตา นั่นคือความภาคภูมิใจอย่างเหลือล้น เป็นความยินดีที่สุดในชีวิตของเขา เพราะนั่นเท่ากับว่า เขาได้บรรลุความมุ่งหมายสูงสุดในชีวิต เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น...เป็นเช่นเดียวกับศิษฎี

"จริงสิ ที่ค่ายเป็นอย่างไรบ้างท่านลุง" คีตาเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับถอนสายตาจากอาวุธประจำกาย มองกลับมาที่ชายชราอีกครั้ง

"เมื่อเช้าข้าไปดู เห็นฝึกซ้อมกันเข้มแข็งดี ไม่ต้องห่วง" จิรภัจตอบเสียงเนิบ เขารู้ว่าค่ายฝึกซ้อมของกองกำลังนั้นคือชีวิตของคีตา หากไม่มีเหตุจำเป็นแล้ว เขาก็จะไปที่นั่นไม่ขาด ไปฝึกซ้อมให้กับนักรบในกองกำลังด้วยตนเอง

"พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเสียหน่อย" ชายหนุ่มเปรยขึ้นเบาๆ

"ไม่ได้! แผลเจ้ายังไม่หาย จะไปได้อย่างไร" อัยยาร้องห้ามด้วยความเป็นห่วง ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเล็กน้อย

คีตาเป็นเหมือนน้องชายนาง แม้ไม่ได้มีสกุลเดียวกัน หากเมื่ออยู่ในบ้านเดียวกันแล้ว ย่อมเป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วย ย่อมมีความห่วงใยเฉกเช่นญาติพี่น้อง อย่าว่าแต่ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยร่วมต่อสู้ด้วยกันหลายครั้งหลายคราว ความผูกพันธ์ย่อมไม่คลอนคลายไปโดยง่าย

"ข้าไม่เป็นไรแล้ว อัยยา" คนเจ็บตอบ เสียงปลอบโยน "วันนี้ข้าจะพัก แล้วพรุ่งนี้ ข้าจะไปที่ค่าย"

"แต่..." หญิงกลางคนจะเอ่ยห้ามอีก ทว่าเมื่อเห็นแววมุ่งมั่นในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้ว นางก็รู้ว่า ไม่อาจห้ามเขาได้ ไม่มีครั้งไหนที่นางจะห้ามเขาได้เลย

อัยยาถอนหายใจยาว "เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะ พักเสียให้เต็มที่... พิฆาน มานี่!" สองคำหลังกล่าวกระแทกเล็กน้อย คล้ายกับต้องการเตือนตนเองว่า แม้จะไม่สามารถบังคับผู้เป็นดั่งน้องชายได้ แต่นางยังมีอำนาจสั่งหลานชายของตนอยู่

เมื่อทั้งหมดออกจากห้องไปแล้ว ชายหนุ่มจึงวางมือลงบนบาดแผล ซึ่งบัดนี้อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสีขาว

...เล็บของค้างคาวนั่น เหตุใดจึงต้องอาบพิษอีก

###
[จบตอนจ้า...สั้นอีกแล้ว ทำไมเรื่องนี้แต่ละตอนมันสั้นจัง ^^']
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่