ตอนนี้เล่าเกี่ยวกับความหลังของอัยยาบ้างฮับ
ความเดิม
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/31566546
มาจะกล่าวบทไป ถึงเรื่องราวของตำนานที่เล่าขาน...
###
บทที่ ๑๐ ตำนานเสตาลัญฉน์
คีตา อะคีรา ขี่ม้ากลับจากพระราชฐานในยามบ่าย
เขาไปเข้าเฝ้าราชาภควานแต่เช้า เพื่อรายงานเรื่องการสำรวจชายป่าปิศาจให้ทรงทราบ ทว่าหลังจากนั้น แทนที่จะไปยังค่ายฝึกของกองกำลังดังเช่นปกติ เขากลับตรงมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์
มินนรา...เขากลับมาเพราะเด็กสาวนั่น ต้องการดูว่านางทำอะไรบ้าง แม้ภายนอก นางจะดูไม่มีพิษภัยอันใด หากเสียงในหัวกระซิบบอกเขาว่า อย่าเพิ่งวางใจนัก
คีตาเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ แต่ไม่ได้สนใจ เพียงก้าวขึ้นบันไดซึ่งทอดสู่ประตูของคฤหาสน์ทีละขั้น ขณะเดียวกัน บานประตูไม้ก็ค่อยๆ เปิดออก ราวกับต้อนรับการกลับมาของเขา
"อ้าว! คีตา ทำไมกลับแต่บ่าย ไม่ไปค่ายฝึกหรือ" เสียงอัยยาร้องทักมา นางเองเป็นผู้เปิดประตูบานนั้น ด้านหลังนางเป็นเด็กสาวในห้วงคำนึงของเขาเมื่อครู่
เมื่อเช้า เขาออกจากคฤหาสน์ไปเสียก่อน จึงไม่ได้พบนาง ทว่าเมื่อเห็นมินนราในเวลานี้ เขาก็แทบจำไม่ได้
จากเด็กหน้าตามอมแมมเมื่อคืน กลับกลายเป็นสาวงามที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบร้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีมปล่อยชายพลิ้ว ส่วนลำตัวเข้ากับรูปร่างเล็กบาง ใบหน้าดูหมดจดสวยงาม ผมสีทองราวกับสีรวงข้าว ได้รับการหวีสาง ถักเป็นเปียหลวมๆ สองหางพาดอยู่ข้างตัว ผิวนางขาวเนียนเรียบ หาตำหนิไม่ได้ แก้มนวลเรื่อแดง เช่นเดียวกับปากน้อยๆ ที่กำลังคลี่ออก เผยให้เห็นฟันขาวเรียงสวย
"คีตา" เด็กสาวร้องทัก พลางสาวเท้ายาวๆ มาคว้าแขนเขา "อัยยากำลังจะพาข้าไปซื้อของใช้ในเมือง...เจ้าไปกับข้านะ"
"ซื้อของ..." เขาทวนคำทำหน้าระอา เพราะรู้ว่าการเดินตามสาวๆ เพื่อซื้อของในเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด
"ใช่สิ ไปด้วยกันเถอะนะคีตา" นางอ้อนวอน หากเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าชายหนุ่ม นางก็เอ่ยถามออกมาเบาๆ "เจ้ายังเจ็บแผลอยู่หรือ บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง"
คีตามองใบหน้าสวยหวานนั่น เขาสัมผัสได้ถึงแววห่วงใยในดวงตาสีทอง จึงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน "ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เจ็บเลย"
เขาไม่ได้โกหก... บาดแผลของเขาไม่แสบร้อนอีกแล้ว แม้จะรู้สึกปวดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็เริ่มชินแล้ว กระทั่งตัวเองยังเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่ามีบาดแผลนั้นอยู่
เด็กสาวยิ้มกว้างออกมา "ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไปกับข้าได้สิ"
ชายหนุ่มเห็นดวงตาเปี่ยมความหวังนั่นแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว...
"ไปสิ" เขาบอกออกมาในที่สุด...
—
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด นอกจากคีตาจะต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังแล้ว ยังต้องคอยตอบคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาเลยสักนิด
"คีตา อันนี้ดีไหม"
"คีตา นี่กับนี่ อันไหนสวยกว่ากัน"
"คีตา มินนราใส่ต่างหูคู่นี้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง"
และยังคำถามทำนองนี้ตามมาระลอกแล้วระลอกเล่า ทว่าเมื่อเขาบอกไป คำตอบของเขากลับไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของพวกนางเลย
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่า อัยยาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะที่สดใสกว่าเดิม... มินนราคงทำให้นางรู้สึกเหมือนได้ลูกสาวตัวน้อยกลับคืนมากระมัง
มินนราเองก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอันใด นางดูเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งเคยเข้าเมืองทั่วๆ ไป กระตือรือร้นสนใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยพบเห็นก่อน
ระหว่างนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรับดังมาจากข้างทาง เห็นเด็กหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่ ชายชราหนวดเคราขาวนั่งในวงล้อม มือเคาะกรับ พลางขับร้องเพลงอันคุ้นหู
‘...ลูกหลานเจ้าจะม้วยมอดวอดชีวา โลหิตหลั่งพสุธาจนเนืองนอง...’
มินนรามีท่าทีสนใจอยู่ไม่น้อย นางยืนมองนิ่ง แล้วจึงหันมาถามอัยยา "เขาทำอะไรกันหรือ"
"กำลังเล่านิทาน" อัยยาตอบพร้อมรอยยิ้ม
"เล่านิทานมีเพลงด้วยหรือ"
อัยยาหันไปฟังเพลงนิทานอีกครั้ง ทว่าเนื้อเพลงท่อนต่อมากลับทำให้รอยยิ้มของนางจางหาย
‘...จะแดดิ้นภินท์พังทั้งพวกผอง จะถูกล่าเถือมังสาดังข้าปอง...’
"มีสิ" นางตอบ "นั่นเป็นเพลงจบของนิทานเกี่ยวกับตำนานเสตาลัญฉน์"
"เสตาลัญฉน์มีตำนานด้วยหรือ ตำนานอะไร เล่าให้ข้าฟังบ้าง"
อัยยายิ้มหนึ่ง "เอาอย่างนี้ ที่วิหารแห่งแสงมีภาพเขียนที่เกี่ยวกับตำนานอยู่ เจ้าอยากไปดูหรือไม่"
"ไปสิ ข้าอยากไป" นางบอกเสียงสดใส
อัยยาทำท่าคิดนิดหนึ่ง "แต่ข้ายังมีของที่ต้องซื้ออีกมาก เจ้าไปกับคีตาก็แล้วกัน" นางว่า พลางหันมาทางชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง "คีตา เจ้าช่วยพามินนราไปหน่อยเถอะ ส่วนของพวกนั้น ฝากไว้ที่ร้านขายผ้าตรงนั้นก่อน แล้วข้าจะให้คนขนไปที่รถม้าเอง"
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว คีตาก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องแบกของเดินตามสาวๆ อีก เขาเอาข้าวของต่างๆ ไปฝากไว้ตามที่อัยยาบอก แล้วจึงชวนมินนราเดินเลี้ยวไปทางจตุรัสกลางเมือง
—
ผนังชั้นที่สองของวิหารแห่งแสงเต็มไปด้วยภาพเขียนสีจนหาที่ว่างแทบไม่ได้ หาไม่แล้วก็จะมีตู้แสดงสิ่งของโบราณวางตั้งไว้อยู่
เมื่อก้าวขึ้นบันไดทางฝั่งขวาของประตูวิหาร ภาพแรกที่เห็นคือภาพการอพยพของชาวอุตตราศูร ข้ามเทือกเขาเสียดฟ้าลงมายังดินแดนแห่งนี้ บุกเบิกและปราบถางจนกลายเป็นบ้านเมือง...กลายเป็นแคว้นอากัณห์
ภาพเขียนเหล่านี้ล้วนเขียนขึ้นในช่วงเวลาสองสามร้อยปี ลายเส้นของภาพไม่ได้ละเอียดอ่อนช้อย หากจิตรกรผู้เขียนต้องการเน้นเรื่องราว เขาเขียนเพื่อบอกเล่าตำนานแต่เก่าก่อน เก็บเอารายละเอียดจากตำราโบราณ ผสมกับจินตนาการของตนได้อย่างลงตัว
คีตาเล่าเรื่องตามภาพ พร้อมกับชี้ชวนให้มินนราดูภาพนั้นภาพนี้ จนในที่สุดมาหยุดตรงหน้าภาพแสงสว่างดวงกลม มีรัศมีเจิดจ้า ด้านข้างเป็นดวงอาทิตย์สีทอง ถัดลงมาคือแผ่นดิน แผ่นน้ำ ภาพสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์
"พวกเราเชื่อว่าโลกกำเนิดจากแสงสว่างของเทพเจ้าแห่งแสง" คีตาเอ่ยขึ้น "เมื่อให้กำเนิดโลกแล้ว พระองค์ก็แบ่งภาคเป็นดวงอาทิตย์ ดังนั้นชาวอุตตราศูรจึงเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งแสงนั่นเอง"
เขาหันกลับมามองมินนรา เห็นนางตั้งใจฟังอยู่จึงเล่าต่อไป...
ด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสง พระองค์จึงให้ดวงอาทิตย์มาเยือนโลกทุกวัน ให้ความอบอุ่น ให้พืชผลเจริญเติบโต ทว่าดวงอาทิตย์เองก็ต้องมีเวลาพักผ่อน ดังนั้นจึงมาได้เพียงในเวลาเช้า และจากไปในเวลาเย็น แล้วให้ดวงจันทร์ ผู้บุตรของดวงอาทิตย์ นำพาดวงดาว ซึ่งก็คือบริวารของดวงอาทิตย์มาช่วยดูแลโลกในเวลากลางคืน
ในบรรดาดวงดาวทั้งหลายเหล่านั้น ดาวราชสีห์เป็นดาวที่จงรักภักดีต่อดวงอาทิตย์มากที่สุด จึงได้พยายามเปล่งแสงสีขาวของตนให้สว่างอย่างเต็มที่ กลายเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี
"และนี่ก็เป็นที่มาของสัญลักษณ์ตระกูลเสตาลัญฉน์" น้ำเสียงของคีตากังวาล เต็มไปด้วยความภาคภูมิ ระหว่างที่เดินมาถึงภาพราชสีห์บนดาวหกแฉกสีขาว พลางยกมือวางบนอสิกรซึ่งเสียบอยู่ข้างตัว
"แล้วใครคือดวงอาทิตย์เล่า" มินนราถาม พลางชี้มือไปที่ภาพดวงอาทิตย์แปดแฉกสีทองดวงโตเหนือขึ้นไป
"นั่นเป็นสัญลักษณ์ของราชตระกูล" คีตาบอก นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความเคารพจากหัวใจ
"ตระกูลเสตาลัญฉน์ของเจ้า...ช่างภักดีต่อราชตระกูลเหลือเกิน"
ชายหนุ่มหันมายิ้ม "ตระกูลเสตาลัญฉน์ไม่ใช่ของใคร ข้าเองก็ไม่ใช่คนในตระกูล แต่เรื่องภักดีนั้น ตระกูลเสตาลัญฉน์มีความจงรักและภักดีต่อราชตระกูลอย่างที่สุด"
มินนราเชิดหน้า เดินดูภาพอื่นๆ ต่อไป สักครู่จึงมาหยุดตรงหน้าภาพที่ดูอลังการภาพหนึ่ง เป็นภาพกองทัพ ทุกคนในภาพคาดผ้าสีดำ มีแต้มสีขาวตรงกลาง หน้ากองทัพนั้นเป็นชายผมยาวสีดำบนหลังม้า ถืออาวุธลักษณะเป็นหยักโค้ง มีด้ามจับตรงกลาง ถัดไปทางด้านหลังเป็นชายลักษณะคล้ายกันอีกสองคน หากอาวุธที่ถือล้วนเป็นดาบที่มีคมด้านเดียว ตัวดาบโค้ง ที่ด้ามดาบใกล้กับโคนแต้มจุดเป็นรูปวงกลมสีขาว
ตรงข้ามกับกองทัพในภาพนั้นเป็นกองทัพสัตว์นานาชนิด ด้านหน้ากองทัพสัตว์นั้นเป็นสัตว์ที่ไม่อาจระบุประเภท ตัวของมันใหญ่จนเด่นชัด ผิวสีดำมะเมื่อม มีเขี้ยว มีสามเขา ดวงตาก็เป็นสีแดงดุร้ายน่ากลัว
"นั่นเป็นสงครามระหว่างชาวอุตตราศูรกับพวกเมยาดิคเมื่อสี่ร้อยปีก่อน" คีตาพูดขึ้น แล้วจึงชี้ไปที่ชายผมดำหน้ากองทัพ "นี่คือศิษฎี เสตาลัญฉน์ เขานำพากองกำลังเสตาลัญฉน์เข้าต่อสู้กับกองทัพเมยาดิค" นิ้วของเขาไล่ไปที่ชายสองคนทางด้านหลัง "ส่วนสองคนนี้คือลูกชายของเขา ศิมันต์ และศมิน" จากนั้นนิ้วของเขาจึงเลื่อนไปที่สัตว์ตัวโตสีดำนั่น "ส่วนนี่ คือเซเทล..."
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคือเซเทล" มินนราโพล่งถามขึ้นมา
"ตำนานว่าเช่นนั้น ภาพนี้เขียนขึ้นตามตำนานที่มีอยู่ ตำนานระบุว่าเซเทลมีร่างกายสูงใหญ่ ผิวหนังราวเกราะสีดำ มีเขี้ยวเล็บแหลมยาว เขาโค้งอย่างกระทิงป่าสองข้าง และเขาที่สามตรงกลางหน้าผาก ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นสีแดงลุกวาว"
"แล้วเหตุใด จึงต้องต่อสู้กัน"
"เมยาดิคเป็นพวกกระหายเลือด พวกมันมีแต่ฆ่าและทำร้ายชาวอุตตราศูร ยิ่งเมื่อมีผู้ปกครองที่เข้มแข็งอย่างเซเทล พวกมันก็ยิ่งเหิมเกริม เซเทลพากองทัพออกจากป่าปิศาจ บุรุกเข่นฆ่าชาวอุตตราศูรเรื่อยมา กองพลราบก็ไม่อาจต่อต้านได้ ศิษฎีจึงตั้งกองกำลังเสตาลัญฉน์ขึ้น เขากับลูกชายทั้งสองคน รวบรวมสมัครพรรคพวกออกต่อสู้กับพวกเมยาดิค เชื่อกันว่าศิษฎีได้รับประทานพร รวมทั้งอสิกรจากเทพเจ้าแห่งแสง จึงสามารถสังหารเซเทล..."
"ข้าเบื่อแล้วล่ะ" นางโพล่งตัดประโยค "กลับดีกว่า" ว่าแล้วนางก็สะบัดหันหลัง เดินลงบันไดไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา
คีตาส่ายหน้าเล็กน้อย ...สงสัยเหลือเกินว่าเด็กผู้หญิงเป็นอย่างนี้กันหมดหรือเปล่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้
คิดแล้วเขาก็แหงนหน้ามองภาพสงครามระหว่างเสตาลัญฉน์และเมยาดิคอีกครั้ง ...เขายังไม่ได้ให้นางดูภาพสุดท้ายของตำนานนี้เลย ยังไม่ได้เล่าถึงบทสรุปของสงคราม ยังไม่ได้บอกว่าศิษฎีเองก็ต้องตายจากการศึก ศมิน ลูกชายคนรองหายสาบสูญ มีเพียง ศิมันต์ เป็นผู้สืบตระกูลต่อมา...สืบมาพร้อมกับคำสาปของเซเทล คำสาปที่ทำให้ตระกูลเสตาลัญฉน์ต้องล่มสลาย
ระหว่างที่กำลังเหม่อมองภาพอยู่นั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องระงมดังมาจากภายนอก ได้ยินเสียงชาวบ้านโวยวายอึงคะนึง จึงรีบรุดออกจากวิหาร วิ่งตัดผ่านสวนกว้าง พุ่งออกมายังถนน
[ต่อด้านล่างฮับ]
คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๑๐ ตำนานเสตาลัญฉน์
ความเดิม
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/31566546
มาจะกล่าวบทไป ถึงเรื่องราวของตำนานที่เล่าขาน...
###
บทที่ ๑๐ ตำนานเสตาลัญฉน์
คีตา อะคีรา ขี่ม้ากลับจากพระราชฐานในยามบ่าย
เขาไปเข้าเฝ้าราชาภควานแต่เช้า เพื่อรายงานเรื่องการสำรวจชายป่าปิศาจให้ทรงทราบ ทว่าหลังจากนั้น แทนที่จะไปยังค่ายฝึกของกองกำลังดังเช่นปกติ เขากลับตรงมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์
มินนรา...เขากลับมาเพราะเด็กสาวนั่น ต้องการดูว่านางทำอะไรบ้าง แม้ภายนอก นางจะดูไม่มีพิษภัยอันใด หากเสียงในหัวกระซิบบอกเขาว่า อย่าเพิ่งวางใจนัก
คีตาเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ แต่ไม่ได้สนใจ เพียงก้าวขึ้นบันไดซึ่งทอดสู่ประตูของคฤหาสน์ทีละขั้น ขณะเดียวกัน บานประตูไม้ก็ค่อยๆ เปิดออก ราวกับต้อนรับการกลับมาของเขา
"อ้าว! คีตา ทำไมกลับแต่บ่าย ไม่ไปค่ายฝึกหรือ" เสียงอัยยาร้องทักมา นางเองเป็นผู้เปิดประตูบานนั้น ด้านหลังนางเป็นเด็กสาวในห้วงคำนึงของเขาเมื่อครู่
เมื่อเช้า เขาออกจากคฤหาสน์ไปเสียก่อน จึงไม่ได้พบนาง ทว่าเมื่อเห็นมินนราในเวลานี้ เขาก็แทบจำไม่ได้
จากเด็กหน้าตามอมแมมเมื่อคืน กลับกลายเป็นสาวงามที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบร้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีมปล่อยชายพลิ้ว ส่วนลำตัวเข้ากับรูปร่างเล็กบาง ใบหน้าดูหมดจดสวยงาม ผมสีทองราวกับสีรวงข้าว ได้รับการหวีสาง ถักเป็นเปียหลวมๆ สองหางพาดอยู่ข้างตัว ผิวนางขาวเนียนเรียบ หาตำหนิไม่ได้ แก้มนวลเรื่อแดง เช่นเดียวกับปากน้อยๆ ที่กำลังคลี่ออก เผยให้เห็นฟันขาวเรียงสวย
"คีตา" เด็กสาวร้องทัก พลางสาวเท้ายาวๆ มาคว้าแขนเขา "อัยยากำลังจะพาข้าไปซื้อของใช้ในเมือง...เจ้าไปกับข้านะ"
"ซื้อของ..." เขาทวนคำทำหน้าระอา เพราะรู้ว่าการเดินตามสาวๆ เพื่อซื้อของในเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด
"ใช่สิ ไปด้วยกันเถอะนะคีตา" นางอ้อนวอน หากเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าชายหนุ่ม นางก็เอ่ยถามออกมาเบาๆ "เจ้ายังเจ็บแผลอยู่หรือ บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง"
คีตามองใบหน้าสวยหวานนั่น เขาสัมผัสได้ถึงแววห่วงใยในดวงตาสีทอง จึงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน "ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เจ็บเลย"
เขาไม่ได้โกหก... บาดแผลของเขาไม่แสบร้อนอีกแล้ว แม้จะรู้สึกปวดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็เริ่มชินแล้ว กระทั่งตัวเองยังเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่ามีบาดแผลนั้นอยู่
เด็กสาวยิ้มกว้างออกมา "ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไปกับข้าได้สิ"
ชายหนุ่มเห็นดวงตาเปี่ยมความหวังนั่นแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว...
"ไปสิ" เขาบอกออกมาในที่สุด...
—
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด นอกจากคีตาจะต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังแล้ว ยังต้องคอยตอบคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาเลยสักนิด
"คีตา อันนี้ดีไหม"
"คีตา นี่กับนี่ อันไหนสวยกว่ากัน"
"คีตา มินนราใส่ต่างหูคู่นี้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง"
และยังคำถามทำนองนี้ตามมาระลอกแล้วระลอกเล่า ทว่าเมื่อเขาบอกไป คำตอบของเขากลับไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของพวกนางเลย
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่า อัยยาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะที่สดใสกว่าเดิม... มินนราคงทำให้นางรู้สึกเหมือนได้ลูกสาวตัวน้อยกลับคืนมากระมัง
มินนราเองก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอันใด นางดูเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งเคยเข้าเมืองทั่วๆ ไป กระตือรือร้นสนใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยพบเห็นก่อน
ระหว่างนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรับดังมาจากข้างทาง เห็นเด็กหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่ ชายชราหนวดเคราขาวนั่งในวงล้อม มือเคาะกรับ พลางขับร้องเพลงอันคุ้นหู
‘...ลูกหลานเจ้าจะม้วยมอดวอดชีวา โลหิตหลั่งพสุธาจนเนืองนอง...’
มินนรามีท่าทีสนใจอยู่ไม่น้อย นางยืนมองนิ่ง แล้วจึงหันมาถามอัยยา "เขาทำอะไรกันหรือ"
"กำลังเล่านิทาน" อัยยาตอบพร้อมรอยยิ้ม
"เล่านิทานมีเพลงด้วยหรือ"
อัยยาหันไปฟังเพลงนิทานอีกครั้ง ทว่าเนื้อเพลงท่อนต่อมากลับทำให้รอยยิ้มของนางจางหาย
‘...จะแดดิ้นภินท์พังทั้งพวกผอง จะถูกล่าเถือมังสาดังข้าปอง...’
"มีสิ" นางตอบ "นั่นเป็นเพลงจบของนิทานเกี่ยวกับตำนานเสตาลัญฉน์"
"เสตาลัญฉน์มีตำนานด้วยหรือ ตำนานอะไร เล่าให้ข้าฟังบ้าง"
อัยยายิ้มหนึ่ง "เอาอย่างนี้ ที่วิหารแห่งแสงมีภาพเขียนที่เกี่ยวกับตำนานอยู่ เจ้าอยากไปดูหรือไม่"
"ไปสิ ข้าอยากไป" นางบอกเสียงสดใส
อัยยาทำท่าคิดนิดหนึ่ง "แต่ข้ายังมีของที่ต้องซื้ออีกมาก เจ้าไปกับคีตาก็แล้วกัน" นางว่า พลางหันมาทางชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง "คีตา เจ้าช่วยพามินนราไปหน่อยเถอะ ส่วนของพวกนั้น ฝากไว้ที่ร้านขายผ้าตรงนั้นก่อน แล้วข้าจะให้คนขนไปที่รถม้าเอง"
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว คีตาก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องแบกของเดินตามสาวๆ อีก เขาเอาข้าวของต่างๆ ไปฝากไว้ตามที่อัยยาบอก แล้วจึงชวนมินนราเดินเลี้ยวไปทางจตุรัสกลางเมือง
—
ผนังชั้นที่สองของวิหารแห่งแสงเต็มไปด้วยภาพเขียนสีจนหาที่ว่างแทบไม่ได้ หาไม่แล้วก็จะมีตู้แสดงสิ่งของโบราณวางตั้งไว้อยู่
เมื่อก้าวขึ้นบันไดทางฝั่งขวาของประตูวิหาร ภาพแรกที่เห็นคือภาพการอพยพของชาวอุตตราศูร ข้ามเทือกเขาเสียดฟ้าลงมายังดินแดนแห่งนี้ บุกเบิกและปราบถางจนกลายเป็นบ้านเมือง...กลายเป็นแคว้นอากัณห์
ภาพเขียนเหล่านี้ล้วนเขียนขึ้นในช่วงเวลาสองสามร้อยปี ลายเส้นของภาพไม่ได้ละเอียดอ่อนช้อย หากจิตรกรผู้เขียนต้องการเน้นเรื่องราว เขาเขียนเพื่อบอกเล่าตำนานแต่เก่าก่อน เก็บเอารายละเอียดจากตำราโบราณ ผสมกับจินตนาการของตนได้อย่างลงตัว
คีตาเล่าเรื่องตามภาพ พร้อมกับชี้ชวนให้มินนราดูภาพนั้นภาพนี้ จนในที่สุดมาหยุดตรงหน้าภาพแสงสว่างดวงกลม มีรัศมีเจิดจ้า ด้านข้างเป็นดวงอาทิตย์สีทอง ถัดลงมาคือแผ่นดิน แผ่นน้ำ ภาพสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์
"พวกเราเชื่อว่าโลกกำเนิดจากแสงสว่างของเทพเจ้าแห่งแสง" คีตาเอ่ยขึ้น "เมื่อให้กำเนิดโลกแล้ว พระองค์ก็แบ่งภาคเป็นดวงอาทิตย์ ดังนั้นชาวอุตตราศูรจึงเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งแสงนั่นเอง"
เขาหันกลับมามองมินนรา เห็นนางตั้งใจฟังอยู่จึงเล่าต่อไป...
ด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสง พระองค์จึงให้ดวงอาทิตย์มาเยือนโลกทุกวัน ให้ความอบอุ่น ให้พืชผลเจริญเติบโต ทว่าดวงอาทิตย์เองก็ต้องมีเวลาพักผ่อน ดังนั้นจึงมาได้เพียงในเวลาเช้า และจากไปในเวลาเย็น แล้วให้ดวงจันทร์ ผู้บุตรของดวงอาทิตย์ นำพาดวงดาว ซึ่งก็คือบริวารของดวงอาทิตย์มาช่วยดูแลโลกในเวลากลางคืน
ในบรรดาดวงดาวทั้งหลายเหล่านั้น ดาวราชสีห์เป็นดาวที่จงรักภักดีต่อดวงอาทิตย์มากที่สุด จึงได้พยายามเปล่งแสงสีขาวของตนให้สว่างอย่างเต็มที่ กลายเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี
"และนี่ก็เป็นที่มาของสัญลักษณ์ตระกูลเสตาลัญฉน์" น้ำเสียงของคีตากังวาล เต็มไปด้วยความภาคภูมิ ระหว่างที่เดินมาถึงภาพราชสีห์บนดาวหกแฉกสีขาว พลางยกมือวางบนอสิกรซึ่งเสียบอยู่ข้างตัว
"แล้วใครคือดวงอาทิตย์เล่า" มินนราถาม พลางชี้มือไปที่ภาพดวงอาทิตย์แปดแฉกสีทองดวงโตเหนือขึ้นไป
"นั่นเป็นสัญลักษณ์ของราชตระกูล" คีตาบอก นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความเคารพจากหัวใจ
"ตระกูลเสตาลัญฉน์ของเจ้า...ช่างภักดีต่อราชตระกูลเหลือเกิน"
ชายหนุ่มหันมายิ้ม "ตระกูลเสตาลัญฉน์ไม่ใช่ของใคร ข้าเองก็ไม่ใช่คนในตระกูล แต่เรื่องภักดีนั้น ตระกูลเสตาลัญฉน์มีความจงรักและภักดีต่อราชตระกูลอย่างที่สุด"
มินนราเชิดหน้า เดินดูภาพอื่นๆ ต่อไป สักครู่จึงมาหยุดตรงหน้าภาพที่ดูอลังการภาพหนึ่ง เป็นภาพกองทัพ ทุกคนในภาพคาดผ้าสีดำ มีแต้มสีขาวตรงกลาง หน้ากองทัพนั้นเป็นชายผมยาวสีดำบนหลังม้า ถืออาวุธลักษณะเป็นหยักโค้ง มีด้ามจับตรงกลาง ถัดไปทางด้านหลังเป็นชายลักษณะคล้ายกันอีกสองคน หากอาวุธที่ถือล้วนเป็นดาบที่มีคมด้านเดียว ตัวดาบโค้ง ที่ด้ามดาบใกล้กับโคนแต้มจุดเป็นรูปวงกลมสีขาว
ตรงข้ามกับกองทัพในภาพนั้นเป็นกองทัพสัตว์นานาชนิด ด้านหน้ากองทัพสัตว์นั้นเป็นสัตว์ที่ไม่อาจระบุประเภท ตัวของมันใหญ่จนเด่นชัด ผิวสีดำมะเมื่อม มีเขี้ยว มีสามเขา ดวงตาก็เป็นสีแดงดุร้ายน่ากลัว
"นั่นเป็นสงครามระหว่างชาวอุตตราศูรกับพวกเมยาดิคเมื่อสี่ร้อยปีก่อน" คีตาพูดขึ้น แล้วจึงชี้ไปที่ชายผมดำหน้ากองทัพ "นี่คือศิษฎี เสตาลัญฉน์ เขานำพากองกำลังเสตาลัญฉน์เข้าต่อสู้กับกองทัพเมยาดิค" นิ้วของเขาไล่ไปที่ชายสองคนทางด้านหลัง "ส่วนสองคนนี้คือลูกชายของเขา ศิมันต์ และศมิน" จากนั้นนิ้วของเขาจึงเลื่อนไปที่สัตว์ตัวโตสีดำนั่น "ส่วนนี่ คือเซเทล..."
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคือเซเทล" มินนราโพล่งถามขึ้นมา
"ตำนานว่าเช่นนั้น ภาพนี้เขียนขึ้นตามตำนานที่มีอยู่ ตำนานระบุว่าเซเทลมีร่างกายสูงใหญ่ ผิวหนังราวเกราะสีดำ มีเขี้ยวเล็บแหลมยาว เขาโค้งอย่างกระทิงป่าสองข้าง และเขาที่สามตรงกลางหน้าผาก ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นสีแดงลุกวาว"
"แล้วเหตุใด จึงต้องต่อสู้กัน"
"เมยาดิคเป็นพวกกระหายเลือด พวกมันมีแต่ฆ่าและทำร้ายชาวอุตตราศูร ยิ่งเมื่อมีผู้ปกครองที่เข้มแข็งอย่างเซเทล พวกมันก็ยิ่งเหิมเกริม เซเทลพากองทัพออกจากป่าปิศาจ บุรุกเข่นฆ่าชาวอุตตราศูรเรื่อยมา กองพลราบก็ไม่อาจต่อต้านได้ ศิษฎีจึงตั้งกองกำลังเสตาลัญฉน์ขึ้น เขากับลูกชายทั้งสองคน รวบรวมสมัครพรรคพวกออกต่อสู้กับพวกเมยาดิค เชื่อกันว่าศิษฎีได้รับประทานพร รวมทั้งอสิกรจากเทพเจ้าแห่งแสง จึงสามารถสังหารเซเทล..."
"ข้าเบื่อแล้วล่ะ" นางโพล่งตัดประโยค "กลับดีกว่า" ว่าแล้วนางก็สะบัดหันหลัง เดินลงบันไดไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา
คีตาส่ายหน้าเล็กน้อย ...สงสัยเหลือเกินว่าเด็กผู้หญิงเป็นอย่างนี้กันหมดหรือเปล่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้
คิดแล้วเขาก็แหงนหน้ามองภาพสงครามระหว่างเสตาลัญฉน์และเมยาดิคอีกครั้ง ...เขายังไม่ได้ให้นางดูภาพสุดท้ายของตำนานนี้เลย ยังไม่ได้เล่าถึงบทสรุปของสงคราม ยังไม่ได้บอกว่าศิษฎีเองก็ต้องตายจากการศึก ศมิน ลูกชายคนรองหายสาบสูญ มีเพียง ศิมันต์ เป็นผู้สืบตระกูลต่อมา...สืบมาพร้อมกับคำสาปของเซเทล คำสาปที่ทำให้ตระกูลเสตาลัญฉน์ต้องล่มสลาย
ระหว่างที่กำลังเหม่อมองภาพอยู่นั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องระงมดังมาจากภายนอก ได้ยินเสียงชาวบ้านโวยวายอึงคะนึง จึงรีบรุดออกจากวิหาร วิ่งตัดผ่านสวนกว้าง พุ่งออกมายังถนน
[ต่อด้านล่างฮับ]