Spiritual Freedom/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=57114
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor       26 มกราคม 57
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Spiritual Freedom


   Value Investor ผู้มุ่งมั่นเกือบทุกคนนั้น  ผมเชื่อว่าต่างก็มีเป้าหมายใหญ่ในชีวิตอย่างหนึ่งนั่นก็คือ  เขาต้องการที่จะมี  “อิสรภาพทางการเงิน” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่ามี  “Financial Freedom”  ความหมายก็คือ  เป็นคนที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง  มีเงินและทรัพย์สินมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัวได้อย่างพอเพียงแม้ว่าจะไม่มีรายได้อื่นเลยตลอดชีวิต  ซึ่งผมเองคิดว่าถ้าจะทำอย่างนั้นได้  เขาจะต้องมีทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้  เช่น  หุ้น  พันธบัตร  หรือเงินสด  ที่มีคุณภาพดีอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยและเขารู้จักบริหารการลงทุนในระดับพื้นฐานที่จำเป็น    อิสรภาพทางการเงินนี้จะทำให้เขาแทบจะไม่ต้องกังวลกับการทำงานหาเงินซึ่งจะทำให้เขาสามารถทำสิ่งต่าง ๆ  ที่เขาชอบหรืออยากที่จะทำโดยไม่ต้องคิดถึงผลตอบแทนทางการเงิน  ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคน  “ฝัน”  ที่จะได้ไม่ใช่เฉพาะแต่ VI เท่านั้น   อย่างไรก็ตาม  ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ที่ได้ผ่านจุดแห่งเสรีภาพทางการเงินมาแล้ว   ผมคิดว่าการมีอิสรภาพทางการเงินเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ได้  ว่าที่จริงอิสรภาพทางการเงินนั้นอาจจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเป็นอิสระของชีวิตมากนักด้วยซ้ำไปหาก  “อิสรภาพทางใจ”  หรือ  “Spiritual Freedom”  ของเรายังไม่มีหรือมีน้อยเกินไป

คำว่าอิสรภาพทางใจนั้นมีความหมายมากมายแล้วแต่ว่าใครจะนิยาม  องค์กรหรือแนวความคิดที่พูดถึงเรื่องของ Spiritual Freedom มากที่สุดดูเหมือนว่าจะเป็นศาสนาต่าง ๆ  ที่มักจะเน้นให้ผู้ที่นับถือประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เรา  “หลุดพ้น”  จากกิเลสหรือพันธะทางใจทั้งมวลเพื่อที่จะทำให้เกิดความสุข  “ทางใจ” ที่มีความสำคัญและความหมายมากที่สุดในชีวิตของคนเรา   แต่ “อิสรภาพทางใจ” ที่ผมจะพูดถึงนั้น  จะเป็นไปในความหมายแบบคนธรรมดาหรือเป็นแนวปรัชญาอิงกับความคิดของ Victor Frankl  ที่อธิบายว่า Spiritual Freedom นั้น  เป็นเสรีภาพที่สูงและยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่จะเลือกทัศนะคติในชีวิตของตนเองภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนที่เขาก็ยังสามารถเลือกที่จะคิดและเดินในแนวทางของตนเองที่คิดว่าดีและถูกต้อง  ตัวอย่างที่นำมาซึ่งแนวความคิดดังกล่าวก็คือการที่คนยิวในค่ายกักกันของนาซีบางคนที่พยายามช่วยเหลือปลอบใจเพื่อนในขณะที่บางคนต้อง  “ขายจิตวิญญาณ” เพื่อเอาตัวรอด  หรืออย่างในกรณีของฉากการจมลงของเรือไททานิกที่เราเห็นในภาพยนต์ที่มีทั้งคนที่สงบช่วยเหลือปลอบใจคนอื่น  ในขณะที่คนบางคนแสดง “ธาตุแท้” ที่เห็นแก่ตัวออกมา

ในการที่จะมี  “อิสรภาพทางใจ” ได้นั้น  เขาบอกว่า  ถ้าเราไม่ตั้งใจกำหนดหรือตัดสินใจว่าเราจะเป็นคนอย่างไรและพยายามทำและปฏิบัติตามสิ่งที่เรากำหนดนั้นไว้   สภาวะแวดล้อมและประสบการณ์ของเราก็จะกลายเป็นตัวกำหนดทั้งตัวตนของเราและชะตากรรมของเราเองในท้ายที่สุด   ในความหมายนี้ก็แปลว่า  การที่เราจะมีอิสรภาพทางใจได้นั้น  เราจะต้องศึกษาและหาความหมายต่าง ๆ  ในชีวิตที่เราคิดว่าเหมาะสม  เราไม่สามารถที่จะคิดโดย  “อัตโนมัติ” ในเรื่องต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราและสังคมเพราะเหตุว่าความคิดของเรานั้นอาจจะถูก  “ครอบงำ”  โดยสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างมานานดังนั้นความคิดเราก็จะไม่อิสระที่จะคิดนอกกรอบนั้นออกไป  ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกว่าตั้งแต่เด็กก็ถูก  “อบรมสั่งสอน”  จากบุคคลต่าง ๆ  มากมายรวมถึงหน่วยงานรัฐ  ศาสนา  และองค์กรต่าง ๆ  อีกมากมายนับไม่ถ้วน  ประสบการณ์ต่าง ๆ  ที่พบในสังคมเองก็  “หล่อหลอม”  ให้คิดและปฏิบัติในสิ่งที่เป็นกรอบประเพณีอันดีและถูกต้องในสังคม  ผมไม่เคยตั้งคำถามกับแนวคิดหรือสิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้น   ว่าที่จริงผมก็ไม่ควรคิดเพราะว่าถ้าเรายังต้องทำงานในองค์กรและมีตำแหน่งหน้าที่ในสังคม  การ  “ฝืน”  แนวทางเหล่านั้นคงทำให้เส้นทางอาชีพหรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมีปัญหา   อย่างไรก็ตาม  เมื่อผมมีอายุมากขึ้นและกลายเป็นนักลงทุนแบบ VI ผู้มุ่งมั่นและประสบความสำเร็จมีอิสรภาพทางการเงินที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่น  ผมก็เริ่มค้นหาความหมายของชีวิต

ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไป  ผมเริ่มมี  “อิสรภาพทางใจ” มากขึ้น  ไม่ใช่ในแบบของศาสนา  ว่าที่จริงอาจจะมีบางสิ่งที่แย้งด้วยซ้ำ  เพราะผมเริ่มที่จะคิดว่าเราอยากที่จะเป็น  “เสรีชน”  มากกว่าที่จะเป็นคนที่ยึดติดกับความคิดของสังคมที่มีกรอบมากมายที่หลายอย่างผมก็ไม่เห็นด้วยและรู้สึกค้านอยู่ในใจ  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่ใช่  “กบฏ”  หรือนักปฏิวัติอะไร   ผมแก่เกินที่จะไปทำแบบนั้น  ผมเพียงแต่คิดว่าผมไม่ต้องการนับถือหรือเชื่ออะไรตามที่คนส่วนใหญ่ทำถ้าการศึกษาหรือมโนธรรมของผมพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมหรือถูกต้อง  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะหรือเป็นอานิสงค์จากการที่ผมกลายเป็น VI ที่ได้รับอิสรภาพทางการเงินและเริ่มที่จะมองหา  “อิสรภาพทางใจ” ที่มองอีกด้านหนึ่งอาจจะเป็นสิ่ง  “หรูหรา” ที่หลายคนไม่อาจจะแสวงหาได้ง่ายนักแม้ว่าเขาจะมีเงินมากยิ่งกว่า  เหตุผลก็คือ  ชีวิตและเงินทองของพวกเขายังต้องพึ่งพิงกับคนอื่น ๆ  อีกมากในสังคมที่ไม่ยอมรับความเป็น “เสรีชน” ของเขา  หรือที่เป็นไปได้มากกว่าก็คือ  เขาเองอยู่กับ “สภาพแวดล้อม” ที่มีอิทธิพลสูงในการกำหนดชีวิตของเขา

ความเป็น  “เสรีชน”  ของผมนั้น  แน่นอน  เราก็ต้องมีสัญลักษณ์หรือสิ่งประทับใจที่ตรงหรือถูกจริตกับเรา  หนึ่งในนั้นก็คือเพลงซึ่งในอดีตผมก็เพียงแต่รู้สึกว่ามันมีความไพเราะและเป็นเพลงยอดนิยม  “อมตะ” แต่ก็ไม่มีความหมายใด ๆ  แต่ยิ่งนานและในระยะหลัง ๆ  ผมก็  “อิน” กับมันนั่นก็คือเพลง  “Imagine” ของ จอห์น เลนนอน  อดีตนักร้องของวง The Beetle ที่เป็นตำนานของวงดนตรีโลก  เพลง Imagine นี้เกิดขึ้นในปี 1971 ในยุคของสงครามเวียตนามที่ทำให้เกิดกระบวนการประท้วงต่อต้านสงครามและต่อต้านสังคมของคนหนุ่มสาวที่เรียกว่าพวก “ฮิบปี้” ซึ่งต่างก็  “แหกกฎ” ของสังคมโดยการไว้ผมยาว  แต่งตัวไม่เรียบร้อย  รวมถึงการประพฤติตนในแบบที่ไม่เป็นที่ยอมรับของธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม

เนื้อหาของเพลงนั้นเรียบง่ายมากแต่มีพลังสูง  ผมคงไม่แสดงเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษแต่นำคำแปลมาให้อ่านดังนี้คือ  :   ลองจินตนาการสิว่าโลกนี้ไม่มีสวรรค์   มันง่ายถ้าคุณจะลอง  ไม่มีนรกอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา  เหนือหัวเราก็มีแต่ท้องฟ้า  ลองจินตนาการว่าทุกคนต่างก็อยู่เพื่อวันนี้  ลองจินตนาการว่าโลกนี้ไม่มีประเทศ  มันไม่ยากหรอกถ้าจะทำ   ไม่มีอะไรที่จะต้องฆ่าหรือต้องตายแทน   และก็ไม่มีศาสนาด้วย  ลองจินตนาการว่าคนทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ   คุณคงบอกว่าผมเป็นนักฝันแต่ผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดเช่นนั้น  ผมหวังว่าวันหนึ่งคุณจะร่วมฝันกับเรา  และวันนั้นโลกทั้งโลกก็จะเป็นหนึ่งเดียว   ลองจินตนาการว่าไม่มีการครอบครองอะไรทั้งสิ้น  ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำได้ไหม  ไม่มีความจำเป็นต้องมีความโลภหรือความหิวโหย  เราทุกคนจะเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมโลก  ลองจินตนาการดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนทุกคนแบ่งปันโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน

ผมไม่รู้ว่า VI ผู้มุ่งมั่นและมีอิสรภาพทางการเงินแล้วนั้น  ส่วนใหญ่มีอิสรภาพทางใจมากน้อยแค่ไหนและแนวความคิดของพวกเขาไปในทางไหน  แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีจิตใจที่  “เสรี”  และเป็น  “เสรีชน”  มากน้อยแค่ไหน  ผมรู้เพียงแต่ว่าการเป็น VI ที่มุ่งมั่นคงมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้แนวคิดของผมเปลี่ยนแปลงไปและกลายเป็น  “เสรีชน”  มากขึ้น  ผมเองไม่มั่นใจว่าการเป็นเสรีชนทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นหรือไม่  ผมรู้เพียงแต่ว่าผมไม่สามารถที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมที่อยู่ในกรอบของขนบธรรมเนียมที่ผมพยายาม  “หนี”  ออกมาได้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่