เรียนจบแล้วไปไหน?? สับสนกับชีวิต จะเลือกทำอาชีพอะไรดี (ชีวิตจริงยิ่งกว่าในตำรา)

เป็นเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยในเมืองไทย เอกภาษาอังกฤษ วิชาโทบริหาร ตอนม.ปลายเคยไปเรียนต่างประเทศ มีประสบการณ์ทำงานมาตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งเป็นติวเตอร์กับสถาบันในช่วงปีหนึ่งปีสอง พอมาปีสามก็เริ่มมาทำเองรับสอนตามบ้าน มีเว็บไซด์เป็นนายหน้าหาติวเตอร์เองด้วย มีรับเป็นฟรีแลนซ์ เป็นล่าม ช่วยงานอีเว้น ทำงานอาสากับ NGO ต่างๆ และฝึกงานกับองค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ขอไม่เอ่ยนาม) หลังจากฝึกงานเสร็จ ขึ้นปีสี่ทางองค์กรก็ Offer ตำแหน่งให้ทำ part Time มาเรื่อยๆ เพราะมีเรียนแค่สองวัน ก็ทำงานได้ และพอดีว่าเรียนจบ ก็หมดสัญญากับองค์กร ทีนี้ก็ต้องมาเลือกทางเดินอาชีพของตัวเอง

องค์กรที่ทำอยู่เดิมเป็นงานลักษณะองค์กรรัฐบาล (แต่ไม่ใช่รัฐบาลไทย) ซึ่งก็ได้ติดต่อกับชาวต่างชาติตลอด ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจของสองประเทศ เป็นลักษณะการให้บริการ ไม่มีสินค้าให้เสนอขายอะไร เราก็ได้ฝึกฝน ตอนนั้นชอบองค์กรนี้ เพราะตัวองค์กร และสไตล์การทำงานแบบฝรั่งทำให้เราดูเป็น Professional และกล้าคิดกล้าแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ แม้ว่าจะไกลบ้านมาก แต่ก็มีแรงตื่นเช้าไปทำงาน แต่อย่างไรก็ดีงาน office ก็ยังไม่ตรงใจเรามากนัก แต่ก็ทำได้ เราชอบพบปะพูดคุยกับคน อย่างไรก้ตามเมื่อเรียนจบก็ย่อมอยากได้งานที่มั่นคงขึ้นกว่า part time และยังไม่มีตำแหน่งประจำเปิดรับ

จึงมาสมัครงานและได้ทำงาน บ.เอกชน เป็น sales & marketing เป็นบริษัทที่มีโรงงานผลิตอยู่ด้วย ก็ต้องปรับตัวอยู่มิใช่น้อย ต่างกับงานเดิมโดยสิ้นเชิง เรายังคงได้ติดต่อลูกค้าต่างประเทศอยู่บ้างแต่ลักษณะการติดต่อต่างไปจากเดิม คราวนี้เรามีสินค้าที่ต้องมาพร้อมบริการ  เราพยายามจะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับงานมากๆ เพราะอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เราก็ชอบงานด้าน Sales เพราะได้พูดคุยกับลูกค้า ส่วน marketing ก็น่าจะคล้ายๆกับการโฆษณา แต่อย่างไรก็ตามหลังจากทำมาสักพักเราก็ยังรู้สึกว่างานนี้ไม่เหมาะกับเราหรือเปล่า?? เรารู้สึกว่าเราไม่ชิน และไม่ค่อยชอบระบบ Chinese-Japanese และระบบโรงงานเอาเสียเลย แม้ที่นี่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจเยอะอยู่ แต่ธุรกิจแนว Engineering Innovation เด็กศิลป์อย่างเราก็ไม่ค่อยถนัดเราเลย ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (อาร์ทๆ) อย่างที่ต้องการเลย marketing แบบไม่มี branding และเป็น B2B ก็ไม่ค่อยถนัด

เราเคยได้ยินคำพูดนึงบอกว่า "สิ่งที่เราถนัด และใฝ่ฝันถึงบ่อยมาที่สุดตอนเด็กๆนี่แหละ คือสิ่งที่เราจะทำมันได้อย่างมีความสุขที่สุด" เราก็นึกย้อนไป ตอนสมัยประถมเราชอบเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ ประกาศหน้าเสาธง ทำโปสเตอร์โฆษณากิจกรรม พอมีคนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็จะบอกว่า "อยากเป็นประชาสัมพันธ์" (เพราะเด็กอยู่ก้ไม่รู้ว่าโลกนี้มีอาชีพอะไรบ้าง) พอโตขึ้นมาม.ต้น เพื่อนๆก็ฮิตไปเรียนพิเศษกัน เราก็เรียนนะแต่ไม่เอาวิชาการเลย กลายเป็นว่าไปเรียน Acting, Dance, พากษ์การ์ตูน, พิธีกร อะไรทำนองนี้ ซึ่งทางบ้านก็สนับสนุนทุกอย่างตามใจเรา และเรามีความสุขมากๆกับการฝึกพูดสุนทรพจน์ที่โรงเรียน(แม้ว่าต้องกลับเย็นกว่าเพื่อน หรือต้องมาโรงเรียนวันหยุด) พอ ม.ปลาย ไปเรียนต่างประเทศ ลงเรียนวิชาการแล้วก็ยังลงเรียนวิชา Theater, Debate and Speech แล้วก็ไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานโรงละครเวทีใกล้บ้านอีกตะหาก ตอนมหาวิทยาลัยก็ยังได้เขียนบทละครเวทีให้คณะ กำกับเองด้วย (แม้จะไม่ได้เรียนนิเทศ) และก็ชอบมากๆกับการจัด Event ของคณะ เช่น งานสัมมนา งานfestival ต่างๆ โดยมักได้ทำหน้าที่ประสานงาน แบ่งงานให้ทีม และหาคนดังมาเป็น speaker บนเวที และบางทีก็ไปช่วยคิด plot ภาพยนต์โฆษณาเชิญชวนให้คนมาร่วมกิจกรรมกะคณะเรา เลยกลับมาคิดว่าเราควรจะไปทำงานพวก Creative Event หรืองานโฆษณาแทนรึเปล่า?? กอรปกับการที่คนมักจะชมว่าเราเป็นคน creative (เคยได้รางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติด้านความคิดสร้างสรรค์ดีเด่น ด้วยนะ) เราก็เคยไปสัมพาสณ์งานกับ บ.โฆษณาที่มีชื่อเสียงบนเวทีระดับต่างประเทศแห่งหนึ่ง เป็นผู้ช่วยประสานงานต่างประเทศ เขารับเราด้วยซิ แต่...ตอนนั้นชั่งใจอยู่นานว่าจะเปลี่ยนงานดีไหม ที่ทำงานไกลแสนไกลค่าเดินทางก็จะเพิ่ม ถ้าอยู่หอก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่อยากทิ้งผู้ปกครองอยู่บ้านคนเดียว โน่นนี่นั่น และแล้วก็ปฏิเสธงานโฆษณานั้นไปหน้าตาเฉย และสารภาพเลยว่านั่งเสียดายโอกาสดีๆนั้นมาจนทุกวันนี้

งานด้านธุรกิจท่องเที่ยวก็น่าสนใจเพราะเป็นคนชอบเที่ยว ลุยๆ ชอบพาเพื่อนฝรั่งเที่ยว เวลาเพื่อนต่างชาติมาหาก็จะวางแผนการท่องเที่ยวให้เขาครบวงจรไปหมด ไม่ว่าจะเที่ยวแนวหรูหรา แนวผจญภัย แนวครอบครัว แนวติดดิน เลยแอบมีความคิดอยากเป็นไกด์เหมือนกัน (ตอนเด็กๆเคยเป็นมัคคุเทศก์น้อยของตำบล..อิอิ) แต่ตืดที่ว่าเราไม่มีบัตรไกด์

นักเขียนก็มีแว่บๆเข้ามาในสมองบ้าง เพราะชอบอ่านนิยายทั้งของไทย และต่างประเทศ เคยเขียน plot เรื่องไว้เองบ้างแต่ไม่ได้เผยแพร่ที่ไหน ไม่ได้แต่งเป็นเรื่องจริงจัง เคยคิดออกจากงานปัจจุบันมาเป็นนักเขียนอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่กล้าพอ

พิธีกร ผู่ประกาศข่าว จัดรายการวิทยุ ก็มีชิมลางมาบ้าง เป็นพิธีกรงานต่างๆส่วนใหญ่งานเล็กๆ และเคยอ่านข่าวเด็ก (สมัย itv) และตอนเรียนจบเคยไปแคสผู้ประกาศช่องเคเบิ้ลทีวี ซึ่งพี่ๆเขาก็แลดูประทับใจเราอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเขาติดต่อกลับมาหาอีกหรือเปล่า เพราะหลังจากจบมหาวิทยาลัยเราไปเรียนคอร์สสั้นๆด้านบริหารธุรกิจที่ต่างประเทศอีก เคยจัดรายการวิทยุชุมชนสมัย ม.ปลาย เราก็ชอบและรู้สึกดีกับงานนั้นอยู่ไม่นอนเลยทีเดียว แต่ ณ ตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้เจอโอกาสทางด้านนี้มากนัด (ถ้ามีโอกาสก็ไม่แน่)

เราลองถามตัวเองถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิต และก็ได้คำตอบว่า เราไม่ได้คิดอยากรวยมาก ไม่ได้อยากมีตำแหน่งใหญ่โต เราแค่อยากมีพอกินพอใช้ไม่ขัดสน พอดูแลครอบครัวได้ แล้วก็แค่...อยากมีความสุข เท่านั้นเอง

ตอนนี้ก็เลยกลับมานั่งถามตัวเองอีกครั้งว่า คนที่มีความสามารถด้านภาษาระดับดี-ดีมาก มีความคิดสร้างสรรค์ (ชอบ Think out of the box) ชอบเจรจาพบปะพูดคุย  ชอบเดินทาง กล้าแสดงออก ชอบทำงาน(ไม่ชอบอยู่ว่างๆ) และชอบทำงานกับความสุขอย่างเรา  "ควรจะทำอาชีพอะไรดีครับ???"
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อ่านจนจบและอยากตอบว่า "ก็ขนาดคนฉลาดๆ เก่งๆ โปรไฟล์เลิศแบบคุณยังไม่รู้ ละเค้าโปรไฟล์ห่วยๆ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแบบเราจะรู้เรอะ"

คนเราทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง บางคนจำใจเดินตามทางที่คนอื่นขีด บางคนสร้างทางเดินเอง บางคนก็เดินตามคนอื่น บางคนก็จับพัดจับผลู บางคนหลับหูหลับตาจำใจเดินบนทางเดินมืดๆ บางคนก็ขี้เกียจเดินเอาดื้อๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนมีขาเป็นของตัวเอง จะทำอะไรกับขาของตัวเองก็แล้วแต่

สู้ๆ ละกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่