ตอนนี้เล่าเกี่ยวกับความหลังของอัยยาบ้างฮับ
ความเดิม
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/31539375
###
บทที่ ๙ ดวงใจแม่
อัยยาก้าวลงจากบันไดกว้าง ที่ทอดสู่โถงกลางของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เพื่อต้อนรับเหล่านักรบซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในยามค่ำ หากสิ่งแรกที่สะดุดตานางขณะก้าวลงมานั่นคือ...เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคีตา
เด็กสาวผู้นี้มีเส้นผมสีทองและดวงตาสีทองสดใส ทว่าหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็รุ่มร่ามไม่พอดีตัว
"มินนรา..." ได้ยินชายหนุ่มก้มลงกล่าวกับเด็กสาวผู้นั้น "นี่อัยยา อาของพิฆาน และเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้"
อัยยาคลี่มุมปาก ยิ้มให้กับเด็กสาว หากร่างน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ มือเกาะท่อนแขนแข็งแรงของคีตาแน่น นางจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้
"เจ้าชื่อมินนราหรือ" นางก้มถามเสียงอ่อนโยน เด็กสาวลังเลนิดหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย
มินนราเป็นคนร่างเล็ก ยังตัวเล็กกว่าอัยยาเสียอีก เมื่อยืนอยู่ข้างคีตาจึงดูราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
"อัยยา ข้าคงต้องรบกวนท่าน ช่วยดูแลนางด้วย ให้นางอยู่ทางปีกใต้ก็แล้วกัน" เขาบอก ดวงตาที่จับจ้องหญิงกลางคนมีประกายบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องอาศัยคำพูด อัยยาก็เข้าใจ
คีตายังคงไม่ไว้ใจเด็กคนนี้ แม้จะพากลับมาเสตาลัญฉน์ แต่ก็ยังคงต้องการให้นางอยู่ในสายตา และไม่อยากให้นางเข้าไปใกล้ห้องบวงสรวงอันเป็นความลับของพวกเขามากนัก
อัยยาพยักหน้ารับรู้ รับตัวเด็กสาวมา แล้วจึงเหลียวหน้าหลังมองหาพิฆาน ทว่าเด็กหนุ่มนั่นหายตัวไปแต่แรกแล้ว
นางไม่แปลกใจ...พิฆานมักเป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาต้องออกปฏิบัติภารกิจนอกสถานที่เป็นเวลานานๆ ยามเมื่อกลับมา สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือลงไปยังห้องใต้ดิน ลงไปหาพี่ชายของเขา
ทว่านี่เกินไปเสียแล้ว หากมินนรานึกสงสัยเข้าจะว่าอย่างไร จะบอกกับนางว่าอย่างไร
"พิฆานไปไหนหรือ ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว" เด็กสาวสงสัยขึ้นมาจริงๆ อัยยาจึงอ้อมแอ้มตอบกลบเกลื่อนไป
"หลานข้าคนนี้อยู่ไม่เป็นสุข มักหายไปที่นั่นที่นี่อยู่เสมอ เจ้าอย่าใส่ใจเลย"
มินนรารับคำ แล้วจึงหันไปทางคีตา เห็นเขายกมือกุมไหล่ขวา แม้พยายามข่มอาการ ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน แต่มือขวาที่กำเข้าหากันจนท่อนแขนเกร็งแน่นนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าบาดแผลนั่นยังคงเล่นงานเขาอยู่
"ข้าจำได้ว่าท่านบาดเจ็บ" เด็กสาวกล่าวกับคีตา ไม่บอกว่านางสังเกตเห็นอาการนั้น "ท่านจะไม่ให้หมอดูแผลหน่อยหรือ"
"ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้ ไม่กี่วันก็หาย”
ใช่แล้ว บาดแผลนี้ต้องหายภายในหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่มันจะต้องหายไป เช่นเดียวกับแผลอื่นๆ
อัยยาได้ยินเช่นนั้นจึงก้าวมาทางคีตา "ให้ข้าดูแผลสักหน่อย" นางบอก พร้อมกับเอื้อมดึงมือใหญ่ที่กุมไหล่บ่ากว้างนั้น
คีตายอมตามโดยดี เขาค่อยๆ ถอดเสื้อแขนยาวสีดำที่สวมอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วเลิกเสื้อตัวในถอนออก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง แผงอกมีผ้าสีขาวพันไว้อยู่ ผ้านั้นมีรอยเปื้อนดำเป็นด่างดวง
อัยยาปลดผ้าพันแผลออกช้าๆ หากเมื่อเห็นบาดแผลแล้วก็ต้องชะงัก อุทานออกมาเบาๆ "ตายจริง!"
คีตาได้ยินเสียงอุทานก็ประหลาดใจ ก้มมองบาดแผลของตน คิ้วดกหนาสีดำสนิทขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
บาดแผลนั้นลึกเป็นรูสีดำ รอบๆ ปากแผลเหมือนรอยไหม้ มากกว่าจะเป็นรอยช้ำเลือดอย่างแผลที่ถูกแทง ...คีตาประหวัดนึกไปถึงความฝัน ความปวดแสบปวดร้อนเหมือนไฟลุกไหม้ในฝันนั้น
...หรือฝันนั้นเป็นความจริง!
เป็นไปไม่ได้ ฝันก็คือฝัน จะเป็นความจริงไปได้อย่างไร
อัยยายื่นมือแตะบ่าเขานิดหนึ่ง บอกให้เขาไปพักผ่อนที่ห้องก่อน แล้วจึงร้องสั่งให้คนไปตามหมอ จากนั้นจึงหันมาทางมินนรา ชักชวนเด็กสาวไปกับนาง
—
มินนราเดินตามอัยยามาทางปีกอาคารด้านทิศใต้ ได้ยินอัยยาบอกว่าอาคารทางด้านนี้มีคนอยู่มากกว่าทางทิศอื่น แต่ก็ยังมีห้องว่างหลายห้อง ให้นางเลือกได้ตามสบาย
"ห้องคีตาอยู่ทางด้านนี้ด้วยหรือ" เด็กสาวถามเสียงเจื้อยแจ้ว
"ใช่ เขาอยู่ชั้นบนสุด"
มินนราพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหมุนตัว เดินเรื่อยไปจนกระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าห้องซึ่งอยู่ด้านในสุดของอาคาร เด็กสาวมองประตูห้องที่ปิดสนิทสักครู่ จึงหันมาถามอัยยา
"ห้องนี้ว่างหรือไม่ ข้า...อยู่ห้องนี้ได้หรือเปล่า"
อัยยาได้ยินนางถามเช่นนั้นแล้วก็ถึงกับนิ่งงันไป นางมองดูเด็กสาวตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบไหว มือที่ตกห้อยอยู่ข้างตัวสั่นน้อยๆ ขอบตาร้อนผ่าว
เด็กคนนี่ทำให้นางนึกถึงเหตุวิปโยคในครั้งอดีต เมื่อสิบหกปีก่อน...
"ข้าอยู่ห้องนี้ได้หรือไม่ อัยยา" ได้ยินมินนราถามย้ำขึ้นอีก หญิงกลางคนจึงค่อยรู้สึกตัว เก็บมือสั่นเทาทั้งสองแอบไว้ทางด้านหลัง
"ได้...ได้สิ" เสียงของนางสั่นเครืออย่างไม่อาจปกปิด "ข้า...ข้าจะไปบอกให้คนมาจัดห้อง เจ้ารอที่นี่ก่อนนะ" ว่าแล้วนางก็รีบหมุนตัวก้าวจากมา ก่อนที่หยาดน้ำในดวงตาจะพาลไหลลงมาหยดหนึ่ง
อัยยาเร่งปาดหยดน้ำนั้นออกจากแก้ม แล้วจึงเลี้ยวออกมาทางห้องคนรับใช้ เรียกคนรับใช้คนหนึ่ง สั่งให้ไปดูแลห้องหับให้มินนรา ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่นางให้ไปตามหมอมาจากในเมืองก็กลับมาพอดี นางจึงรีบออกไปต้อนรับหมอที่ห้องโถงกลาง ก่อนจะเดินนำท่านหมอไปยังห้องของคีตาซึ่งอยู่ชั้นบนสุด
"ข้าเองก็มีเรื่องต้องแจ้งให้พวกท่านทราบเช่นกัน" หมอพูดขึ้นในระหว่างก้าวขึ้นบันได
"เรื่องอะไรหรือ ท่านหมอ" อัยยาถาม รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อมีสิ่งช่วยดึงความคิดของตน กลับมาจดจ่ออยู่กับเวลาปัจจุบัน
"เรื่องพิษในบาดแผลของท่านคีตา"
หญิงกลางคนมีสีหน้าฉงน "ข้าก็กำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ ปกติบาดแผลของคีตาจะหายเร็วมาก แต่นี่ผ่านมาหลายวันแล้ว บาดแผลนั้นก็ยังไม่ทุเลา ดูท่าจะกำเริบขึ้นเสียด้วย"
ท่านหมอถอนหายใจยาว "นี่ละที่ข้าเป็นห่วงอยู่ เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มาก"
นางหยุดฝีเท้า แล้วจึงหันกลับมา หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ "ท่านหมายความว่าอย่างไร"
ท่านหมอนิ่งคิดนิดหนึ่ง "ให้ข้าดูบาดแผลนั่นเสียก่อน แล้วจะบอกพวกท่านเสียทีเดียวเลย"
เมื่ออัยยาและท่านหมอเดินมาจนถึงหน้าห้องของคีตา พวกเขาก็เห็นประตูเปิดทิ้งไว้อยู่แล้ว หญิงกลางคนเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเดินเข้าไป จึงเห็นว่าจิรภัจก็อยู่ในห้องนั้นด้วย กำลังพิจารณาดูบาดแผลของคีตาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง
ชายชราเห็นอัยยาพาท่านหมอเข้ามาก็ทักทาย และหลีกทางให้หมอได้เข้ามาตรวจดู อัยยาก็มายืนที่ข้างเตียงด้วย
ท่านหมอเห็นลักษณะบาดแผลแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เงยขึ้นมองคนไข้ของตน
"ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดหรือไม่"
"ก่อนหน้านี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่เวลานี้ไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย" คีตาตอบตามความเป็นจริง เมื่อครู่ก่อนจะขึ้นมาบนห้อง เขารู้สึกมีความร้อนวูบแล่นพล่านไปทั่วแขนและหน้าอก หากเวลานี้ไม่รู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย ความร้อนหายไปราวกับเป็นเพียงความฝัน
"เอาอย่างนี้ ข้าจะจัดยาสมานแผลให้ท่านไปก่อน สำหรับพิษ..." ท่านหมอกล่าวแล้วนิ่งไป
"พิษ...เป็นอย่างไรหรือ" อัยยาเร่งเร้า
"คราก่อนข้าคิดว่าพิษที่ท่านคีตาได้รับไม่ร้ายแรง เพราะเห็นร่างกายมีอาการตอบสนองไม่รุนแรง หากแต่ความจริงแล้ว..." ท่านหมอหยุดไปอีกครู่หนึ่ง พยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงกล่าวต่อ “ความจริง...พิษนี้ไม่ค่อยมีปรากฏ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครถูกพิษชนิดนี้มาก่อน ข้าเคยเห็นคนถูกพิษชนิดนี้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาเป็นคนเสตาลัญฉน์นี่เอง..."
ท่านหมอหยุดไปอีก กวาดมองคนทั้งสาม แล้วจึงหยุดนิ่งที่อัยยา ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป
"คนที่เคยได้รับพิษนี้ คือสามีและพี่สะใภ้ของท่าน!"
อัยยารู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง ภาพความทรงจำเมื่อสิบหกปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในสมองราวกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำชายฝั่งยามพายุคลั่ง ความรุนแรงของคลื่นนั้นโถมทลายจิตใจของนางจนร่างซวนเซ คีตาจึงต้องลุกขึ้นประคองรับนางไว้
ไม่นานนัก หยาดน้ำที่พยายามกักขังไว้แต่แรกก็ท่วมท้นล้นออกจากดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม
—
[ต่อด้านล่างจ๊ะ]
คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๙ ดวงใจแม่
ความเดิม
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31416243
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/31539375
###
บทที่ ๙ ดวงใจแม่
อัยยาก้าวลงจากบันไดกว้าง ที่ทอดสู่โถงกลางของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เพื่อต้อนรับเหล่านักรบซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในยามค่ำ หากสิ่งแรกที่สะดุดตานางขณะก้าวลงมานั่นคือ...เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคีตา
เด็กสาวผู้นี้มีเส้นผมสีทองและดวงตาสีทองสดใส ทว่าหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็รุ่มร่ามไม่พอดีตัว
"มินนรา..." ได้ยินชายหนุ่มก้มลงกล่าวกับเด็กสาวผู้นั้น "นี่อัยยา อาของพิฆาน และเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้"
อัยยาคลี่มุมปาก ยิ้มให้กับเด็กสาว หากร่างน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ มือเกาะท่อนแขนแข็งแรงของคีตาแน่น นางจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้
"เจ้าชื่อมินนราหรือ" นางก้มถามเสียงอ่อนโยน เด็กสาวลังเลนิดหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย
มินนราเป็นคนร่างเล็ก ยังตัวเล็กกว่าอัยยาเสียอีก เมื่อยืนอยู่ข้างคีตาจึงดูราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
"อัยยา ข้าคงต้องรบกวนท่าน ช่วยดูแลนางด้วย ให้นางอยู่ทางปีกใต้ก็แล้วกัน" เขาบอก ดวงตาที่จับจ้องหญิงกลางคนมีประกายบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องอาศัยคำพูด อัยยาก็เข้าใจ
คีตายังคงไม่ไว้ใจเด็กคนนี้ แม้จะพากลับมาเสตาลัญฉน์ แต่ก็ยังคงต้องการให้นางอยู่ในสายตา และไม่อยากให้นางเข้าไปใกล้ห้องบวงสรวงอันเป็นความลับของพวกเขามากนัก
อัยยาพยักหน้ารับรู้ รับตัวเด็กสาวมา แล้วจึงเหลียวหน้าหลังมองหาพิฆาน ทว่าเด็กหนุ่มนั่นหายตัวไปแต่แรกแล้ว
นางไม่แปลกใจ...พิฆานมักเป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาต้องออกปฏิบัติภารกิจนอกสถานที่เป็นเวลานานๆ ยามเมื่อกลับมา สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือลงไปยังห้องใต้ดิน ลงไปหาพี่ชายของเขา
ทว่านี่เกินไปเสียแล้ว หากมินนรานึกสงสัยเข้าจะว่าอย่างไร จะบอกกับนางว่าอย่างไร
"พิฆานไปไหนหรือ ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว" เด็กสาวสงสัยขึ้นมาจริงๆ อัยยาจึงอ้อมแอ้มตอบกลบเกลื่อนไป
"หลานข้าคนนี้อยู่ไม่เป็นสุข มักหายไปที่นั่นที่นี่อยู่เสมอ เจ้าอย่าใส่ใจเลย"
มินนรารับคำ แล้วจึงหันไปทางคีตา เห็นเขายกมือกุมไหล่ขวา แม้พยายามข่มอาการ ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน แต่มือขวาที่กำเข้าหากันจนท่อนแขนเกร็งแน่นนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าบาดแผลนั่นยังคงเล่นงานเขาอยู่
"ข้าจำได้ว่าท่านบาดเจ็บ" เด็กสาวกล่าวกับคีตา ไม่บอกว่านางสังเกตเห็นอาการนั้น "ท่านจะไม่ให้หมอดูแผลหน่อยหรือ"
"ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้ ไม่กี่วันก็หาย”
ใช่แล้ว บาดแผลนี้ต้องหายภายในหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่มันจะต้องหายไป เช่นเดียวกับแผลอื่นๆ
อัยยาได้ยินเช่นนั้นจึงก้าวมาทางคีตา "ให้ข้าดูแผลสักหน่อย" นางบอก พร้อมกับเอื้อมดึงมือใหญ่ที่กุมไหล่บ่ากว้างนั้น
คีตายอมตามโดยดี เขาค่อยๆ ถอดเสื้อแขนยาวสีดำที่สวมอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วเลิกเสื้อตัวในถอนออก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง แผงอกมีผ้าสีขาวพันไว้อยู่ ผ้านั้นมีรอยเปื้อนดำเป็นด่างดวง
อัยยาปลดผ้าพันแผลออกช้าๆ หากเมื่อเห็นบาดแผลแล้วก็ต้องชะงัก อุทานออกมาเบาๆ "ตายจริง!"
คีตาได้ยินเสียงอุทานก็ประหลาดใจ ก้มมองบาดแผลของตน คิ้วดกหนาสีดำสนิทขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
บาดแผลนั้นลึกเป็นรูสีดำ รอบๆ ปากแผลเหมือนรอยไหม้ มากกว่าจะเป็นรอยช้ำเลือดอย่างแผลที่ถูกแทง ...คีตาประหวัดนึกไปถึงความฝัน ความปวดแสบปวดร้อนเหมือนไฟลุกไหม้ในฝันนั้น
...หรือฝันนั้นเป็นความจริง!
เป็นไปไม่ได้ ฝันก็คือฝัน จะเป็นความจริงไปได้อย่างไร
อัยยายื่นมือแตะบ่าเขานิดหนึ่ง บอกให้เขาไปพักผ่อนที่ห้องก่อน แล้วจึงร้องสั่งให้คนไปตามหมอ จากนั้นจึงหันมาทางมินนรา ชักชวนเด็กสาวไปกับนาง
—
มินนราเดินตามอัยยามาทางปีกอาคารด้านทิศใต้ ได้ยินอัยยาบอกว่าอาคารทางด้านนี้มีคนอยู่มากกว่าทางทิศอื่น แต่ก็ยังมีห้องว่างหลายห้อง ให้นางเลือกได้ตามสบาย
"ห้องคีตาอยู่ทางด้านนี้ด้วยหรือ" เด็กสาวถามเสียงเจื้อยแจ้ว
"ใช่ เขาอยู่ชั้นบนสุด"
มินนราพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหมุนตัว เดินเรื่อยไปจนกระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าห้องซึ่งอยู่ด้านในสุดของอาคาร เด็กสาวมองประตูห้องที่ปิดสนิทสักครู่ จึงหันมาถามอัยยา
"ห้องนี้ว่างหรือไม่ ข้า...อยู่ห้องนี้ได้หรือเปล่า"
อัยยาได้ยินนางถามเช่นนั้นแล้วก็ถึงกับนิ่งงันไป นางมองดูเด็กสาวตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบไหว มือที่ตกห้อยอยู่ข้างตัวสั่นน้อยๆ ขอบตาร้อนผ่าว
เด็กคนนี่ทำให้นางนึกถึงเหตุวิปโยคในครั้งอดีต เมื่อสิบหกปีก่อน...
"ข้าอยู่ห้องนี้ได้หรือไม่ อัยยา" ได้ยินมินนราถามย้ำขึ้นอีก หญิงกลางคนจึงค่อยรู้สึกตัว เก็บมือสั่นเทาทั้งสองแอบไว้ทางด้านหลัง
"ได้...ได้สิ" เสียงของนางสั่นเครืออย่างไม่อาจปกปิด "ข้า...ข้าจะไปบอกให้คนมาจัดห้อง เจ้ารอที่นี่ก่อนนะ" ว่าแล้วนางก็รีบหมุนตัวก้าวจากมา ก่อนที่หยาดน้ำในดวงตาจะพาลไหลลงมาหยดหนึ่ง
อัยยาเร่งปาดหยดน้ำนั้นออกจากแก้ม แล้วจึงเลี้ยวออกมาทางห้องคนรับใช้ เรียกคนรับใช้คนหนึ่ง สั่งให้ไปดูแลห้องหับให้มินนรา ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่นางให้ไปตามหมอมาจากในเมืองก็กลับมาพอดี นางจึงรีบออกไปต้อนรับหมอที่ห้องโถงกลาง ก่อนจะเดินนำท่านหมอไปยังห้องของคีตาซึ่งอยู่ชั้นบนสุด
"ข้าเองก็มีเรื่องต้องแจ้งให้พวกท่านทราบเช่นกัน" หมอพูดขึ้นในระหว่างก้าวขึ้นบันได
"เรื่องอะไรหรือ ท่านหมอ" อัยยาถาม รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อมีสิ่งช่วยดึงความคิดของตน กลับมาจดจ่ออยู่กับเวลาปัจจุบัน
"เรื่องพิษในบาดแผลของท่านคีตา"
หญิงกลางคนมีสีหน้าฉงน "ข้าก็กำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ ปกติบาดแผลของคีตาจะหายเร็วมาก แต่นี่ผ่านมาหลายวันแล้ว บาดแผลนั้นก็ยังไม่ทุเลา ดูท่าจะกำเริบขึ้นเสียด้วย"
ท่านหมอถอนหายใจยาว "นี่ละที่ข้าเป็นห่วงอยู่ เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มาก"
นางหยุดฝีเท้า แล้วจึงหันกลับมา หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ "ท่านหมายความว่าอย่างไร"
ท่านหมอนิ่งคิดนิดหนึ่ง "ให้ข้าดูบาดแผลนั่นเสียก่อน แล้วจะบอกพวกท่านเสียทีเดียวเลย"
เมื่ออัยยาและท่านหมอเดินมาจนถึงหน้าห้องของคีตา พวกเขาก็เห็นประตูเปิดทิ้งไว้อยู่แล้ว หญิงกลางคนเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเดินเข้าไป จึงเห็นว่าจิรภัจก็อยู่ในห้องนั้นด้วย กำลังพิจารณาดูบาดแผลของคีตาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง
ชายชราเห็นอัยยาพาท่านหมอเข้ามาก็ทักทาย และหลีกทางให้หมอได้เข้ามาตรวจดู อัยยาก็มายืนที่ข้างเตียงด้วย
ท่านหมอเห็นลักษณะบาดแผลแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เงยขึ้นมองคนไข้ของตน
"ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดหรือไม่"
"ก่อนหน้านี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่เวลานี้ไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย" คีตาตอบตามความเป็นจริง เมื่อครู่ก่อนจะขึ้นมาบนห้อง เขารู้สึกมีความร้อนวูบแล่นพล่านไปทั่วแขนและหน้าอก หากเวลานี้ไม่รู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย ความร้อนหายไปราวกับเป็นเพียงความฝัน
"เอาอย่างนี้ ข้าจะจัดยาสมานแผลให้ท่านไปก่อน สำหรับพิษ..." ท่านหมอกล่าวแล้วนิ่งไป
"พิษ...เป็นอย่างไรหรือ" อัยยาเร่งเร้า
"คราก่อนข้าคิดว่าพิษที่ท่านคีตาได้รับไม่ร้ายแรง เพราะเห็นร่างกายมีอาการตอบสนองไม่รุนแรง หากแต่ความจริงแล้ว..." ท่านหมอหยุดไปอีกครู่หนึ่ง พยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงกล่าวต่อ “ความจริง...พิษนี้ไม่ค่อยมีปรากฏ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครถูกพิษชนิดนี้มาก่อน ข้าเคยเห็นคนถูกพิษชนิดนี้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาเป็นคนเสตาลัญฉน์นี่เอง..."
ท่านหมอหยุดไปอีก กวาดมองคนทั้งสาม แล้วจึงหยุดนิ่งที่อัยยา ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป
"คนที่เคยได้รับพิษนี้ คือสามีและพี่สะใภ้ของท่าน!"
อัยยารู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง ภาพความทรงจำเมื่อสิบหกปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในสมองราวกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำชายฝั่งยามพายุคลั่ง ความรุนแรงของคลื่นนั้นโถมทลายจิตใจของนางจนร่างซวนเซ คีตาจึงต้องลุกขึ้นประคองรับนางไว้
ไม่นานนัก หยาดน้ำที่พยายามกักขังไว้แต่แรกก็ท่วมท้นล้นออกจากดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม
—
[ต่อด้านล่างจ๊ะ]