กองทุนรวม / กองทุนทองคำ / ตราสารหนี้ต่างกันอย่างไร ?

ผมกำลังมองหาแนวทางการเก็บเงิน ตอนนี้ก็เริ่มเปิดบัญชีกับทาง ME BY TMB ไว้กินดอกเบี้ยเล็กน้อยไว้เดือนละ 2000 เพิ่งเริ่มต้นเดือนนี้ แต่ผมว่าอยากจะลองเล่นกองทุนดูบ้าง แต่ไม่เข้าใจเลยว่าแต่ละแบบเมื่อผมได้ลงทุนไปแล้ว ผลกำไรคืออะไร ? การลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เงินเท่าไหร่ ? เพราะผมแค่มนุษย์เงินเดือนที่มีเงินไม่เกิน 25K จากที่ผ่านมามีที่น่าสนใจอยู่ 3 อย่างด้วยกัน

กองทุนรวม กองทุนทองคำรวม และ ตราสารหนี้ ไม่ทราบว่าทั้ง 3 อย่างนี้มันแตกต่างกันตรงไหนบ้างครับ ผลกำไร เงินปันผล อัตราแลกเปลี่ยนบลา ๆ รวมทั้งในแต่อย่างมีอัตราความเสี่ยงแบบไหนบ้างครับ ต่ำ สูง หรือปานกลาง แล้วถ้าผมหันไปลงทุนในหุ้นมันจะแตกต่างกันอย่างไรครับ แบบหุ้นระยะยาวที่รอเงินปันผลไม่ได้เก็งกำไร ซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้ของบริษัทนั้น ๆ ที่ได้ไปลงทุน

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ (เป็นเครื่องมือทางการเงิน)

-    พันธบัตร เป็นตราสาร (การลงทุนอย่างหนึ่ง) ซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล
-    หุ้นกู้ มีลักษณะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทผู้ออก (ให้สิทธิเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นสามัญ)

การลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.    แบบเจ้าของ คือ หุ้นสามัญ (ซื้อหุ้นสามัญ)
2.    แบบเจ้าหนี้ คือ ฝากเงิน หุ้นกู้ หรือพันธบัตร
Note : หุ้นกู้แปลงสภาพ อยู่ตรงกลางระหว่างแบบเจ้าของและแบบเจ้าหนี้

การที่ประชาชนนำเงินไปฝากธนาคาร จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร ธนาคารจะรวบรวมเงินฝาก และปล่อยกู้ให้กับบริษัทต่างๆในอัตราดอกเบี้ยต่างๆ ดังนั้นการที่มีการออกพันธบัตร พุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ นั้นเป็นการลดบทบาทของธนาคารลง เป็นการดำเนินการระหว่างบริษัทกับประชาชน โดยประชาชนจะได้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร และบริษัทก็มีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำกว่ากู้เงินจากธนาคาร

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการลงทุนพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ
1.    ผู้ออกตราสาร เป็นใคร จะได้รับข้อมูลข่าวสารจากที่ปรึกษาทางการเงิน หรือหนังสือชี้ชวนต่างๆ
2.    ระดับความน่าเชื่อถือ กลต.กำหนดให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เป็นผู้กำหนด ซึ่งมี 2 แห่ง

                           ระดับความน่าเชื่อถือ

ระดับเพื่อการลงทุน
AAA
AA            
A
BBB
BB
B
  ระดับเพื่อการเก็งกำไร
CCC              
CC
C
D

ในแต่ละระดับอาจจะมีประจุ บวก ลบได้ด้วย เช่น BBB+ เป็นต้น
ระดับความน่าเชื่อถือ อาจพิจารณาในส่วนของสินทรัพย์ค้ำประกันด้วยว่ามีหรือไม่
3.    อายุ
4.    ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว แบ่งเป็น คงที่หรือลอยตัว (แปรเปลี่ยนตามตลาด)
5.    อัตราผลตอบแทนที่ได้รับ จะควบคู่กับราคาหุ้นกู้ โดยพิจารณาว่าราคาที่ซื้อได้ผลตอบแทนเท่าไหร่

ผลตอบแทนจากการลงทุน เมือถือจนครบกำหนด
ประกอบด้วย
1.    ดอกเบี้ยที่ได้รับทุก 6 เดือน
2.    เงินต้น เมือถือจนครบกำหนด

ผลตอบแทนจากการลงทุน เมือถือไม่ครบกำหนด
เช่น พันธบัตร 7 ปี ถือไป 3 ปีแล้วขาย
1.    ดอกเบี้ยที่ได้รับทุก 6 เดือน
2.    ส่วนต่างจากราคาเมื่อขาย
3.    ดอกเบี้ยของดอกเบี้ย คือนำไปลงทุนต่อ

ความเสี่ยงจากการลงทุน แบ่งออกเป็น
1.    ความเสี่ยงทางด้านราคา (Price risk) เกิดขึ้น เมื่อต้องขายในตลาดรองเมื่อยามที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น
2.    ความเสี่ยงด้านการลงทุนต่อ (Reinvestment risk)เกิดขึ้น เมื่อ มีกระแสเงินให้ลงทุนยามดอกเบี้ยต่ำ
3.    ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) เกิดขึ้น เมื่อ ผู้ออกผิดชำระดอกเบี้ยและเิงินต้น

การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต แบ่งออกเป็น
-    วิเคราะห์งบการเงิน ดึความสามารถในการทำกำไร
-    วิเคราะห์บริษัท ดูว่าตัวธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันได้หรือไม่
-    วิเคราะห์อุตสาหกรรม ดูแนวโน้มการเดิบโต และการแข่งขันของคู่แข่งขันรายใหม่ว่าเป็นอย่างไร

4.    ความเสี่ยงในสภาพคล่อง (Liquidity risk) เกิดขึ้น เมื่อต้องขายตราสารตอนยังไม่ครบกำหนด โดยปกติตราสารสามารถเปลี่ยนมือได้โดยการขายในตลาดรอง โดยจะขายง่ายหรือยาก ดูจากสภาพคล่องในตลาดรอง
5.    ความเสี่ยงจากการถูกไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (Call risk) เฉพาะกรณีมีการกำหนดสิทธิไว้ ยามดอกเบี้ยต่ำ ผู้ออกอาจมีการไถ่ถอนคืนตามสิทธิ

นักลงทุน แบ่งออกเป็น

1.นักลงทุนเชิงรุก
เช่น ถ้ารู้ว่าอัตรดอกเบี้ยจะลดลง ..ก็ถือตราสารให้ระยะเวลายาวหน่อย เพื่อจะได้ถือครองอัตราดอกเบี้ยสูงๆไว้นานๆ อย่างไรก็ตามก็มีความเสี่ยงจากการถือไว้ระยะเวลายาวนาน
อายุยาว               -->         ราคาเคลื่อนไหวมาก
อายุสั้น              -->            ราคาเคลื่อนไหวน้อย
          
2. นักลงทุนเชิงรับ (Passive) เช่นเราจะลงทุน 5 ปี ก็ควรถือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาใกล้เคียง 5 ปี และถือไว้ให้ครบกำหนด จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการไปขายในตลาดรอง

ประเภทความเสี่ยง                    จัดการโดย
1. Price risk                           เลือกลงทุนในตราสารอายุใกล้เคียงกับระยะเวลาลงทุน
2. Reinvestment risk               เลือกลงทุนในตราสารอายุใกล้เคียงกับระยะเวลาลงทุน
3. Credit risk                         ศึกษาอันดับความน่าเชื้อถือ
4. Liquidity risk                     ทำความเข้าใจส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ เสนอขายแต่ต้น
5. Call risk                             ศึกษาเงื้อนไข/ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

การลงทุน จะต้องแบ่งการลงทุน เป็น Assets allocation โดยมีเงินฝาก ตราสารหนี้ และตราสารทุน โดยตราสารหนี้นั้น อยู่ตรงกลางระหว่างเงินฝาก และตราสารทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงกลางๆ ต่ำกว่าหุ้นสามัญ ควบคุมและจัดการได้ ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และให้สภาพคล่องกับผู้ถือได้ นอกจากนี้ยังมีทางเลือกที่สามารถลงทุนให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะใช้เงินได้อีกด้วย

หุ้นกู้แปลงสภาพ อยู่ระหว่าง ส่วนของเจ้าของ และส่วนที่เป็นเจ้าหนี้ .. ถ้าถือจนครบกำหนดโดยไม่มีการแปลงภาพ  จะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ถ้ามีการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ก็จะได้รับเงินปันผลตอบแทน อย่างไรก็ตามถ้าเห็นว่าแนวโน้มบริษัทดีก็เปลี่ยนเป็นหุ้น .. แต่ถ้าแนวโน้มไม่ดีก็ถือไปให้ครบกำหนด เพื่อให้ได้รับเงินต้นคืน เนื่องจากถ้าบริษัทล้ม priority ของเจ้าหนี้ ย่อมดีดว่าส่วนของเจ้าของอยู่แล้ว

กองทุนรวม คืออะไร????
กองทุนรวมคือ การนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของกองทุน ภายใต้การบริหารของผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน สินทรัพย์ที่กองทุนรวมลงทุนนั้นมีหลายประเภทเช่น หุ้นสามัญ พันธบัตร หุ้นกู้ ทองคำ เป็นต้น แม้ว่า กองทุนรวมได้รับการบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ แต่ผู้ลงทุนก็มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมได้ เช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง  การลงทุนในกองทุนหุ้นระยะสั้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนติดลบหรือขาดทุนได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรทำความเข้าใจถึงสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนจากการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นได้

พูดง่ายๆก็คือฝากเค้าไปลงทุนหรือเล่นหุ้นให้เรารวมกับคนอื่นๆที่เค้าไปฝากเล่นเหมือนกัน เหมือนเราเป็นลูกทัวร์ที่มารวมๆกันแล้วเลือกว่าจะให้ไกด์คนไหนพาไปเที่ยว ทีนี้เราจะเลือกตัวไหน กองไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เรารับได้ High risk high return เสี่ยงมากๆโอกาสได้ก็มากเช่นกัน แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่เราจะขาดทุนได้ค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจากตำราเรียน และเว็บ
http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A2_086.aspx
http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html;jsessionid=6C5FA5160573CA643A8BE735F07303BA?menu_id=449


ผิดพลาดประการใด ใครพอชี้แนะได้ น้อมรับค่ะ
แก้ไขคำผิดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่