แนวละครไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ย่ำอยู่กับที่” เพราะใช้สูตรเดิมที่ซ้ำซากจนผู้ชมเริ่มเบื่อและเรียกร้องความแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยมากขึ้น มาดูกันว่า 10 แนวละครที่คนไทยเริ่มเบือนหน้าหนีมีอะไรบ้าง และทำไมถึงต้องหลีกเลี่ยงในยุคปัจจุบัน:
1. แนวแย่งผู้ชาย
ละครที่เน้นเรื่องราวของตัวละครหญิงสองคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียวกัน เช่น ใส่ร้าย ทำร้าย หรือแม้แต่ใช้วิธีรุนแรง แม้จะมีความดราม่าและดึงอารมณ์ผู้ชมได้ดีในอดีต แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมความรุนแรงในความสัมพันธ์ และไม่ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในสังคมที่พัฒนามากขึ้น
2. แนวยิงระห่ำ
ละครแนวนี้มักมีฉากบู๊ที่ดูเวอร์เกินจริง เช่น ตัวละครพระเอกคนเดียวสามารถจัดการกับกลุ่มตัวร้ายทั้งกองทัพได้ด้วยปืนเพียงกระบอกเดียว แม้ว่าฉากแอ็กชันจะดูสนุกและดึงดูดผู้ชม แต่เมื่อขาดความสมจริงและไม่มีมิติของตัวละคร แนวนี้จึงเริ่มหมดความนิยม
3. แนวแก้แค้นครอบครัว
ละครที่ตัวเอกเติบโตมาด้วยความแค้น เช่น สูญเสียครอบครัวเพราะตัวร้าย และตัดสินใจกลับมาแก้แค้นโดยใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด แนวนี้แม้จะสร้างอารมณ์ให้ผู้ชมได้ แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปในทิศทางเดิมซ้ำ ๆ ก็ทำให้ขาดความสร้างสรรค์
4. แนวเชือดเฉือนด้วยคำพูด
เรื่องราวที่เน้นตัวละครใช้คำพูดดูถูก ด่าทอ หรือประชดประชันกันในทุกฉาก แม้จะแสดงถึงความดราม่าได้ชัดเจน แต่บางครั้งก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจและเบื่อหน่ายกับความตึงเครียดที่ไม่สร้างสรรค์
5. แนวข่มขืนนางเอกให้หลงรัก
พล็อตที่พระเอกใช้ความรุนแรง เช่น ข่มขืนนางเอก แต่กลับถูกบิดเบือนให้กลายเป็นความรักในตอนจบ ละครแนวนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการส่งเสริมค่านิยมที่ผิด และไม่เหมาะสมในยุคที่สังคมตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
6. แนวนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย
แม้จะเคยเป็นแนวที่สร้างความสนุกและความขำขันในอดีต แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่าไม่สมเหตุสมผลและขาดความลึกซึ้ง เช่น การที่ตัวละครอื่นไม่สามารถแยกแยะเพศของนางเอกได้
7. แนวพีเรียดสมัยโบราณ
ละครย้อนยุคที่ใช้ฉากหลังของอดีตไทย เช่น รัชกาลที่ 5 หรือยุคโบราณ แนวนี้มักตกอยู่ในกรอบเดิม ๆ เช่น การใช้ชีวิตในวัง หรือความขัดแย้งในหมู่เจ้าขุนมูลนาย หากไม่มีการนำเสนอในมุมมองใหม่ แนวนี้ก็มักจะดึงดูดผู้ชมเฉพาะกลุ่ม
8. แนวสลับลูกกับตัวร้าย
เรื่องราวที่ตัวร้ายสลับลูกตั้งแต่เกิด และชีวิตของตัวละครเอกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์เพราะถูกเลี้ยงดูผิดที่ แม้จะสร้างความลุ้นระทึกได้ในช่วงแรก แต่พล็อตนี้ก็ถูกใช้ซ้ำจนผู้ชมสามารถคาดเดาเรื่องราวได้
9. แนวนางเอกข้ามเวลาไปอดีต
พล็อตที่นางเอกข้ามเวลาจากปัจจุบันไปสู่อดีต แม้จะมีตัวอย่างความสำเร็จบางเรื่อง แต่เมื่อใช้บ่อยครั้งโดยไม่มีการพัฒนาเนื้อหาใหม่ เช่น ขาดการอิงประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ก็ทำให้แนวนี้ดูซ้ำซาก
10. แนวชีวิตน้ำเน่าเจอแต่เรื่องราว
ละครที่ตัวละครเอกเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ไม่ว่าจะถูกใส่ร้าย โดนกลั่นแกล้ง หรือเจอความอยุติธรรมในทุกตอน แนวนี้มักทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด และขาดความหวังในการติดตามเรื่องต่อ
ทางออก
หากละครไทยต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ ควรมุ่งเน้นการสร้างสรรค์พล็อตที่สดใหม่ เน้นความสมจริง มีมิติของตัวละครที่ลึกซึ้ง และสอดคล้องกับปัญหาหรือค่านิยมของสังคมในยุคปัจจุบัน เช่น การเล่าเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หรือประเด็นสังคมที่เป็นสากล
การปรับปรุงในเชิงเนื้อหาและการผลิตจะช่วยดึงดูดผู้ชมรุ่นใหม่และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการละครไทยต่อไป
ละครไทยร่วง ! เหตุย่ำอยู่กับที่ เปิด 10 แนวละครที่คนไทยเลิกดู !
1. แนวแย่งผู้ชาย
ละครที่เน้นเรื่องราวของตัวละครหญิงสองคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียวกัน เช่น ใส่ร้าย ทำร้าย หรือแม้แต่ใช้วิธีรุนแรง แม้จะมีความดราม่าและดึงอารมณ์ผู้ชมได้ดีในอดีต แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมความรุนแรงในความสัมพันธ์ และไม่ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในสังคมที่พัฒนามากขึ้น
2. แนวยิงระห่ำ
ละครแนวนี้มักมีฉากบู๊ที่ดูเวอร์เกินจริง เช่น ตัวละครพระเอกคนเดียวสามารถจัดการกับกลุ่มตัวร้ายทั้งกองทัพได้ด้วยปืนเพียงกระบอกเดียว แม้ว่าฉากแอ็กชันจะดูสนุกและดึงดูดผู้ชม แต่เมื่อขาดความสมจริงและไม่มีมิติของตัวละคร แนวนี้จึงเริ่มหมดความนิยม
3. แนวแก้แค้นครอบครัว
ละครที่ตัวเอกเติบโตมาด้วยความแค้น เช่น สูญเสียครอบครัวเพราะตัวร้าย และตัดสินใจกลับมาแก้แค้นโดยใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด แนวนี้แม้จะสร้างอารมณ์ให้ผู้ชมได้ แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปในทิศทางเดิมซ้ำ ๆ ก็ทำให้ขาดความสร้างสรรค์
4. แนวเชือดเฉือนด้วยคำพูด
เรื่องราวที่เน้นตัวละครใช้คำพูดดูถูก ด่าทอ หรือประชดประชันกันในทุกฉาก แม้จะแสดงถึงความดราม่าได้ชัดเจน แต่บางครั้งก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจและเบื่อหน่ายกับความตึงเครียดที่ไม่สร้างสรรค์
5. แนวข่มขืนนางเอกให้หลงรัก
พล็อตที่พระเอกใช้ความรุนแรง เช่น ข่มขืนนางเอก แต่กลับถูกบิดเบือนให้กลายเป็นความรักในตอนจบ ละครแนวนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการส่งเสริมค่านิยมที่ผิด และไม่เหมาะสมในยุคที่สังคมตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
6. แนวนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย
แม้จะเคยเป็นแนวที่สร้างความสนุกและความขำขันในอดีต แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่าไม่สมเหตุสมผลและขาดความลึกซึ้ง เช่น การที่ตัวละครอื่นไม่สามารถแยกแยะเพศของนางเอกได้
7. แนวพีเรียดสมัยโบราณ
ละครย้อนยุคที่ใช้ฉากหลังของอดีตไทย เช่น รัชกาลที่ 5 หรือยุคโบราณ แนวนี้มักตกอยู่ในกรอบเดิม ๆ เช่น การใช้ชีวิตในวัง หรือความขัดแย้งในหมู่เจ้าขุนมูลนาย หากไม่มีการนำเสนอในมุมมองใหม่ แนวนี้ก็มักจะดึงดูดผู้ชมเฉพาะกลุ่ม
8. แนวสลับลูกกับตัวร้าย
เรื่องราวที่ตัวร้ายสลับลูกตั้งแต่เกิด และชีวิตของตัวละครเอกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์เพราะถูกเลี้ยงดูผิดที่ แม้จะสร้างความลุ้นระทึกได้ในช่วงแรก แต่พล็อตนี้ก็ถูกใช้ซ้ำจนผู้ชมสามารถคาดเดาเรื่องราวได้
9. แนวนางเอกข้ามเวลาไปอดีต
พล็อตที่นางเอกข้ามเวลาจากปัจจุบันไปสู่อดีต แม้จะมีตัวอย่างความสำเร็จบางเรื่อง แต่เมื่อใช้บ่อยครั้งโดยไม่มีการพัฒนาเนื้อหาใหม่ เช่น ขาดการอิงประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ก็ทำให้แนวนี้ดูซ้ำซาก
10. แนวชีวิตน้ำเน่าเจอแต่เรื่องราว
ละครที่ตัวละครเอกเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ไม่ว่าจะถูกใส่ร้าย โดนกลั่นแกล้ง หรือเจอความอยุติธรรมในทุกตอน แนวนี้มักทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด และขาดความหวังในการติดตามเรื่องต่อ
ทางออก
หากละครไทยต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ ควรมุ่งเน้นการสร้างสรรค์พล็อตที่สดใหม่ เน้นความสมจริง มีมิติของตัวละครที่ลึกซึ้ง และสอดคล้องกับปัญหาหรือค่านิยมของสังคมในยุคปัจจุบัน เช่น การเล่าเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หรือประเด็นสังคมที่เป็นสากล
การปรับปรุงในเชิงเนื้อหาและการผลิตจะช่วยดึงดูดผู้ชมรุ่นใหม่และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการละครไทยต่อไป