หากวันนี้ พรุ่งนี้ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในองค์กรอิสระที่ต้องรับผิดชอบคือ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ภายใต้การนำของประธาน ทปอ. คนล่าสุด คือ ศ. นพ. รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และศิษย์รักของ ศ. นพ. อรรถสิทธ์ เวชชาชีวะ พ่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดย ที่สุมหัวอธิการบ่ดี
หากวันนี้ พรุ่งนี้ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในองค์กรอิสระที่ต้องรับผิดชอบในฐานะสมรู้ร่วมคิดกันปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน คือ “ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
ภายใต้การนำของประธาน ทปอ. คนล่าสุด คือ ศ. นพ. รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และศิษย์รักของ ศ. นพ. อรรถสิทธ์ เวชชาชีวะ พ่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ต้องหาบงการสังหารหมู่ประชาชนจากการชุมนุมทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2553
ดูเหมือนว่าตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลอันกว้างใหญ่มีมากมายหลายวิทยาเขต ยังไม่สามารถตอบสนองตัณหา และความกระสันลาภยศ สรรเสริญของ นพ.รัชตะ ได้เพียงพอ
หรืออาจจะเป็นเพราะต้องตอบแทนอาจารย์ผู้มีพระคุณ อย่าง นพ. อรรถสิทธิ์ที่ผู้สนับสนุนให้ได้ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาครอง หรืออาจจะเป็น “มือที่มอง (ไม่) เห็นชัดเจนแล้วในปัจจุบัน” ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมเยือนมหาวิทยาลัยบ่อยๆ ทั้งอย่างเปิดเผย และไม่เปิดเผย ฯลฯ ที่ทำให้ นพ.รัชตะ พยายามอย่างเต็มที่ในการรับใช้เผด็จการอำมาตย์
ตลอดจนใช้อำนาจในฐานะผู้บริหารสูงสุดของสถาบันวิชาการ ออกมาแสดงจุดยืนตรงข้ามฝ่ายประชาธิปไตย อย่าง ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะ (Conscience) และทำทุกอย่างทั้งในที่ลับและที่แจ้งเพื่อโค่นล้มอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่ที่มอบให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านการเลือกตั้งอย่างถูกต้องในระบอบประชาธิปไตย และเป็นรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน หลังประกาศยุบสภาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556
อันที่จริง จุดยืนของ นพ. รัชตะ ก็ไม่ต่างไปจากผู้บริหารส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และนิด้า ในปัจจุบัน ที่ถูกครอบงำโดยเผด็จการจารีต ที่มีบทบาทร่วมด้วยช่วยกันโค่นล้มอำนาจของประชาชน
ถ้าจะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็น “นอมินี” ของเผด็จการจารีต โดยเฉพาะมหิดล ที่นับวันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ในยุคปัจจุบันที่ นพ.รัชตะเป็นอธิการบดี งบประมาณที่ได้รับจากการจัดสรรให้โดยรัฐบาล ส่วนใหญ่ (80-90%) ทุ่มไปให้คณะแพทย์และสาขาด้านสาธารณสุขในสังกัด และผ่านไปสนับสนุนบางสถาบันนอกมหาวิทยาลัยที่เป็นของเผด็จการจารีต
ดังนั้น การที่ นพ.รัตชะ ออกมาร้องโหยหวนผ่านสื่อเป็นระยะๆ ว่าถูกรัฐบาลตัดงบประมาณมากเกินไป ไม่ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องให้ความเห็นใจแต่อย่างใด เพราะงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรจากภาษีประชาชนให้ไปนั้น นอกเหนือจากเงินเดือนอาจารย์และเจ้าหน้าที่แล้ว ผู้บริหารทีมปัจจุบันของมหิดลได้นำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของคณะที่ตนสังกัด พวกพ้อง
ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลเหล่าเผด็จการจารีต ให้มาโค่นรัฐบาลของประชาชน อาจารย์/นักวิชาการ/นักวิจัยทีสังกัดคณะอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ถูกจัดความสำคัญให้อยู่ในอันดับท้ายๆ ในการสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัย ต้องรอคอยเศษเงินงบประมาณอันน้อยนิด (ไม่ถึง 10%)
ที่เหลือจากการปันส่วนให้คณะแพทย์/สาธารณสุข ไม่ว่างบฯ นั้นจะมาจากรัฐบาลโดยตรง หรือจากหน่วยงานให้ทุนของภาครัฐที่จัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยต่างหากในแต่ละปี
จึงเป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อ นพ.รัชตะ ในฐานะประธาน ทปอ. ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวออกสื่อกดดันซ้ำชากให้รัฐบาลรักษาการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออก เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ว่า ทปอ.จะขออาสาเป็น “เจ้าภาพในการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี”
เพราะในความเป็นจริง สาขาดังกล่าวนี้ที่มหิดลภายใต้การบริหารของ นพ. รัชตะ มีสภาพไม่ต่างจากลูกที่เกิดกับคนขับรถข้างบ้าน (ย่ำแย่กว่าลูกเมียน้อย) ขณะที่เหตุผลของ ทปอ. ในการขอให้รัฐบาลรักษาการณ์ฯ ลาออก ยิ่งน่าขยะแขยงมากกว่า
โดยสรุปใจความว่า “เนื่องจากมีความรุนแรงเกิดขึ้น มีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย ดังนั้นรัฐบาลรักษาการฯ จึงควรรับผิดชอบด้วยการลาออก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในกรอบที่เกี่ยวข้องด้านบน) โดย ทปอ. หลีกเลี่ยงไม่แตะต้องม็อบ กปปส.ที่ประชาชนค่อนประเทศ รับรู้ได้ว่า การชุมนุมไม่เลิก พร้อมอาวุธสงครามครบครันของการ์ด กปปส. เป็นต้นเหตุของความรุนแรง และการบาดเจ็บล้มตาย นับตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 2557 เป็นต้นมา
นอกจากการบริหารมหิดลด้วยความอยุติธรรมแล้ว นพ.รัชตะยังใช้ตำแหน่งหน้าที่ และอำนาจในฐานะผู้บริหารสูงสุดของมหาวิยาลัยในทางการเมืองทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งให้ชัดเจนก็คือ นายแพทย์มือถือสาก ปากถือศีลคนนี้ รับงานเผด็จการจารีตมาทำ โดยหวังลาภยศ สรรเสริญที่มากกว่าการเป็นอธิการบดี
จึงไม่แปลกที่ที่ทำงานส่วนหนึ่งในมหาวิทยาลัยมหิดล ในบางวิทยาเขต ถูกใช้เป็นวอร์รูมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มานานแล้ว และมีการประชุมกันหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา (ช่วงที่มีข่าวลือว่า นายกยิ่งลักษณ์จะถูกอุ้ม) จนถึงปัจจุบัน
ในบางครั้ง นั่งประชุมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้หลับได้นอนทั้งหัวหงอก หัวดำ คณบดีบางคณะฯ ที่มีสภาพเหมือนลูกที่เกิดกับคนขับรถข้างบ้านก็ไปร่วมสุมหัวทำเรื่องชั่วกับเขาด้วย จนเมียที่บ้านระแวงคิดว่าไปมีกิ๊ก (หรือแอบไปมีจริงๆ ก็ไม่ทราบ) ฯลฯ
นี่คือสภาพที่น่าอดสูของมหิดลภายใต้การบริหารของ นพ. รัชตะ ที่ไม่เหลือสภาพความเป็นสถาบันวิชาการให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และสังคมอีกต่อไป เพราะเลือกข้างเผด็จการจารีตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามประชาชน
แต่ขณะเดียวกันก็ทำมาหากินบนหลังประชาชนมาหลายทศวรรษ แต่นักศึกษาและครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจ (โดยไม่ชอบ?) ของ นพ. รัชตะ ไม่มากก็น้อย
ตัวอย่างเช่น การประกาศงดการเรียนการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2556 ระหว่างเวลา 8.30 – 10.30 น. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ไปร่วมกันยืนประท้วง/ต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ในเวลาราชการ (ดูรายละเอียดในประกาศของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม)
เป็นผลให้อาจารย์และนักศึกษาส่วนหนึ่งที่มีการเรียน-การสอนในช่วงเช้าของวันดังกล่าว ต้องงดการเรียน-การสอนไป และต้องหาเวลานอกมาเรียน มาสอนเอาเองภายหลัง โดยที่ นพ.รัชตะไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด หรืออาจไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับกิจกรรมโค่นล้มรัฐบาล ก็เป็นได้
ก็จริงอยู่ที่ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง แต่ในฐานะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่ควรใช้อำนาจมาประกาศหยุดการเรียน-การสอนเพื่อระดมมวลชนไปทำกิจกรรมดังกล่าวในเวลาราชการ
ถือเป็นการคอรัปชั่นเวลา และเงินภาษีของประชาชนที่ส่วนหนึ่งนำมาใช้เป็นเงินเดือนสูงๆ ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย และรายได้ของมหาวิทยาลัยที่ส่วนหนึ่งมาจากเงินของประชาชนที่จ่ายเป็นค่าเทอมส่งลูกหลานมาเรียน
ปากบอกว่ารับไม่ได้กับคนชั่ว คนโกง แต่เคยส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างไหม นพ. รัชตะ และผู้บริหาร อาจารย์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่มหิดลส่วนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามไปกับม็อบกบฏล้มล้างประชาธิปไตย เห็นเรียกร้องอยากปฏิรูปโน่น ปฏิรูปนี่ ปฏิรูปตัวเองให้มีหิริโอตตัปปะกันก่อนดีกว่าไหม
แต่ก็ช่างเถอะเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้โง่ หรือเคลิบเคลิ้มไปด้วยก ก็รู้ๆ กันอยู่ ว่า ทั้งอาจารย์ (นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ) และลูกศิษย์ (นพ.รัชตะ) และสมุนบริวารเผด็จการจารีต กำลังทำทุกอย่างเพื่อแต่งตั้งรัฐบาลคนดี คนกลาง (ใจพวกเดียวกัน) และถ้าจะได้ดีเลิศประเสริฐศรีต้องมีพรรคประชาธิปัตย์ที่อุตส่าห์ Boycott การเลือกตั้งครั้งล่าสุด เป็นรัฐบาลด้วยนะ โดยใช้ทุกองคาพยพและองค์กรอิสระแต่งตั้งโดยอำมาตย์ โค่นล้มรัฐบาลปัจจุบันที่เป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน อย่างโจ๋งครึ่ม หน้าด้านๆ ฉาวโฉ่ไปทั่วโลกตอนนี้
อีกเรื่องหนึ่งคือการเอา “ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)” มาหากินทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนเจตนารมณ์ที่แท้จริงขององค์กรอิสระนี้ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์หลักในการช่วยเหลือกันเองระหว่างมหาวิทยาลัย โดยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า
“ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรอิสระไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง เป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมือ ความคิด การสร้างสรรค์ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับกิจการอุดมศึกษาของประเทศที่เป็นความสนใจร่วมกัน การดำเนินงานจะมุ่งที่ความคล่องตัวและยึดหลักความเป็นอิสระของแต่ละสถาบัน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการดำเนินงานซ้ำซ้อนกับทบวงมหาวิทยาลัย แต่จะเสริมและสนับสนุนกัน เพื่อประโยชน์โดยส่วนรวมของการอุดมศึกษาของประเทศ บทบาทของที่ประชุมอธิการบดีฯ นั้นจึงขึ้นอยู่กับบทบาทของมหาวิทยาลัย/สถาบันสมาชิกเป็นหลักสำคัญ”
ข้อความข้างต้นนี้คัดลอกมาจากเว็บไซต์ของ ทปอ. (อ่านรายละเอียดได้เพิ่มเติมจากกรอบข้างล่าง หรือที่ลิงค์
http://www.cupt-thailand.net/history.php ถ้าไม่ถูกลบไปเสียก่อน) ที่ นพ.รัชตะ และสมาชิก ทปอ. ควรอ่านทบทวนหลายๆ รอบหน่อย จะได้เข้าใจจุดประสงค์ บทบาทและภารกิจของ ทปอ. ได้ดีขึ้น
http://thaienews.blogspot.com/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถลกหนังรัชตะ ประธานที่ประชุมอธิการบดีฯ: ขี้ข้าเผด็จการจารีตตัวเอ้
หากวันนี้ พรุ่งนี้ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในองค์กรอิสระที่ต้องรับผิดชอบคือ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ภายใต้การนำของประธาน ทปอ. คนล่าสุด คือ ศ. นพ. รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และศิษย์รักของ ศ. นพ. อรรถสิทธ์ เวชชาชีวะ พ่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดย ที่สุมหัวอธิการบ่ดี
หากวันนี้ พรุ่งนี้ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในองค์กรอิสระที่ต้องรับผิดชอบในฐานะสมรู้ร่วมคิดกันปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน คือ “ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
ภายใต้การนำของประธาน ทปอ. คนล่าสุด คือ ศ. นพ. รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และศิษย์รักของ ศ. นพ. อรรถสิทธ์ เวชชาชีวะ พ่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ต้องหาบงการสังหารหมู่ประชาชนจากการชุมนุมทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2553
ดูเหมือนว่าตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลอันกว้างใหญ่มีมากมายหลายวิทยาเขต ยังไม่สามารถตอบสนองตัณหา และความกระสันลาภยศ สรรเสริญของ นพ.รัชตะ ได้เพียงพอ
หรืออาจจะเป็นเพราะต้องตอบแทนอาจารย์ผู้มีพระคุณ อย่าง นพ. อรรถสิทธิ์ที่ผู้สนับสนุนให้ได้ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาครอง หรืออาจจะเป็น “มือที่มอง (ไม่) เห็นชัดเจนแล้วในปัจจุบัน” ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมเยือนมหาวิทยาลัยบ่อยๆ ทั้งอย่างเปิดเผย และไม่เปิดเผย ฯลฯ ที่ทำให้ นพ.รัชตะ พยายามอย่างเต็มที่ในการรับใช้เผด็จการอำมาตย์
ตลอดจนใช้อำนาจในฐานะผู้บริหารสูงสุดของสถาบันวิชาการ ออกมาแสดงจุดยืนตรงข้ามฝ่ายประชาธิปไตย อย่าง ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะ (Conscience) และทำทุกอย่างทั้งในที่ลับและที่แจ้งเพื่อโค่นล้มอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่ที่มอบให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านการเลือกตั้งอย่างถูกต้องในระบอบประชาธิปไตย และเป็นรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน หลังประกาศยุบสภาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556
อันที่จริง จุดยืนของ นพ. รัชตะ ก็ไม่ต่างไปจากผู้บริหารส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และนิด้า ในปัจจุบัน ที่ถูกครอบงำโดยเผด็จการจารีต ที่มีบทบาทร่วมด้วยช่วยกันโค่นล้มอำนาจของประชาชน
ถ้าจะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็น “นอมินี” ของเผด็จการจารีต โดยเฉพาะมหิดล ที่นับวันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ในยุคปัจจุบันที่ นพ.รัชตะเป็นอธิการบดี งบประมาณที่ได้รับจากการจัดสรรให้โดยรัฐบาล ส่วนใหญ่ (80-90%) ทุ่มไปให้คณะแพทย์และสาขาด้านสาธารณสุขในสังกัด และผ่านไปสนับสนุนบางสถาบันนอกมหาวิทยาลัยที่เป็นของเผด็จการจารีต
ดังนั้น การที่ นพ.รัตชะ ออกมาร้องโหยหวนผ่านสื่อเป็นระยะๆ ว่าถูกรัฐบาลตัดงบประมาณมากเกินไป ไม่ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องให้ความเห็นใจแต่อย่างใด เพราะงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรจากภาษีประชาชนให้ไปนั้น นอกเหนือจากเงินเดือนอาจารย์และเจ้าหน้าที่แล้ว ผู้บริหารทีมปัจจุบันของมหิดลได้นำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของคณะที่ตนสังกัด พวกพ้อง
ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลเหล่าเผด็จการจารีต ให้มาโค่นรัฐบาลของประชาชน อาจารย์/นักวิชาการ/นักวิจัยทีสังกัดคณะอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ถูกจัดความสำคัญให้อยู่ในอันดับท้ายๆ ในการสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัย ต้องรอคอยเศษเงินงบประมาณอันน้อยนิด (ไม่ถึง 10%)
ที่เหลือจากการปันส่วนให้คณะแพทย์/สาธารณสุข ไม่ว่างบฯ นั้นจะมาจากรัฐบาลโดยตรง หรือจากหน่วยงานให้ทุนของภาครัฐที่จัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยต่างหากในแต่ละปี
จึงเป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อ นพ.รัชตะ ในฐานะประธาน ทปอ. ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวออกสื่อกดดันซ้ำชากให้รัฐบาลรักษาการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออก เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ว่า ทปอ.จะขออาสาเป็น “เจ้าภาพในการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี”
เพราะในความเป็นจริง สาขาดังกล่าวนี้ที่มหิดลภายใต้การบริหารของ นพ. รัชตะ มีสภาพไม่ต่างจากลูกที่เกิดกับคนขับรถข้างบ้าน (ย่ำแย่กว่าลูกเมียน้อย) ขณะที่เหตุผลของ ทปอ. ในการขอให้รัฐบาลรักษาการณ์ฯ ลาออก ยิ่งน่าขยะแขยงมากกว่า
โดยสรุปใจความว่า “เนื่องจากมีความรุนแรงเกิดขึ้น มีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย ดังนั้นรัฐบาลรักษาการฯ จึงควรรับผิดชอบด้วยการลาออก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในกรอบที่เกี่ยวข้องด้านบน) โดย ทปอ. หลีกเลี่ยงไม่แตะต้องม็อบ กปปส.ที่ประชาชนค่อนประเทศ รับรู้ได้ว่า การชุมนุมไม่เลิก พร้อมอาวุธสงครามครบครันของการ์ด กปปส. เป็นต้นเหตุของความรุนแรง และการบาดเจ็บล้มตาย นับตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 2557 เป็นต้นมา
นอกจากการบริหารมหิดลด้วยความอยุติธรรมแล้ว นพ.รัชตะยังใช้ตำแหน่งหน้าที่ และอำนาจในฐานะผู้บริหารสูงสุดของมหาวิยาลัยในทางการเมืองทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งให้ชัดเจนก็คือ นายแพทย์มือถือสาก ปากถือศีลคนนี้ รับงานเผด็จการจารีตมาทำ โดยหวังลาภยศ สรรเสริญที่มากกว่าการเป็นอธิการบดี
จึงไม่แปลกที่ที่ทำงานส่วนหนึ่งในมหาวิทยาลัยมหิดล ในบางวิทยาเขต ถูกใช้เป็นวอร์รูมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มานานแล้ว และมีการประชุมกันหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา (ช่วงที่มีข่าวลือว่า นายกยิ่งลักษณ์จะถูกอุ้ม) จนถึงปัจจุบัน
ในบางครั้ง นั่งประชุมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้หลับได้นอนทั้งหัวหงอก หัวดำ คณบดีบางคณะฯ ที่มีสภาพเหมือนลูกที่เกิดกับคนขับรถข้างบ้านก็ไปร่วมสุมหัวทำเรื่องชั่วกับเขาด้วย จนเมียที่บ้านระแวงคิดว่าไปมีกิ๊ก (หรือแอบไปมีจริงๆ ก็ไม่ทราบ) ฯลฯ
นี่คือสภาพที่น่าอดสูของมหิดลภายใต้การบริหารของ นพ. รัชตะ ที่ไม่เหลือสภาพความเป็นสถาบันวิชาการให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และสังคมอีกต่อไป เพราะเลือกข้างเผด็จการจารีตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามประชาชน
แต่ขณะเดียวกันก็ทำมาหากินบนหลังประชาชนมาหลายทศวรรษ แต่นักศึกษาและครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจ (โดยไม่ชอบ?) ของ นพ. รัชตะ ไม่มากก็น้อย
ตัวอย่างเช่น การประกาศงดการเรียนการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2556 ระหว่างเวลา 8.30 – 10.30 น. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ไปร่วมกันยืนประท้วง/ต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ในเวลาราชการ (ดูรายละเอียดในประกาศของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม)
เป็นผลให้อาจารย์และนักศึกษาส่วนหนึ่งที่มีการเรียน-การสอนในช่วงเช้าของวันดังกล่าว ต้องงดการเรียน-การสอนไป และต้องหาเวลานอกมาเรียน มาสอนเอาเองภายหลัง โดยที่ นพ.รัชตะไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด หรืออาจไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับกิจกรรมโค่นล้มรัฐบาล ก็เป็นได้
ก็จริงอยู่ที่ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง แต่ในฐานะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่ควรใช้อำนาจมาประกาศหยุดการเรียน-การสอนเพื่อระดมมวลชนไปทำกิจกรรมดังกล่าวในเวลาราชการ
ถือเป็นการคอรัปชั่นเวลา และเงินภาษีของประชาชนที่ส่วนหนึ่งนำมาใช้เป็นเงินเดือนสูงๆ ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย และรายได้ของมหาวิทยาลัยที่ส่วนหนึ่งมาจากเงินของประชาชนที่จ่ายเป็นค่าเทอมส่งลูกหลานมาเรียน
ปากบอกว่ารับไม่ได้กับคนชั่ว คนโกง แต่เคยส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างไหม นพ. รัชตะ และผู้บริหาร อาจารย์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่มหิดลส่วนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามไปกับม็อบกบฏล้มล้างประชาธิปไตย เห็นเรียกร้องอยากปฏิรูปโน่น ปฏิรูปนี่ ปฏิรูปตัวเองให้มีหิริโอตตัปปะกันก่อนดีกว่าไหม
แต่ก็ช่างเถอะเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้โง่ หรือเคลิบเคลิ้มไปด้วยก ก็รู้ๆ กันอยู่ ว่า ทั้งอาจารย์ (นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ) และลูกศิษย์ (นพ.รัชตะ) และสมุนบริวารเผด็จการจารีต กำลังทำทุกอย่างเพื่อแต่งตั้งรัฐบาลคนดี คนกลาง (ใจพวกเดียวกัน) และถ้าจะได้ดีเลิศประเสริฐศรีต้องมีพรรคประชาธิปัตย์ที่อุตส่าห์ Boycott การเลือกตั้งครั้งล่าสุด เป็นรัฐบาลด้วยนะ โดยใช้ทุกองคาพยพและองค์กรอิสระแต่งตั้งโดยอำมาตย์ โค่นล้มรัฐบาลปัจจุบันที่เป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน อย่างโจ๋งครึ่ม หน้าด้านๆ ฉาวโฉ่ไปทั่วโลกตอนนี้
อีกเรื่องหนึ่งคือการเอา “ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)” มาหากินทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนเจตนารมณ์ที่แท้จริงขององค์กรอิสระนี้ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์หลักในการช่วยเหลือกันเองระหว่างมหาวิทยาลัย โดยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า
“ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรอิสระไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง เป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมือ ความคิด การสร้างสรรค์ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับกิจการอุดมศึกษาของประเทศที่เป็นความสนใจร่วมกัน การดำเนินงานจะมุ่งที่ความคล่องตัวและยึดหลักความเป็นอิสระของแต่ละสถาบัน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการดำเนินงานซ้ำซ้อนกับทบวงมหาวิทยาลัย แต่จะเสริมและสนับสนุนกัน เพื่อประโยชน์โดยส่วนรวมของการอุดมศึกษาของประเทศ บทบาทของที่ประชุมอธิการบดีฯ นั้นจึงขึ้นอยู่กับบทบาทของมหาวิทยาลัย/สถาบันสมาชิกเป็นหลักสำคัญ”
ข้อความข้างต้นนี้คัดลอกมาจากเว็บไซต์ของ ทปอ. (อ่านรายละเอียดได้เพิ่มเติมจากกรอบข้างล่าง หรือที่ลิงค์ http://www.cupt-thailand.net/history.php ถ้าไม่ถูกลบไปเสียก่อน) ที่ นพ.รัชตะ และสมาชิก ทปอ. ควรอ่านทบทวนหลายๆ รอบหน่อย จะได้เข้าใจจุดประสงค์ บทบาทและภารกิจของ ทปอ. ได้ดีขึ้น
http://thaienews.blogspot.com/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้