ผมลองแต่งเรื่องสั้นดู ยังไงรบกวนวิจารณ์แสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ ^^
เรื่องที่1 "ประทีปชีวิต"
มนุษย์ได้แต่เฝ้ามองหาแสงสว่างซึ่งเป็นทางออกของชีวิต แต่แท้ที่จริงทุกทางออกมาจากแสงสว่างที่เกิดขึ้นในกายของเรา ทั้งสิ้น
เสียงโหยหวนของผู้คนกลุ่มใหญ่จับตัวกันอยู่ในความมืดมิด พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่แย่งกันร้องบอกถึงปัญหาของตัวเอง ไม่มีใครฟังใครและไม่มีใครสนใจฟังพวกเขาเช่นกัน แต่ทุกคนก็ไม่หยุดที่จะพูด ไม่หยุดที่จะส่งเสียงร้อง ปะปนระคนผสานเสียงอื้ออึงจนฟังไม่เป็นภาษาคน และไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง
แต่แล้วสภาวะแห่งความเครียดและความกดดันตรงนั้นเงียบลงพลันทันทีเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินโผล่มาหยุดข้างหน้า ในมือของเธอถือตะเกียงเปล่ามาหนึ่งดวง
“ขอไฟหน่อยค่ะ ”หญิงสาวตะโกนเข้าไปในกลุ่มแห่งความมืด
“ไม่มี” หนึ่งในความมืดตอบ
“ขอไฟหน่อยได้ไหมคะ”
“ก็บอกว่าไม่มีไง” ความมืดเริ่มตวาดโมโหและกลับมาจับกลุ่มโหยหวน อีกครั้ง โดยไม่สนใจหญิงสาว จนหญิงสาวเริ่มโกรธบ้าง เธอหน้าตาดุดันขึ้น และเริ่มด่าทอความมืด และแล้วเธอก็เดินเข้าไปรวมกลุ่มความมืด ชุดของเธอกลายเป็นสีดำจนในที่สุดก็ถูกความมืดกลืนเข้าไปเป็นพวกเดียวกัน มีกลุ่มหนุ่มสาวอีกสองสามคนมาพร้อมตะเกียงอีกดวง เหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นเดิม สุดท้ายก็ถูกกลืนเข้าไปเช่นกัน จนความมืดนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นๆและเสียงดังขึ้นๆ
ท่ามกลางความโกลาหล มีชายชุดสีเทาคลานออกมาจากกลุ่มความมืด มายังตะเกียงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ฉันมีไฟ” พร้อมกับเอื้อมมือมาจุดที่ชนวนตะเกียง
“ฉันต่างหากที่มีไฟ” ไม่ทันใดชายอีกคนก็หนึ่งก็คลานตามออกมา แต่ไม่ทันที่จะได้จุดตะเกียงพวกเขากลับทะเลาะยื้อแย่งกันเพื่อจะจุดไฟ จนสุดท้ายก็ถูกความมืดลากเข้าไปเช่นเดิม เหตุการณ์กลับไปเหมือนก่อนหน้า
สักพักท่ามกลางความชุลมุน มีไฟแช็คกระเด็นออกมาจากกลุ่มความมืด ความนิ่งเงียบเข้าครอบคลุมกินพื้นที่ชั่วขณะหนึ่ง
“นั่นอะไร” เสียงหนึ่งจากความมืดเอ่ยปากถาม
“วัตถุประหลาด/...จานบิน/....เครื่องเพศ/...ไม่รู้ /...อีพวกโง่ เงียบ!!” การเคลื่อนไหวทุกอย่างชะงักราวมีเสียงเพลงแห่งความเครียดและความหวังถูกบรรเลงขึ้นกลบเสียงทุกอย่าง
---------
**** อีกฟากหนึ่งของเฉดความมืด มันเป็นมุมมองใหม่ๆที่ดูเหมือนพลิกกลับสายตา ความมืดถูกหั่นออกเป็นส่วนๆ... แสงสว่างถูกจุดขึ้นทุกซอกมุม ทุกหนทุกแห่ง ละลานตาสว่างไสวกลางบรรยากาศความมืด ยกเว้นแต่เพียงตะเกียงที่ยังมืดสนิท สายตาทุกคู่จ้องมองล้อมรอบตะเกียงใบนั้น
ชายหนุ่มคนเดิมกล่าวขึ้น “ฉันมีไฟ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็รีบบอก “ฉันก็มีไฟ” หญิงสาวคนเดิมหยิบตะเกียงดวงนั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอนำไฟแช็คที่มีอยู่ในมือจุดเข้าไปในตะเกียง และยื่นตะเกียงนั้นส่งต่อไปให้ หนุ่มสาวกลุ่มนั้นหลังจากที่พวกเขารับตะเกียงไปแล้วบรรยากาศของความสว่างเกิดขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น จนสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจน ทุกอย่างอย่างปรากฏชัด100% สิ่งที่ทุกคนเห็นคือประตูหลายบานตั้งอยู่มากมายๆซึ่งทุกบานเปิดอ้ารอการก้าวผ่านอยู่แล้ว
“พาพวกเราออกจากที่นี่ที ได้โปรด” หญิงสาวเอ่ยปากขอร้องคนกลุ่มนั้น
“ขอโทษนะฉันมองไม่เห็นทาง”
“แล้วเราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง”
“เราไม่รู้”
เรื่องที่ 2 "รักจะบาน อีกสักสามวัน"
เธอมีแค่ตัวตน แต่ไม่มีใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง จนกว่า..
เราทั้งคู่เจอกันโดยบังเอิญที่เชิงบันไดตึก สภาพเธอดูสกปรกมอมแมม สิ้นกำลังไร้เรี่ยวแรงเหลือทน เธอนอนนิ่งอยู่บนถุงขยะสีดำแต่ก็ยังปรากฏสิ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ วินาทีแรกที่สบตา ความสงสารครั้งแรกที่เห็น ด้วยรู้สึกหวังดีจากใจที่ยังคงระลึกถึงเสมอ ว่าจะสามารถพาเธอไปดูแลต่อจากเขาได้ ฉันอยากช่วยเหลือเธอเหลือเกิน...
เธอถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี เพื่อนของเธอนั้นนอนนิ่งอยู่ข้างๆ คาดว่าจากไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนของเธอ ทำได้เพียงแค่นำตัวเธอออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบๆ ตอนนี้เธอดูตกอยู่ในสภาวะที่อนาถใจซะเหลือเกิน คงขาดน้ำเติมชีวิตมาหลายวันแล้ว คนเก่าของเธอช่างใจร้ายนัก ถึงทำกับเธอได้ถึงเพียงนี้ คิดจะทิ้งก็ทิ้งได้ลงคอ แต่เธอจงเชื่อใจเถอะว่าฉันจะไม่ใจร้ายกับเธอ และให้เธอมั่นใจได้เลยว่าฉันไม่มีวันทิ้งเธอได้ลง
*****
ฉันมีตัวตน แต่ทำไมไม่มีใครเห็น แม้กระทั่งใบหน้า หรือว่า...
ไอ้ผู้นั้น มันเอาฉันมาทิ้งไว้ที่นี่กับเพื่อน เรากำลังจะขาดน้ำและสิ้นไปกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผู้คนเดินขึ้นลงไปมา รีบร้อนขนาดนั้นเลยหรือ แทบจะเหยียบฉันแล้ว ทำไมไม่มีใครเห็นฉัน เป็นเพราะอะไร หรือสิ่งที่คนอื่นมองเห็น มันจะเป็นเพียงอะไรที่ไม่ล่อใจ ให้หันมามองได้เชียวหรือ ฉันพยายามเรียกเพื่อนที่อยู่ข้างๆมาเกือบสิบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ฉันไม่สามารถเอี้ยวตัวไปมองหล่อนได้เลย เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มทน ใครก็ได้ช่วยฉันที มีชีวิตแต่พูดไม่ได้ ฉันมีชีวิตนะ
เงามืดฉาบทับร่างของฉัน ชายคนหนึ่งยืนอยู่เหนือร่างอันเหี่ยวเฉา มอมแมม เขายืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็คว้าฉันขึ้นในมือเดียว เขาพูดกับฉันแต่ฉันฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร ลมไหวๆพัดอยู่ที่หัวฉัน บรรยากาศอบอ้าว เขานำตัวฉันไปทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกัน ทิ้งเพื่อนที่แน่นิ่งของฉันไว้เบื้องหลังกับเศษชีวิต
*****
“ฉันจะร้องเพลงให้เธอฟังนะ เขาว่ากันว่าเธอชอบฟังเพลง”
“อุ๊ย! ตัวเธอเปียกหมดแล้ว ฉันขอโทษนะ”
“วันนี้ฉันไม่ว่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วเดี่ยวดึกๆมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ตานี่เสียงพิลึกดี ฉันไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้ โอ้พระเจ้า หลอนมาก”
“อีตาบ้า! ฉันเปียกหมดแล้ว ดูสิ ระเบียงเลอะไปหมดแล้ว”
“เธอไปทำงานของเธอเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
*****
ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอมานานแล้ว ทุกอย่างดูราวปกติ เธอยังเหมือนเดิมทั้งที่เราอยู่ด้วยกันมาเกือบ 3 เดือน ดูเหมือนเธอจะพอใจ แต่ไม่แสดงอาการอะไร และจนวันนี้ฉันก็ยังไม่เห็นใบหน้าของเธอ เธอคงจะไม่ใจร้ายกับฉันใช่ไหม หรือว่า...นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคนนั้นทิ้งเธอไป และเพื่อนของเธอด้วย ความอดทนของคนเรามีมากพอ แต่สำหรับฉันไร้ขีดจำกัด นานเท่าไหร่ฉันก็จะรอ รอที่จะเห็นหน้าเธอและวันนั้นฉันจะได้รู้จักชื่อของเธอด้วยเช่นกัน
“ฉันคิดว่าเธอต้องการปุ๋ย”
“รู้ได้ไง”
“ก็เธอไม่ยอมออกดอกสักที”
“คนบ้า ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”
*****
นับจากนี้ต่อไป ฉันต้องให้เธอผ่านแดด ผ่านฝนอีกสักกี่หน ถึงเธอจะออกดอกให้ฉันได้ชื่นชม ลำต้นของเธอตอนนี้ดูแข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เธอกับฉัน คนกับกล้วยไม้ ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้วนะ ฉันจะดีใจมากกว่านี้ หากมีคนใจดีดูแลสายพันธุ์ของเธออีกนับหมื่น อย่างทะนุถนอมด้วยความรักและเอาใจใส่อย่างจริงจังและจริงใจ ความจริงใจที่หาได้ยากยิ่งของผู้คนในโลกนี้ แต่ฉันก็เชื่อ ว่ารักแท้ มันมีอยู่จริงเสมอ เธอว่าไงหละ..
เธอมีตัวตน ฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอแล้ว และจะรอเจอหน้าของเธออีกจนกว่า...เธอจะรีบบาน ก็คงอีกสักสามวัน
*** THE END ***
ปั้นมโน เป็นตุเป็นตะ
เรื่องที่1 "ประทีปชีวิต"
มนุษย์ได้แต่เฝ้ามองหาแสงสว่างซึ่งเป็นทางออกของชีวิต แต่แท้ที่จริงทุกทางออกมาจากแสงสว่างที่เกิดขึ้นในกายของเรา ทั้งสิ้น
เสียงโหยหวนของผู้คนกลุ่มใหญ่จับตัวกันอยู่ในความมืดมิด พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่แย่งกันร้องบอกถึงปัญหาของตัวเอง ไม่มีใครฟังใครและไม่มีใครสนใจฟังพวกเขาเช่นกัน แต่ทุกคนก็ไม่หยุดที่จะพูด ไม่หยุดที่จะส่งเสียงร้อง ปะปนระคนผสานเสียงอื้ออึงจนฟังไม่เป็นภาษาคน และไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง
แต่แล้วสภาวะแห่งความเครียดและความกดดันตรงนั้นเงียบลงพลันทันทีเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินโผล่มาหยุดข้างหน้า ในมือของเธอถือตะเกียงเปล่ามาหนึ่งดวง
“ขอไฟหน่อยค่ะ ”หญิงสาวตะโกนเข้าไปในกลุ่มแห่งความมืด
“ไม่มี” หนึ่งในความมืดตอบ
“ขอไฟหน่อยได้ไหมคะ”
“ก็บอกว่าไม่มีไง” ความมืดเริ่มตวาดโมโหและกลับมาจับกลุ่มโหยหวน อีกครั้ง โดยไม่สนใจหญิงสาว จนหญิงสาวเริ่มโกรธบ้าง เธอหน้าตาดุดันขึ้น และเริ่มด่าทอความมืด และแล้วเธอก็เดินเข้าไปรวมกลุ่มความมืด ชุดของเธอกลายเป็นสีดำจนในที่สุดก็ถูกความมืดกลืนเข้าไปเป็นพวกเดียวกัน มีกลุ่มหนุ่มสาวอีกสองสามคนมาพร้อมตะเกียงอีกดวง เหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นเดิม สุดท้ายก็ถูกกลืนเข้าไปเช่นกัน จนความมืดนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นๆและเสียงดังขึ้นๆ
ท่ามกลางความโกลาหล มีชายชุดสีเทาคลานออกมาจากกลุ่มความมืด มายังตะเกียงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ฉันมีไฟ” พร้อมกับเอื้อมมือมาจุดที่ชนวนตะเกียง
“ฉันต่างหากที่มีไฟ” ไม่ทันใดชายอีกคนก็หนึ่งก็คลานตามออกมา แต่ไม่ทันที่จะได้จุดตะเกียงพวกเขากลับทะเลาะยื้อแย่งกันเพื่อจะจุดไฟ จนสุดท้ายก็ถูกความมืดลากเข้าไปเช่นเดิม เหตุการณ์กลับไปเหมือนก่อนหน้า
สักพักท่ามกลางความชุลมุน มีไฟแช็คกระเด็นออกมาจากกลุ่มความมืด ความนิ่งเงียบเข้าครอบคลุมกินพื้นที่ชั่วขณะหนึ่ง
“นั่นอะไร” เสียงหนึ่งจากความมืดเอ่ยปากถาม
“วัตถุประหลาด/...จานบิน/....เครื่องเพศ/...ไม่รู้ /...อีพวกโง่ เงียบ!!” การเคลื่อนไหวทุกอย่างชะงักราวมีเสียงเพลงแห่งความเครียดและความหวังถูกบรรเลงขึ้นกลบเสียงทุกอย่าง
---------
**** อีกฟากหนึ่งของเฉดความมืด มันเป็นมุมมองใหม่ๆที่ดูเหมือนพลิกกลับสายตา ความมืดถูกหั่นออกเป็นส่วนๆ... แสงสว่างถูกจุดขึ้นทุกซอกมุม ทุกหนทุกแห่ง ละลานตาสว่างไสวกลางบรรยากาศความมืด ยกเว้นแต่เพียงตะเกียงที่ยังมืดสนิท สายตาทุกคู่จ้องมองล้อมรอบตะเกียงใบนั้น
ชายหนุ่มคนเดิมกล่าวขึ้น “ฉันมีไฟ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็รีบบอก “ฉันก็มีไฟ” หญิงสาวคนเดิมหยิบตะเกียงดวงนั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอนำไฟแช็คที่มีอยู่ในมือจุดเข้าไปในตะเกียง และยื่นตะเกียงนั้นส่งต่อไปให้ หนุ่มสาวกลุ่มนั้นหลังจากที่พวกเขารับตะเกียงไปแล้วบรรยากาศของความสว่างเกิดขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น จนสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจน ทุกอย่างอย่างปรากฏชัด100% สิ่งที่ทุกคนเห็นคือประตูหลายบานตั้งอยู่มากมายๆซึ่งทุกบานเปิดอ้ารอการก้าวผ่านอยู่แล้ว
“พาพวกเราออกจากที่นี่ที ได้โปรด” หญิงสาวเอ่ยปากขอร้องคนกลุ่มนั้น
“ขอโทษนะฉันมองไม่เห็นทาง”
“แล้วเราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง”
“เราไม่รู้”
เรื่องที่ 2 "รักจะบาน อีกสักสามวัน"
เธอมีแค่ตัวตน แต่ไม่มีใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง จนกว่า..
เราทั้งคู่เจอกันโดยบังเอิญที่เชิงบันไดตึก สภาพเธอดูสกปรกมอมแมม สิ้นกำลังไร้เรี่ยวแรงเหลือทน เธอนอนนิ่งอยู่บนถุงขยะสีดำแต่ก็ยังปรากฏสิ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ วินาทีแรกที่สบตา ความสงสารครั้งแรกที่เห็น ด้วยรู้สึกหวังดีจากใจที่ยังคงระลึกถึงเสมอ ว่าจะสามารถพาเธอไปดูแลต่อจากเขาได้ ฉันอยากช่วยเหลือเธอเหลือเกิน...
เธอถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี เพื่อนของเธอนั้นนอนนิ่งอยู่ข้างๆ คาดว่าจากไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนของเธอ ทำได้เพียงแค่นำตัวเธอออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบๆ ตอนนี้เธอดูตกอยู่ในสภาวะที่อนาถใจซะเหลือเกิน คงขาดน้ำเติมชีวิตมาหลายวันแล้ว คนเก่าของเธอช่างใจร้ายนัก ถึงทำกับเธอได้ถึงเพียงนี้ คิดจะทิ้งก็ทิ้งได้ลงคอ แต่เธอจงเชื่อใจเถอะว่าฉันจะไม่ใจร้ายกับเธอ และให้เธอมั่นใจได้เลยว่าฉันไม่มีวันทิ้งเธอได้ลง
*****
ฉันมีตัวตน แต่ทำไมไม่มีใครเห็น แม้กระทั่งใบหน้า หรือว่า...
ไอ้ผู้นั้น มันเอาฉันมาทิ้งไว้ที่นี่กับเพื่อน เรากำลังจะขาดน้ำและสิ้นไปกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผู้คนเดินขึ้นลงไปมา รีบร้อนขนาดนั้นเลยหรือ แทบจะเหยียบฉันแล้ว ทำไมไม่มีใครเห็นฉัน เป็นเพราะอะไร หรือสิ่งที่คนอื่นมองเห็น มันจะเป็นเพียงอะไรที่ไม่ล่อใจ ให้หันมามองได้เชียวหรือ ฉันพยายามเรียกเพื่อนที่อยู่ข้างๆมาเกือบสิบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ฉันไม่สามารถเอี้ยวตัวไปมองหล่อนได้เลย เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มทน ใครก็ได้ช่วยฉันที มีชีวิตแต่พูดไม่ได้ ฉันมีชีวิตนะ
เงามืดฉาบทับร่างของฉัน ชายคนหนึ่งยืนอยู่เหนือร่างอันเหี่ยวเฉา มอมแมม เขายืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็คว้าฉันขึ้นในมือเดียว เขาพูดกับฉันแต่ฉันฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร ลมไหวๆพัดอยู่ที่หัวฉัน บรรยากาศอบอ้าว เขานำตัวฉันไปทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกัน ทิ้งเพื่อนที่แน่นิ่งของฉันไว้เบื้องหลังกับเศษชีวิต
*****
“ฉันจะร้องเพลงให้เธอฟังนะ เขาว่ากันว่าเธอชอบฟังเพลง”
“อุ๊ย! ตัวเธอเปียกหมดแล้ว ฉันขอโทษนะ”
“วันนี้ฉันไม่ว่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วเดี่ยวดึกๆมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ตานี่เสียงพิลึกดี ฉันไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้ โอ้พระเจ้า หลอนมาก”
“อีตาบ้า! ฉันเปียกหมดแล้ว ดูสิ ระเบียงเลอะไปหมดแล้ว”
“เธอไปทำงานของเธอเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
*****
ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอมานานแล้ว ทุกอย่างดูราวปกติ เธอยังเหมือนเดิมทั้งที่เราอยู่ด้วยกันมาเกือบ 3 เดือน ดูเหมือนเธอจะพอใจ แต่ไม่แสดงอาการอะไร และจนวันนี้ฉันก็ยังไม่เห็นใบหน้าของเธอ เธอคงจะไม่ใจร้ายกับฉันใช่ไหม หรือว่า...นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคนนั้นทิ้งเธอไป และเพื่อนของเธอด้วย ความอดทนของคนเรามีมากพอ แต่สำหรับฉันไร้ขีดจำกัด นานเท่าไหร่ฉันก็จะรอ รอที่จะเห็นหน้าเธอและวันนั้นฉันจะได้รู้จักชื่อของเธอด้วยเช่นกัน
“ฉันคิดว่าเธอต้องการปุ๋ย”
“รู้ได้ไง”
“ก็เธอไม่ยอมออกดอกสักที”
“คนบ้า ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”
*****
นับจากนี้ต่อไป ฉันต้องให้เธอผ่านแดด ผ่านฝนอีกสักกี่หน ถึงเธอจะออกดอกให้ฉันได้ชื่นชม ลำต้นของเธอตอนนี้ดูแข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เธอกับฉัน คนกับกล้วยไม้ ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้วนะ ฉันจะดีใจมากกว่านี้ หากมีคนใจดีดูแลสายพันธุ์ของเธออีกนับหมื่น อย่างทะนุถนอมด้วยความรักและเอาใจใส่อย่างจริงจังและจริงใจ ความจริงใจที่หาได้ยากยิ่งของผู้คนในโลกนี้ แต่ฉันก็เชื่อ ว่ารักแท้ มันมีอยู่จริงเสมอ เธอว่าไงหละ..
เธอมีตัวตน ฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอแล้ว และจะรอเจอหน้าของเธออีกจนกว่า...เธอจะรีบบาน ก็คงอีกสักสามวัน
*** THE END ***