คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๖ ห้องแห่งความลับ

กระทู้สนทนา
บทนี้แอบยาวนิดนึงนะคะ แถมชื่อบทยังคล้ายนิยายสืบสวนอีก ^^'

ความเดิม
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31501856

###

บทที่ ๖ ห้องแห่งความลับ

อัยยาก้าวมาตามทางเดินอันเงียบกริบ

แขนซ้ายของนางคล้องกระเช้าใส่อาหารและเหยือกน้ำ ทั้งยังมีตำราประวัติศาสตร์ที่จารึกบนแผ่นหนังสอดอยู่ที่ด้านข้างอีกสองเล่ม

ทางที่นางเดินอยู่ คือปีกอาคารด้านทิศเหนือของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เป็นด้านที่มีคนพักอาศัยอยู่น้อย ทั้งนี้เพราะในอดีต เคยมีเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเกิดขึ้น

อัยยาเดินผ่านหน้าห้องห้องหนึ่ง หยุดมองที่บานประตูซึ่งปิดสนิทอยู่ แล้วถอนหายใจยาว

ทุกครั้งที่เดินผ่านห้องนี้ นางจะรู้สึกหดหู่จนต้องถอนหายใจเสียทุกครั้ง ห้องนี้ประวัติอันดำมืด ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนเท่านั้น...

นางยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ครั้งนั้นกองกำลังเสตาลัญฉน์ทราบข่าวจากทยุต พี่ชายของนางซึ่งแฝงตัวเป็นสายอยู่ในกลุ่มพวกเมยาดิคว่า นีซากำลังพยายามค้นหาราดิศ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเสตาลัญฉน์ ที่หายสาปสูญไปแต่แรกเกิด ผู้ซึ่งชาวเมยาดิคคาดหมายว่าจะมาเป็นผู้นำของตนตามคำสาปโบราณที่เล่าขานกันมา ดังนั้นจิรภัจ ในฐานะรักษาการแทนผู้นำกองกำลัง จึงมอบหมายให้นางกับคีตาออกค้นหาราดิศเช่นกัน

ราดิศ เสตาลัญฉน์ ชายผู้ซึ่งถูกคำสาปตามหลอกหลอนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง...

อัยยาจำได้ คราที่พบราดิศครั้งแรกนอกหมู่บ้านอันห่างไกลสุดแดนเหนือ บริเวณเชิงเขาเสียดฟ้านั้น เขาดูน่าสงสาร มีท่าทีหวาดกลัว และไม่กล้าพบใคร แม้ตนเองจะไม่ได้มีลักษณะแตกต่างจากชาวอุตตราศูรแม้แต่น้อย หากเพราะเขาทราบว่าตนเองเป็นเสตาลัญฉน์ ทราบว่าตนมีสายเลือดเมยาดิค ทราบว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเปลี่ยนร่าง...เปลี่ยนเป็นปิศาจร้าย!

หากแม้ทราบกระนั้น จิรภัจก็ยังให้นางกับคีตาพาเขากลับมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่จิรภัจเกรงมากกว่า คือการที่ราดิศตกไปอยู่ในมือพวกเมยาดิค

ทว่านั่นกลับเป็นผลร้าย...เป็นผลร้ายอย่างยิ่ง...

หลังจากพากลับมายังเสตาลัญฉน์แล้ว จิรภัจก็ให้คนจัดห้องสำหรับเขา พยายามให้เขารู้สึกว่าเป็นบ้าน แต่ก็ยังหานักรบคอยเฝ้าเขาไว้เช่นกัน

แน่นอน การนำลูกครึ่งเมยาดิคที่ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนเป็นปิศาจร้ายเมื่อใดมาอยู่ในเสตาลัญฉน์นั้น ย่อมได้รับการทักท้วงและต่อต้าน หากแต่ไม่มีใครคิดหาทางอื่นที่ดีกว่าได้ ดังนั้นจากต่อต้าน จึงเปลี่ยนเป็นหวาดระแวง ทุกคนล้วนแต่คอยเฝ้าระวังว่าเขาจะเปลี่ยนร่างเมื่อใด ต่างคิดว่าวันใดที่เขาเปลี่ยนร่าง วันนั้นจะเป็นวันตายของเขา!

ปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง ทำให้ราดิศเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งทุกข์ทรมาน

จะมีก็แต่จิณณา...จิณณาสงสารเขา นางเป็นผู้เดียวที่คอยดูแลเขาด้วยความห่วงใย แสดงออกต่อเขาอย่างจริงใจ นางเป็นพลัง เป็นความหวังให้เขายังคงมีชีวิตอยู่

เพียงไม่นาน จากความสงสารก็เปลี่ยนเป็นความรัก ทว่าความรักของจิณณากับราดิศ กลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น...ไม่ควรเกิดขึ้นเลย...

และแล้ว วันที่ทุกคนหวาดกลัวก็มาถึง...วันที่ราดิศเปลี่ยนร่างเป็นครั้งแรก!

คืนนั้นทุกอย่างประจวบเหมาะ ทุกสิ่งลงตัว...

ไม่ว่านีซาจะทราบหรือไม่ ว่าราดิศกำลังจะเปลี่ยนร่าง แต่การจู่โจมของพวกเมยาดิคในหมู่บ้านใกล้กรุงอุษณบุรีในคืนนั้น ก็ดึงความสนใจของจิรภัจ อัยยา คีตา และนักรบคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี

คฤหาสน์เสตาลัญฉน์ในคืนนั้นมีนักรบอยู่เพียงสิบกว่าคน นอกนั้นก็เป็นเพียงคนดูแล และญาติของเหล่านักรบเท่านั้น

อัยยาจำได้ว่า หลังจากขับไล่พวกเมยาดิคไปแล้ว พวกนางกลับมายังคฤหาสน์ และต้องตื่นตระหนกเมื่อทราบข่าวร้าย...

ข่าวร้ายนั้นคือ ราดิศเปลี่ยนร่างแล้ว เขาเป็นหมาป่าร่างใหญ่ เส้นขนทั่วตัวเป็นสีดำสนิท มีพลกำลังมหาศาล นักรบเสตาลัญฉน์ถึงห้าคนก็ไม่อาจต้านทานกำลังของเขาได้

คืนนั้นนักรบถึงเจ็ดคนต้องสังเวยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เขายังลักพาจิณณา ก่อนจะหลบหนีออกจากคฤหาสน์ไป!

ทันทีที่ทราบข่าว จิรภัจก็ถึงกับล้มทั้งยืน จิณณาเป็นลูกสาวของเขา เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เป็นแก้วตาดวงใจที่เขามีอยู่ เมื่อถูกลักพาตัวไปเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้เป็นพ่อคิดไปต่างๆ นานา ในที่สุดความกลัดกลุ้มกังวล ความเป็นห่วงโหยหาก็ทำให้เขาล้มป่วยลง

คีตาในวัยสิบห้าปี กำลังเลือดร้อน เมื่อเห็นจิรภัจมีอาการไม่สู้ดีเช่นนั้นจึงไม่อาจนิ่งเฉย เขามาบอกกับอัยยา บอกว่าจะไปป่าปิศาจ ไปหาจิณณา ดูว่านางยังมีชีวิตอยู่ หรือราดิศสังหารนางเสียแล้ว

อัยยาห้ามเขาไม่ได้ หากเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ คีตาไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่ว่าจะอันตรายประเภทไหนก็ไม่อาจหยุดเขาได้

คีตาเดินทางไปยังป่าปิศาจ หายไปร่วมสัปดาห์จึงกลับมา เมื่อเห็นเขากลับมาโดยปลอดภัยนางก็เบาใจ คีตายังเล่าอีกว่า ได้พบจิณณาที่ป่าปิศาจ บอกว่านางปลอดภัยอยู่ข้างกายราดิศ บอกเหตุผลที่นางไม่อาจกลับมายังเสตาลัญฉน์ แม้จะทราบว่าจิรภัจกำลังป่วยอยู่ก็ตาม

ทว่าการที่จิณณาทราบว่าบิดาของนางป่วย กลับส่งผลเลวร้าย...

ทบทวนความทรงจำถึงตรงนี้แล้ว อัยยาก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีธุระจะต้องทำ จึงสลัดความคิดทั้งหมด ชำเลืองมองห้องนั้นอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวต่อไป



ทางเดินในคฤหาสน์เสตาลัญฉน์นั้นค่อนข้างซับซ้อน อัยยาเดินลัดเลี้ยวซ้ายขวาอยู่สองสามครั้งจึงบรรลุถึงห้องที่อยู่ริมสุดของปีกอาคารด้านทิศเหนือ

นางหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ประตูไม้นั้นปิดสนิท บนบานประตูสลักภาพดวงอาทิตย์รัศมีแปดแฉก ส่วนที่จับประตูมีโซ่หยาบใหญ่คล้องไว้ พร้อมใส่แม่กุญแจอย่างแน่นหนา

อัยยาหันมองทางด้านหลัง สำรวจซ้ายขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใด จึงค่อยดึงเอาลูกกุญแจที่คล้องอยู่ที่คอออกมาไข ปลดแม่กุญแจและโซ่ออก

ความจริงทางเดินบริเวณนี้ก็แทบไม่มีใครผ่านไปมาอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ลึกเข้ามาทางปีกอาคารซึ่งซับซ้อนเกินไป อีกส่วนหนึ่งเพราะห้องหับในบริเวณนี้ล้วนเก่าทรุดโทรม ไม่ได้รับการบูรณะอย่างห้องที่อยู่ใกล้โถงกลาง

...คงมีแต่พิฆานที่ยินดีอยู่ห้องทางปีกนี้

อัยยาผลักบานประตูออกช้าๆ ดวงอาทิตย์บนบานประตูก็ค่อยๆ แยกออกจากกันราวกับถูกผ่า

ครั้นก้าวเข้ามาในห้องแล้ว นางก็หันไปปิดประตูลง แล้วจึงหมุนตัวกลับมา พิงหลังกับบานประตู ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจึงก้าวไปทางหน้าต่างไม้ฝั่งตรงข้าม ดึงกลอน ผลักบานหน้าต่างเปิดออกบานหนึ่ง ปล่อยให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายใน

ห้องนี้เป็นห้องโล่ง สองข้างซ้ายขวาเป็นผนังหินทึบ มีคบเพลิงซึ่งไม่ได้จุดเสียบอยู่ที่แป้นตามผนัง เครื่องเรือนไม้เก่าๆ กองสุมอยู่มุมห้องด้านหนึ่ง และแท่นหินสูงที่กลางห้อง ซึ่งมีผ้าสีขาวคลุมอยู่เท่านั้น

ในสมัยก่อน ห้องนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่บวงสรวงเทพเจ้าแห่งแสง อันเป็นประเพณีประจำปีของชาวอุตตราศูร ซึ่งทุกบ้านจะต้องทำกัน ทว่าในระยะหลัง ทางราชสำนักจัดให้มีการบวงสรวงใหญ่ที่วิหารแห่งแสง และอนุญาตให้ชาวเมืองเข้าร่วมได้ ผู้คนทั้งหลายจึงมักไปร่วมงานบวงสรวงที่วิหารแห่งแสง มากกว่าจะจัดกันเองในบ้าน คนเสตาลัญฉน์เองก็ไปร่วมกับชาวเมืองที่นั่นด้วย ตั้งแต่นั้นมาห้องนี้จึงถูกปิด และไม่ได้ใช้งานอีก

อัยยาก้าวไปที่แท่นหิน เลิกผ้าขาวเปิดออก แท่นหินนี้เคยถูกใช้เป็นแท่นบูชา หน้าตัดกว้างครึ่งวา ยาวสองส่วนสามวา บนผิวหน้ามีแผ่นหินอ่อนวางทับอยู่ บนหินอ่อนสลักรูปดวงอาทิตย์รัศมีแปดแฉก

ทว่าที่อัยยามองหาอยู่นั้นไม่ใช่ภาพดวงอาทิตย์บนแผ่นหินอ่อน นางค่อยๆ เลื่อนแผ่นหินออก จึงพบช่องใต้แผ่นหิน นางล้วงมือเข้าไปค้นหาสลักกลไก เมื่อพบแล้วจึงดึงสลัก ผนังหินที่ด้านขวาจึงค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ส่งเสียงครืดคราดเบาๆ

ผนังหินภายในห้องอันศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นประตูลับ...

อัยยาเดินตรงไปทางผนังที่เปิดออกนั้น มองลงไปตามบันไดหินซึ่งทอดยาวสู่ความมืดเบื้องล่าง จากนั้นก็เอื้อมฉวยคบเพลิงที่ด้านข้างมาจุด แล้วจึงก้าวผ่านประตูลับเข้าไป

ครั้นเข้ามาแล้ว นางก็ยกมือหมุนกลไกที่ด้านข้าง ผนังจึงค่อยเลื่อนปิดลง ในระหว่างที่นางเดินลงไปตามบันได

อัยยามาที่นี่เป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง ยกเว้นในช่วงฤดูหนาว ทำเช่นนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว ซึ่งโดยปกติ หากไม่มีธุระอะไร พิฆานก็จะลงมากับนางด้วย ทว่าวันนี้เขาไปสำรวจชายป่ากับคีตา คืนนี้จึงมีเพียงนางเท่านั้น

บันไดหินทั้งแคบและวกวน สองข้างเป็นผนังทึบเรียบ ไม่มีแป้นคบเพลิง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ภายในมีเพียงความมืด

อัยยาเดินลงมาราวห้าสิบขั้น จึงเริ่มเห็นแสงสว่างส่องกระทบแนวโค้งของผนังหิน เมื่อก้าวลงจากขั้นสุดท้ายก็พบโถงแคบๆ และประตูเหล็กขวางอยู่ตรงหน้า

บานประตูเหล็กแง้มอยู่เล็กน้อย นางจึงเสียบคบเพลิงไว้ที่แป้นหน้าประตู ก่อนจะค่อยๆ ผลักมันเปิดออก บานพับประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ

ที่นี่คือห้องลับใต้ดิน สถานที่ลับซึ่งไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรู้ว่ามีห้องนี้อยู่ นางเองก็เพิ่งรู้เมื่อจิรภัจบอกต่อพวกนาง ในระหว่างวิกฤตการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน

ครั้งแรกที่นางเข้ามาในห้องนี้พร้อมกับทยุต และคีตา ห้องลับนี้มีสภาพน่าหดหู่ ไม่ต่างอะไรจากคุกใต้ดิน ทว่าในเวลานี้ ภาพนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ห้องกว้างขวางล้อมรอบด้วยผนังทึบ ไม่มีหน้าต่าง แต่สะอ้านสะอ้าน ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยผ้าสีสันต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดใสให้กับห้อง มีฉากกั้นทำจากไม้ฉลุลาย แบ่งห้องออกเป็นสองส่วน ส่วนที่อัยยายืนอยู่นี้ มีโต๊ะ ตู้ เตียง เครื่องเรือนครบครัน ซึ่งทั้งหมดล้วนทำจากไม้ แกะสลักอย่างวิจิตร ข้างหัวเตียงก็มีแจกันดอกไม้ส่งกลิ่นหอมจรุง ภายในห้องก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากคบเพลิงที่รายล้อมรอบด้าน ราวกับจะชดเชยสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในที่นี้...แสงอาทิตย์

ตรงกลางห้องทางด้านนี้มีโต๊ะกลม พร้อมกับเชิงเทียนถูกจุดสว่างไสววางอยู่กลางโต๊ะ ส่วนข้างเตียงซึ่งอยู่ชิดติดผนังด้านในสุดก็เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ มีพับตำราใบลานกองพะเนินอยู่ด้านหนึ่ง กลางโต๊ะมีแผ่นหนังกางไว้ วางทับด้วยขวดหมึก และแท่นซึ่งมีปากกาขนนกเสียบอยู่

อัยยาหยิบตำราประวัติศาสตร์ทั้งสองเล่มวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจึงหันมาทางโต๊ะกลม วางกระเช้าที่คล้องมา พลางชะเง้อมองหาเจ้าของห้อง

"เวคิน" นางเรียกเสียงเบา หากแต่ผ่านไปเป็นครู่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงขานตอบ นางจึงเดินอ้อมไปทางหลังฉาก พร้อมส่งเสียงเรียกอีกครั้ง "เวคิน..."

ที่หลังฉากไม่มีเครื่องเรือน หากแต่ผนังทางด้านนี้เต็มไปด้วยภาพสีสันสวยงาม บ้างเป็นภาพต้นไม้ ภาพทิวทัศน์กลางแจ้ง หากแต่ทั้งหมดกลับผิดสัดส่วนอย่างประหลาด สีสันก็แปลกแตกต่างจากความเป็นจริง

ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากำแพง กำลังบรรจงแต้มสีลงบนผนังอย่างใจเย็น ข้างตัวเขาก็มีสีมากมาย พร้อมทั้งขวดน้ำยาประสาน สีต่างๆ เหล่านี้เป็นสีฝุ่น ทำจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ จากพืชที่ให้สีสันบ้าง จากไขของสัตว์บ้าง จากแร่ต่างๆ บ้าง พู่กันที่เขาใช้บางด้ามก็ทำมาจากขนม้า บางด้ามทำจากขนกระต่าย

อัยยาค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ มองจากทางด้านหลัง รูปร่างของชายผู้นี้ผอมไปบ้าง แขนท่อนล่างที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาไม่ได้มีลักษณะกล้ามเนื้อเด่นชัดอย่างชายในวัยเดียวกัน ผิวของเขาเป็นสีแดงเรื่อดูผิดแปลก หากแต่ที่สะดุดตาคือผมของเขา ผมสั้นระต้นคอนั้นมีสีแปลกจนประหลาด...เป็นสีแดงดั่งเพลิง

"เวคิน" อัยยาเรียกขึ้นอีก นางมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว เอื้อมมือแตะบ่าเขาเบาๆ "ข้าเอาอาหารมาแล้ว ไปกินเถอะ"

"ข้ายังไม่หิวเลย ท่านอา..." เขาตอบ พร้อมกับวางพู่กันลง แล้วจึงหันมามองนาง

---
[ต่อด้านล่างนะจ๊ะ]
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่