เรามียายทวดอายุ101ปี เท่าที่เราจำความได้เกิดมาเราก็มีท่านอยู่ในชีวิตแล้ว
เมื่อก่อนเวลาที่คนในบ้าน ไม่อยู่บ้าน เราจะต้องอยู่รอที่บ้านกับยายทวด
ยายทวดจะคอยเป็นเพื่อนเล่นตอนที่เราเป็นเด็ก เล่นขายของ เราเป็นแม่ค้า ยายทวดต้องเป็นคนซื้อ
เวลายายทวดตำหมาก เราจะไปขอตำให้ แล้วป้อนใส่ปากแก เวลาป้อนเราจะบอกให้แก อั้มมมๆ อ้าปากกว้างๆ
ตอนที่เราโดนมีดบาดมือ เราร้องไห้สั่นบ้าน ยายทวดเดินหลังค่อมๆ เดินช้า ไปตัดว่านหางจรเข้มาใส่แผลให้เรา
และพาเราไปนั่งที่พื้นหน้าบ้าน รอคนที่บ้านกลับมา
หลังๆมานี่ยายทวดเป็นแผลเรื้อรังที่หน้า จนลามพุพองกินใบหน้าช่วงโหนกแก้ม
พาไปหาหมอแล้ว หมอสันนิฐานว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ถ้าจะรักษาต้องฉายแสง
ซึ่งฉายแสงก็อันตรายสำหรับคนแก่อายุ99 (ในตอนนั้น) เพราะไม่รู้จะทนความเจ็บปวดได้ไหม
แล้วเนื้อเยื่อใหม่ก็คงไม่เกิดแล้วด้วย และหมอก็ไม่ขอรับไว้เป็นคนไข้
พวกเราก็ได้แต่รักษาตามอาการ คือให้ยาแก้ปวด แต่ยังดีที่กินแค่พาราก็เอาอยู่ แต่ต้องกินวันล่ะหลายรอบ
ช่วงสงกรานต์ปี56 เมื่อกี้ ยายเราป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ส่วนเราก็มาโดนรถชนเข้าเฝือกให้หลังตามมาไม่กี่วัน
พอยายทวดไม่เห็นยายอยู่บ้าน ก็ถามใหญ่เลยว่าไปไหน ไม่ยอมกลับบ้าน
พอเราบอกว่ายายไม่สบายอยู่โรงบาล แกก็เริ่มไม่สบาย ลุกไม่ได้ ต้องใส่ผ้าอ้อมตลอด เพราะเป็นห่วงลูก แถมเรายังมาโดนรถชนอีก
ช่วงนั้นเรารู้สึกแย่มากเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
แต่ช่วงนึงยายก็เริ่มดีขึ้น แต่ยายทวดยังป่วยออดๆแอดๆอยู่ตลอด
คนที่รับบทหนักคือแม่เรา เพราะเรากลับมาเรียน ไม่มีคนช่วยดู
ล่าสุดเมื่อวานแม่โทรมา ถามว่าสอบวันไหน เราก็บอกประมาณสิ้นเดือน
เราเลยถามว่าทำไมหรอ แม่เลยบอกว่ายายทวดเป็นหนักแล้ว
ให้ทำใจไว้ กินข้าวไม่ได้ ลุกไม่ได้ เพ้อ นอนผ้าหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว
เราก็ฟังเฉยๆไม่ได้แสดงอาการอะไร
พอวางโทรศัพท์เราน้ำตาไหล ภาพเก่าเมื่อตอนเป็นเด็กมันหวนมาหมด
เราไม่ชอบการสูญเสีย เราเสียตากับพ่อไปตอน ม.ต้น ตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่ค่อยร้องไห้มาก
แต่ยิ่งโตเหมือนยิ่งรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยได้
แถมงานทุกอย่างมาถาโถมมาช่วงนี้อีก
ไหนจะต้องเตรียมตัวฝึกงานเทอมหน้า ต้องเคลียร์งานนำเสนอ
ไม่รู้ว่าจะต้องคิดอันไหนก่อนหลัง
อึดอัดเลยมาระบายความรู้สึก ขอบคุณที่อ่านนะคะ
เรากำลังจะสูญเสียคนในครอบครัว ทำใจไม่ได้เลย
เมื่อก่อนเวลาที่คนในบ้าน ไม่อยู่บ้าน เราจะต้องอยู่รอที่บ้านกับยายทวด
ยายทวดจะคอยเป็นเพื่อนเล่นตอนที่เราเป็นเด็ก เล่นขายของ เราเป็นแม่ค้า ยายทวดต้องเป็นคนซื้อ
เวลายายทวดตำหมาก เราจะไปขอตำให้ แล้วป้อนใส่ปากแก เวลาป้อนเราจะบอกให้แก อั้มมมๆ อ้าปากกว้างๆ
ตอนที่เราโดนมีดบาดมือ เราร้องไห้สั่นบ้าน ยายทวดเดินหลังค่อมๆ เดินช้า ไปตัดว่านหางจรเข้มาใส่แผลให้เรา
และพาเราไปนั่งที่พื้นหน้าบ้าน รอคนที่บ้านกลับมา
หลังๆมานี่ยายทวดเป็นแผลเรื้อรังที่หน้า จนลามพุพองกินใบหน้าช่วงโหนกแก้ม
พาไปหาหมอแล้ว หมอสันนิฐานว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ถ้าจะรักษาต้องฉายแสง
ซึ่งฉายแสงก็อันตรายสำหรับคนแก่อายุ99 (ในตอนนั้น) เพราะไม่รู้จะทนความเจ็บปวดได้ไหม
แล้วเนื้อเยื่อใหม่ก็คงไม่เกิดแล้วด้วย และหมอก็ไม่ขอรับไว้เป็นคนไข้
พวกเราก็ได้แต่รักษาตามอาการ คือให้ยาแก้ปวด แต่ยังดีที่กินแค่พาราก็เอาอยู่ แต่ต้องกินวันล่ะหลายรอบ
ช่วงสงกรานต์ปี56 เมื่อกี้ ยายเราป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ส่วนเราก็มาโดนรถชนเข้าเฝือกให้หลังตามมาไม่กี่วัน
พอยายทวดไม่เห็นยายอยู่บ้าน ก็ถามใหญ่เลยว่าไปไหน ไม่ยอมกลับบ้าน
พอเราบอกว่ายายไม่สบายอยู่โรงบาล แกก็เริ่มไม่สบาย ลุกไม่ได้ ต้องใส่ผ้าอ้อมตลอด เพราะเป็นห่วงลูก แถมเรายังมาโดนรถชนอีก
ช่วงนั้นเรารู้สึกแย่มากเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
แต่ช่วงนึงยายก็เริ่มดีขึ้น แต่ยายทวดยังป่วยออดๆแอดๆอยู่ตลอด
คนที่รับบทหนักคือแม่เรา เพราะเรากลับมาเรียน ไม่มีคนช่วยดู
ล่าสุดเมื่อวานแม่โทรมา ถามว่าสอบวันไหน เราก็บอกประมาณสิ้นเดือน
เราเลยถามว่าทำไมหรอ แม่เลยบอกว่ายายทวดเป็นหนักแล้ว
ให้ทำใจไว้ กินข้าวไม่ได้ ลุกไม่ได้ เพ้อ นอนผ้าหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว
เราก็ฟังเฉยๆไม่ได้แสดงอาการอะไร
พอวางโทรศัพท์เราน้ำตาไหล ภาพเก่าเมื่อตอนเป็นเด็กมันหวนมาหมด
เราไม่ชอบการสูญเสีย เราเสียตากับพ่อไปตอน ม.ต้น ตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่ค่อยร้องไห้มาก
แต่ยิ่งโตเหมือนยิ่งรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยได้
แถมงานทุกอย่างมาถาโถมมาช่วงนี้อีก
ไหนจะต้องเตรียมตัวฝึกงานเทอมหน้า ต้องเคลียร์งานนำเสนอ
ไม่รู้ว่าจะต้องคิดอันไหนก่อนหลัง
อึดอัดเลยมาระบายความรู้สึก ขอบคุณที่อ่านนะคะ