คนดังแผ่นดินจิ๋น
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
“ เล่าเซี่ยงชุน “
นิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง คนดังแผ่นดินจิ๋น ชุดนี้ ได้เรียบเรียงมาจากพงศาวดารจีนเรื่อง ไซจิ้น
ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ ได้ให้ หลวงพิชัยวารี แปลจากภาษาจีน เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑ ในรัชกาลที่ ๔
และพิมพ์เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖
เป็นเรื่องราวในสมัยราชวงศ์จิ๋น ตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นปฐมกษัตริย์ สืบราชสมบัติมาถึง
พระเจ้าซาซีฮ่องเต้ เป็นเวลา ๔๐ ปี จาก พ.ศ.๒๙๘ ถึง พ.ศ.๓๓๗ ก่อนจะถึงสมัย สามก๊กประมาณ ๓๙๖ ปี
ตอนที่ ๑ พ่อค้าเจ้าปัญญา
ในสมัยนั้น พระเจ้าจิ๋วมกอ๋อง ครองราชสมบัติในเมืองจิ๋ว มีเมืองใหญ่ขึ้นอยู่ถึงเจ็ดเมือง
คือเมืองเจ๋ เมืองฌ้อ เมืองเอี๋ยน เมืองเตียว เมืองงุย เมืองหัน และเมืองจิ๋ว เมื่อพระเจ้าจิ๋วมกอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว
เมืองทั้งเจ็ดก็ไม่ขึ้นแก่กัน ต่อมาเมืองจิ๋นเป็นใหญ่ขึ้นมาก็ยกทัพไปตีเมืองจิ๋วได้ พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องได้ครอง
ราชสมบัติในเมืองจิ๋นแล้ว ก็ยกกองทัพไปตีเมืองเตียว แต่เสียทีแตกพ่ายมา อิหยินหลานของพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง
ถูกจับเป็นเชลย
เตียวอ๋องเจ้าเมืองเตียวก็ประกาศกับขุนนางว่า
“……..ปู่ของอิหยินให้ยกมาทำศึกแก่เมืองเรา หมายจะเอาชีวิตและสมบัติ ครั้งนี้เราจับหลานเ
จ้าเมืองได้ ควรจะฆ่าเสีย…..”
ขุนนางก็ค้านว่า
“……..ซึ่งจะฆ่าอิหยินเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่เมืองเราทุกวันนี้ รี้พลและทหารมีฝีมือก็น้อย เมืองจิ๋น
นั้นมีเขตแดนกว้างขวาง คงจะมีความพยาบาท เห็นไม่ช้าคงจะยกกองทัพมาติดพันขับเคี่ยวไป กว่าจะได้ชัยชนะ
เมืองเราก็เห็นจะไม่มีความสุข ขอให้เอาอิหยินไว้เหมือนตัวจำนำ เห็นทัพเมืองจิ๋นจะไม่ยกเข้ามา…..”
เตียวอ๋องก็เห็นชอบด้วย ต่อมาอีกสี่วันทูตเมืองจิ๋นก็เดินทางมาเฝ้าเตียวอ๋อง และมีหนังสือ
จากพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง มีความว่า
จิ๋นเจี๋ยวอ๋องให้มาถึงเตียวอ๋องว่า เมืองจิ๋นกับเมืองเตียวร่วมแซ่สืบมา แต่ก่อนต่างคนต่างอยู่เมือง
มิได้ไปมาช้านาน แต่การครั้งนี้เป็นการประเพณีแผ่นดิน คิดจะให้เขตแดนกว้างขวาง จึงเสียทางไมตรี ให้อิหยิน
หลานกำกับทัพมา ทหารเมืองเตียวจับได้เหมือนชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้เรามิได้คิดอ่านที่จะตีเมืองเตียวสืบไป
ขอให้ปล่อยตัวอิหยินคืนไปเมืองจิ๋น จะได้เป็นทางไมตรีกันไปภายหน้า
เตียวอ๋องก็บอกกับทูตว่า
“……..จิ๋นเจี๋ยวอ๋องกับเราก็ร่วมแซ่เดียวกัน แต่ว่ายกกองทัพมาทำศึกแก่เมืองเราก็หลายครั้ง
จนเราจับตัวอิหยินไว้ก็มิได้ทำอันตราย บัดนี้เราแจ้งในหนังสือว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ยินดีนัก ด้วยจะได้รักษา
แผ่นดินให้เป็นสุข อันตัวอิหยินเป็นหลานทั้งสองฝ่ายจะเอาไว้ให้คุ้นเคย ถ้าได้วันดีเมื่อใดเราจึงจะให้คืนไปเมือง……”
ทูตก็ตอบว่า
“…….ถ้าเมืองใดมีทหารกล้าแข็ง ก็ย่อมแต่งไปตีบ้านเมืองเอาเขตแดนให้กว้างขวาง การก็เป็น
อย่างสืบมา ใช่จะเป็นแต่เมืองจิ๋นก็หาไม่ ครั้งนี้เมืองจิ๋นกับเมืองเตียวเป็นไมตรีกันแล้ว ขอท่านจงรักษาอิหยินไว้ให้ดี
ถ้าอิหยินได้คืนไปเมืองเมื่อใด จะขอบคุณท่านให้ถึงพันปี ถ้าไต้อ๋องทำให้อิหยินสิ้นชีวิตมิได้คืนไปเมืองจิ๋น ถึงจะก่อ
กำแพงกั้นทั้งสี่ด้าน ท่านจะอยู่ในกลางก็ไม่พ้นอันตราย ถ้าเสียดายไพร่บ้านพลเมืองของไต้อ๋อง จงดำริการซึ่งเป็น
ไมตรีกันทั้งสองเมือง จึงจะชอบ …….“
เตียวอ๋องก็ชอบใจคำเจรจา จึงถามชื่อและตำแหน่ง ทูตก็บอกว่าชื่องูใสเป็นแต่ผู้น้อย เตียวอ๋องจึง
สรรเสริญว่า
“……ท่านนี้มีสติปัญญา ว่ากล่าวถูกต้อง ควรที่เจ้าจะใช้ไม่เสียเกียรติยศ ชอบจะเลี้ยงเลื่อนให้เป็น
ผู้ใหญ่……”
ว่าแล้วก็ให้รางวัลแก่งูใสพอสมควร แล้วจึงให้เจ้าหน้าที่ แต่งหนังสือตอบไปฉบับหนึ่ง งูใสก็รับ
หนังสือคำนับลากลับมาเมืองจิ๋น ถวายหนังสือแก่พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยงอ๋อง และทูลความซึ่งมีมาแต่เมืองเตียวให้ทราบ
ทุกประการ จิ๋นเจี๋ยนอ๋องเปิดหนังสืออ่านดู มีความว่า
เตียวอ๋องคำนับมา ด้วยข้าพเจ้าพึ่งได้ครองเมืองห้าปี คิดถึงทางไมตรีอยู่เนือง ๆ ไม่ถือตัวองอาจ
ตั้งใจว่าเป็นเมืองน้อยหมายพึ่งเมืองใหญ่ ซึ่งอิหยินตกมาอยู่นั้นแจ้งว่าหลาน ก็ให้คนบำรุงเลี้ยงรักษาอยู่ แม้นวันดีเมื่อใด
จึงจะคุมมาส่งให้ครั้งหลัง
ครั้นอ่านแจ้งแล้ว จิ๋นเจี๋ยวอ๋องก็เคืองพระทัยนัก คิดจะใคร่ยกกองทัพไปตี เมืองเตียว แต่อาลัย
อยู่ด้วยหลานจึงอดโทโสไว้
ฝ่ายเตียวอ๋องก็มอบตัวอิหยิน ให้กองซุนเขียนขุนนางนายทหาร พาไปเลี้ยงดูที่บ้าน แล้วให้เบิกเอา
ทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลัง ไปบำรุงรักษาอย่าให้หนีไปได้ กองซุนเขียนก็รับตัวอิหยินขึ้นม้าคนละตัวเดินเคียงกันไป
ตามถนนในเมือง
ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ ลิปุดอุย อยู่บ้านเองเอียงเอียดในเมืองเตียว เดินเข้ามาสะกิดบ่าวของ
กองซุนเขียนถามว่า คนขี่ม้าข้างหลังนั้นเป็นผู้ใด บ่าวก็บอกให้ว่าชื่ออิหยินหลานพระเจ้าเมืองจิ๋น ที่จับได้ในกลางศึก
เตียวอ๋องมีรับสั่งให้นายเราคุมไว้ เมื่อกองซุนเขียนพาอิหยินเลยไปแล้ว ลิปุดอุยก็กลับมาบ้าน
ลิปุดอุยก็พูดกับบิดาว่า
“……วันนี้ข้าพเจ้าไปพบหลานพระเจ้าเมืองจิ๋น ชื่ออิหยินรูปทรงต้องลักษณะ นานไปภายหน้าจะมีบุญ
เป็นแท้……”
แล้วก็บอกกับบิดาว่า ตนจะหาทางคิดช่วยแก้ไข ให้อิหยินได้กลับคืนเมือง บิดาก็ว่าการครั้งนี้เห็น
จะคิดทำได้ยากนัก แต่ถ้าสมความคิดตลอด เจ้าจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้นไม่สมความคิดภัยก็จะมีแก่เรา ลิปุดอุยก็ว่า
บิดาอย่าวิตกเลย
ลิปุดอุยก็เสาะหาผู้ที่รักสนิทกับกองซุนเขียน จนพบกับกุยเบ๊กจึงแต่งของกำนัลไปหาแล้วบอกว่า
ตนเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองนี้ จะมาขอให้พาไปฝากตัวไว้กับกองวซุนเขียน จะได้พึ่งบุญต่อไปภายหน้า กุยเบ๊กก็ไม่ขัดข้อง
และพาลิปุดอุยไปฝากตัวกับกองซุนเขียน แต่นั้นมาลิปุดอุยมีของสิ่งใดดีมีรส ก็เอาไปกำนัลกองวุนเขียนอยู่เนือง ๆ
จนสนิทสนมกันเป็นอันมาก
ครั้นถึงเดือนเจ็ดขึ้นห้าค่ำ เทศกาลกินขนมจ้าง กองซุนเขียนก็เชิญกุยเบ๊ก กับ ลิปุดอุย ไปกินโต๊ะ
ในสวนดอกไม้พร้อมด้วยอิหยิน ลิปุดอุยก็ถามว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ใดตนไม่รู้จัก กองซุนเขียนก็บอกว่าเป็นหลานพระเจ้าเ
มืองจิ๋น ลิปุดอุยก็ถ่อมตัวว่าตนเป็นแต่พ่อค้า ไม่สมควรจะนั่งร่วมโต๊ะด้วย และขยับตัวจะถอยลงมานั่งที่ต่ำ กองซุนเขียน
จึงว่า เราทั้งสี่คนรักใคร่สนิท จึงเรียกมาจะให้กินโต๊ะพร้อมกัน ทั้งสี่ก็กินโต๊ะพูดจากันไปจนเวลาบ่าย กุยเบ๊กกับลิปุดอุย
จึงลากองซุนเขียนกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นเมือกองซุนเขียนเข้าไปสู่ที่เฝ้าแล้ว ลิปุดอุยก็ไปหาอิหยินที่บ้าน เอาแพรกับเงินห้าสิบตำลึง
มาคำนับแล้วว่า ตนเป็นพ่อค้าได้มานั่งกินโต๊ะร่วมกับท่าน อย่าถือโทษเลย อิหยินก็ว่า ตนเป็นคนโทษพลัดบ้านเมืองมา
ยศศักดิ์ก็เหมือนกัน ท่านเอาของมาให้ขอบใจหาที่สุดมิได้ ลิปุดอุยไม่เห็นมีผู้ใดนั่งอยู่ จึงกระซิบบอกอิหยินว่า
“……ข้าพเจ้าตั้งใจมาจะได้พบท่าน สู้เสียของกำนัลไปเที่ยวคำนับ จนมาชอบกับกองซุนเขียน
เพราะด้วยตัวท่านผู้เดียว อันความคิดของข้าพเจ้ายังลึกซึ้งอยู่ หมายจะพึ่งท่าน ควรจะพูดในที่ลับ…..”
อิหยินก็หัวเราะแล้วว่า
“……ถ้าท่านได้ดี เราจะพึ่งท่านอีก ไฉนท่านมากลับว่า จะมาพึ่งเราเป็นคนโทษ ไม่เห็นสม…..”
แล้วอิหยินก็ชวนเข้าไปในที่ลับตา ลิปุดอุยจึงเล่าถึงแผนอันลึกซึ้งของตนว่า
“……ข้าพเจ้าไปเที่ยวค้าขาย รู้ว่าพระเจ้าปู่เป็นเจ้าในเมืองจิ๋น อันก๊กกุ๋นบิดาท่านเป็นไทจู๊ มีบุตร
ถึงยี่สิบเศษ ตัวท่านเป็นบุตรกลางหามารดาไม่ ข้าพเจ้าคิดจะแก้ไขท่านให้ได้กลับคืนเมือง ถ้าพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง
สิ้นพระชนม์ลง อันก๊กกุ๋นก็คงจะได้ครองเมืองจิ๋น พี่น้องของท่านจะชิงกันเป็นไทจู๊ ตัวท่านมาตกอยู่เมืองนี้ได้ความยาก
ทำไฉนจึงจะได้คืนไปเล่า…..”
อิหยินได้ฟังลิปุดอุยว่าดังนั้น ก็มีความอาลัยคิดถึงบ้านเมือง จึงว่า
“……คำของท่านพูดมาทั้งนี้ เรายินดีดังหนึ่งเอาทองคำและหยก สิ่งของที่ดีมาให้แก่เรา ท่านจง
ช่วยแก้ไขให้เราได้กลับไปเมืองเถิด คงจะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด…..”
ลิปุดอุยก็บอกความคิดของตนว่า
“……ข้าพเจ้าจะลาไปคิดการเมืองจิ๋นก่อน ตัวท่านเล่าก็จนกันดารนัก ไม่มีสิ่งใดจะฝากไป ข้าพเจ้า
ตั้งใจจะพึ่งท่าน บรรดาสิ่งของมีอยู่ ณ เรือน จะขายลงได้ประมาณสักพันตำลึงทอง แม้นไปถึงเมืองจิ๋นจะได้หยิบออก
ใช้ กับจะคิดแก้ไขตัวท่าน แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าไม่รู้จักผู้ใดที่จะได้พาเข้าเฝ้า ขอกองทัพมารับแล้วจะกลับมาพาท่านไป……”
อิหยินก็มีความยินดียิ่งนัก พูดว่า
“…….ตัวเราอุปมาดังตกอยู่ที่มืด ท่านจะแก้ไขให้คืนไปเมืองนั้น ดุจเห็นดวงพระจันทร์พระอาทิตย์
อันส่องสว่างในเมืองฟ้า ซึ่งท่านวิตกว่าไม่รู้จักใครเราจะบอกให้ นางห้ามที่ชอบอัชฌาสัย บิดาเราเขามีใจเอ็นดู
ชื่อนางฮั้วเอี๋ยงชาวเมืองฌ้อ บิดาเราให้เป็นฮูหยินใหญ่กว่าสนมทั้งปวง มีพี่สาวชื่อนางฮองกั้ว ตั้งร้านไว้สำหรับเช่า
อยู่หน้าวังบิดาเรา ถ้าพบจะได้แจ้งความ……”
แล้วอิหยินก็เขียนหนังสือสองฉบับ ส่งให้ลิปุดอุยถือไป ลิปุดอุยก็ว่าตนจะหาปิ่นแก้วไปถวาย
สองอันพอเป็นสำคัญ และหยิบทองให้อิหยินไว้ใช้สอยห้าร้อยตำลึง และกำชับว่าการนี้อย่าให้แพร่งพรายได้
วันต่อมาลิปุดอุยก็มาหากองซุนเขียน ขอลาไปค้าขายต่างเมืองหลายเดือนจึงจะมา ขอฝากบิดา
กับภรรยาไว้ด้วย กองซุนเขียนก็รับปาก ลิปุดอุยก็กลับบ้านจัดสิ่งของใส่หาบให้คนใช้สามคนหาบออกจากเมืองเตียว
ไปถึงฝั่งแม่น้ำเจียงหอ ก็จัดสิ่งของเป็ของกำนัลแก่นายด่าน แล้วก็ออกจากเมืองข้ามแม่น้ำเจียงหอไปสองคืน ถึง
แม่น้ำอุยโหปลายแดนเมืองจิ๋น ตั้งแต่นี้ไปถึงเมืองจิ๋น ระยะทางประมาณพันโยชน์ มีแม่น้ำแปดแห่ง มีดงสามดง พ้นดง
ไปมีด่านอีกห้าด่าน
ลิปุดอุยจะเดินทางไปตลอดรอดฝั่ง และทำการสำเร็จตามที่คิดไว้หรือไม่ ก็คงจะต้องรอให้ถึงตอนหน้า.
#########
นิยายจีน คนดังแผ่นดินจิ๋น
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
“ เล่าเซี่ยงชุน “
นิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง คนดังแผ่นดินจิ๋น ชุดนี้ ได้เรียบเรียงมาจากพงศาวดารจีนเรื่อง ไซจิ้น
ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ ได้ให้ หลวงพิชัยวารี แปลจากภาษาจีน เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑ ในรัชกาลที่ ๔
และพิมพ์เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖
เป็นเรื่องราวในสมัยราชวงศ์จิ๋น ตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นปฐมกษัตริย์ สืบราชสมบัติมาถึง
พระเจ้าซาซีฮ่องเต้ เป็นเวลา ๔๐ ปี จาก พ.ศ.๒๙๘ ถึง พ.ศ.๓๓๗ ก่อนจะถึงสมัย สามก๊กประมาณ ๓๙๖ ปี
ตอนที่ ๑ พ่อค้าเจ้าปัญญา
ในสมัยนั้น พระเจ้าจิ๋วมกอ๋อง ครองราชสมบัติในเมืองจิ๋ว มีเมืองใหญ่ขึ้นอยู่ถึงเจ็ดเมือง
คือเมืองเจ๋ เมืองฌ้อ เมืองเอี๋ยน เมืองเตียว เมืองงุย เมืองหัน และเมืองจิ๋ว เมื่อพระเจ้าจิ๋วมกอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว
เมืองทั้งเจ็ดก็ไม่ขึ้นแก่กัน ต่อมาเมืองจิ๋นเป็นใหญ่ขึ้นมาก็ยกทัพไปตีเมืองจิ๋วได้ พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องได้ครอง
ราชสมบัติในเมืองจิ๋นแล้ว ก็ยกกองทัพไปตีเมืองเตียว แต่เสียทีแตกพ่ายมา อิหยินหลานของพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง
ถูกจับเป็นเชลย
เตียวอ๋องเจ้าเมืองเตียวก็ประกาศกับขุนนางว่า
“……..ปู่ของอิหยินให้ยกมาทำศึกแก่เมืองเรา หมายจะเอาชีวิตและสมบัติ ครั้งนี้เราจับหลานเ
จ้าเมืองได้ ควรจะฆ่าเสีย…..”
ขุนนางก็ค้านว่า
“……..ซึ่งจะฆ่าอิหยินเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่เมืองเราทุกวันนี้ รี้พลและทหารมีฝีมือก็น้อย เมืองจิ๋น
นั้นมีเขตแดนกว้างขวาง คงจะมีความพยาบาท เห็นไม่ช้าคงจะยกกองทัพมาติดพันขับเคี่ยวไป กว่าจะได้ชัยชนะ
เมืองเราก็เห็นจะไม่มีความสุข ขอให้เอาอิหยินไว้เหมือนตัวจำนำ เห็นทัพเมืองจิ๋นจะไม่ยกเข้ามา…..”
เตียวอ๋องก็เห็นชอบด้วย ต่อมาอีกสี่วันทูตเมืองจิ๋นก็เดินทางมาเฝ้าเตียวอ๋อง และมีหนังสือ
จากพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง มีความว่า
จิ๋นเจี๋ยวอ๋องให้มาถึงเตียวอ๋องว่า เมืองจิ๋นกับเมืองเตียวร่วมแซ่สืบมา แต่ก่อนต่างคนต่างอยู่เมือง
มิได้ไปมาช้านาน แต่การครั้งนี้เป็นการประเพณีแผ่นดิน คิดจะให้เขตแดนกว้างขวาง จึงเสียทางไมตรี ให้อิหยิน
หลานกำกับทัพมา ทหารเมืองเตียวจับได้เหมือนชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้เรามิได้คิดอ่านที่จะตีเมืองเตียวสืบไป
ขอให้ปล่อยตัวอิหยินคืนไปเมืองจิ๋น จะได้เป็นทางไมตรีกันไปภายหน้า
เตียวอ๋องก็บอกกับทูตว่า
“……..จิ๋นเจี๋ยวอ๋องกับเราก็ร่วมแซ่เดียวกัน แต่ว่ายกกองทัพมาทำศึกแก่เมืองเราก็หลายครั้ง
จนเราจับตัวอิหยินไว้ก็มิได้ทำอันตราย บัดนี้เราแจ้งในหนังสือว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ยินดีนัก ด้วยจะได้รักษา
แผ่นดินให้เป็นสุข อันตัวอิหยินเป็นหลานทั้งสองฝ่ายจะเอาไว้ให้คุ้นเคย ถ้าได้วันดีเมื่อใดเราจึงจะให้คืนไปเมือง……”
ทูตก็ตอบว่า
“…….ถ้าเมืองใดมีทหารกล้าแข็ง ก็ย่อมแต่งไปตีบ้านเมืองเอาเขตแดนให้กว้างขวาง การก็เป็น
อย่างสืบมา ใช่จะเป็นแต่เมืองจิ๋นก็หาไม่ ครั้งนี้เมืองจิ๋นกับเมืองเตียวเป็นไมตรีกันแล้ว ขอท่านจงรักษาอิหยินไว้ให้ดี
ถ้าอิหยินได้คืนไปเมืองเมื่อใด จะขอบคุณท่านให้ถึงพันปี ถ้าไต้อ๋องทำให้อิหยินสิ้นชีวิตมิได้คืนไปเมืองจิ๋น ถึงจะก่อ
กำแพงกั้นทั้งสี่ด้าน ท่านจะอยู่ในกลางก็ไม่พ้นอันตราย ถ้าเสียดายไพร่บ้านพลเมืองของไต้อ๋อง จงดำริการซึ่งเป็น
ไมตรีกันทั้งสองเมือง จึงจะชอบ …….“
เตียวอ๋องก็ชอบใจคำเจรจา จึงถามชื่อและตำแหน่ง ทูตก็บอกว่าชื่องูใสเป็นแต่ผู้น้อย เตียวอ๋องจึง
สรรเสริญว่า
“……ท่านนี้มีสติปัญญา ว่ากล่าวถูกต้อง ควรที่เจ้าจะใช้ไม่เสียเกียรติยศ ชอบจะเลี้ยงเลื่อนให้เป็น
ผู้ใหญ่……”
ว่าแล้วก็ให้รางวัลแก่งูใสพอสมควร แล้วจึงให้เจ้าหน้าที่ แต่งหนังสือตอบไปฉบับหนึ่ง งูใสก็รับ
หนังสือคำนับลากลับมาเมืองจิ๋น ถวายหนังสือแก่พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยงอ๋อง และทูลความซึ่งมีมาแต่เมืองเตียวให้ทราบ
ทุกประการ จิ๋นเจี๋ยนอ๋องเปิดหนังสืออ่านดู มีความว่า
เตียวอ๋องคำนับมา ด้วยข้าพเจ้าพึ่งได้ครองเมืองห้าปี คิดถึงทางไมตรีอยู่เนือง ๆ ไม่ถือตัวองอาจ
ตั้งใจว่าเป็นเมืองน้อยหมายพึ่งเมืองใหญ่ ซึ่งอิหยินตกมาอยู่นั้นแจ้งว่าหลาน ก็ให้คนบำรุงเลี้ยงรักษาอยู่ แม้นวันดีเมื่อใด
จึงจะคุมมาส่งให้ครั้งหลัง
ครั้นอ่านแจ้งแล้ว จิ๋นเจี๋ยวอ๋องก็เคืองพระทัยนัก คิดจะใคร่ยกกองทัพไปตี เมืองเตียว แต่อาลัย
อยู่ด้วยหลานจึงอดโทโสไว้
ฝ่ายเตียวอ๋องก็มอบตัวอิหยิน ให้กองซุนเขียนขุนนางนายทหาร พาไปเลี้ยงดูที่บ้าน แล้วให้เบิกเอา
ทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลัง ไปบำรุงรักษาอย่าให้หนีไปได้ กองซุนเขียนก็รับตัวอิหยินขึ้นม้าคนละตัวเดินเคียงกันไป
ตามถนนในเมือง
ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ ลิปุดอุย อยู่บ้านเองเอียงเอียดในเมืองเตียว เดินเข้ามาสะกิดบ่าวของ
กองซุนเขียนถามว่า คนขี่ม้าข้างหลังนั้นเป็นผู้ใด บ่าวก็บอกให้ว่าชื่ออิหยินหลานพระเจ้าเมืองจิ๋น ที่จับได้ในกลางศึก
เตียวอ๋องมีรับสั่งให้นายเราคุมไว้ เมื่อกองซุนเขียนพาอิหยินเลยไปแล้ว ลิปุดอุยก็กลับมาบ้าน
ลิปุดอุยก็พูดกับบิดาว่า
“……วันนี้ข้าพเจ้าไปพบหลานพระเจ้าเมืองจิ๋น ชื่ออิหยินรูปทรงต้องลักษณะ นานไปภายหน้าจะมีบุญ
เป็นแท้……”
แล้วก็บอกกับบิดาว่า ตนจะหาทางคิดช่วยแก้ไข ให้อิหยินได้กลับคืนเมือง บิดาก็ว่าการครั้งนี้เห็น
จะคิดทำได้ยากนัก แต่ถ้าสมความคิดตลอด เจ้าจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้นไม่สมความคิดภัยก็จะมีแก่เรา ลิปุดอุยก็ว่า
บิดาอย่าวิตกเลย
ลิปุดอุยก็เสาะหาผู้ที่รักสนิทกับกองซุนเขียน จนพบกับกุยเบ๊กจึงแต่งของกำนัลไปหาแล้วบอกว่า
ตนเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองนี้ จะมาขอให้พาไปฝากตัวไว้กับกองวซุนเขียน จะได้พึ่งบุญต่อไปภายหน้า กุยเบ๊กก็ไม่ขัดข้อง
และพาลิปุดอุยไปฝากตัวกับกองซุนเขียน แต่นั้นมาลิปุดอุยมีของสิ่งใดดีมีรส ก็เอาไปกำนัลกองวุนเขียนอยู่เนือง ๆ
จนสนิทสนมกันเป็นอันมาก
ครั้นถึงเดือนเจ็ดขึ้นห้าค่ำ เทศกาลกินขนมจ้าง กองซุนเขียนก็เชิญกุยเบ๊ก กับ ลิปุดอุย ไปกินโต๊ะ
ในสวนดอกไม้พร้อมด้วยอิหยิน ลิปุดอุยก็ถามว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ใดตนไม่รู้จัก กองซุนเขียนก็บอกว่าเป็นหลานพระเจ้าเ
มืองจิ๋น ลิปุดอุยก็ถ่อมตัวว่าตนเป็นแต่พ่อค้า ไม่สมควรจะนั่งร่วมโต๊ะด้วย และขยับตัวจะถอยลงมานั่งที่ต่ำ กองซุนเขียน
จึงว่า เราทั้งสี่คนรักใคร่สนิท จึงเรียกมาจะให้กินโต๊ะพร้อมกัน ทั้งสี่ก็กินโต๊ะพูดจากันไปจนเวลาบ่าย กุยเบ๊กกับลิปุดอุย
จึงลากองซุนเขียนกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นเมือกองซุนเขียนเข้าไปสู่ที่เฝ้าแล้ว ลิปุดอุยก็ไปหาอิหยินที่บ้าน เอาแพรกับเงินห้าสิบตำลึง
มาคำนับแล้วว่า ตนเป็นพ่อค้าได้มานั่งกินโต๊ะร่วมกับท่าน อย่าถือโทษเลย อิหยินก็ว่า ตนเป็นคนโทษพลัดบ้านเมืองมา
ยศศักดิ์ก็เหมือนกัน ท่านเอาของมาให้ขอบใจหาที่สุดมิได้ ลิปุดอุยไม่เห็นมีผู้ใดนั่งอยู่ จึงกระซิบบอกอิหยินว่า
“……ข้าพเจ้าตั้งใจมาจะได้พบท่าน สู้เสียของกำนัลไปเที่ยวคำนับ จนมาชอบกับกองซุนเขียน
เพราะด้วยตัวท่านผู้เดียว อันความคิดของข้าพเจ้ายังลึกซึ้งอยู่ หมายจะพึ่งท่าน ควรจะพูดในที่ลับ…..”
อิหยินก็หัวเราะแล้วว่า
“……ถ้าท่านได้ดี เราจะพึ่งท่านอีก ไฉนท่านมากลับว่า จะมาพึ่งเราเป็นคนโทษ ไม่เห็นสม…..”
แล้วอิหยินก็ชวนเข้าไปในที่ลับตา ลิปุดอุยจึงเล่าถึงแผนอันลึกซึ้งของตนว่า
“……ข้าพเจ้าไปเที่ยวค้าขาย รู้ว่าพระเจ้าปู่เป็นเจ้าในเมืองจิ๋น อันก๊กกุ๋นบิดาท่านเป็นไทจู๊ มีบุตร
ถึงยี่สิบเศษ ตัวท่านเป็นบุตรกลางหามารดาไม่ ข้าพเจ้าคิดจะแก้ไขท่านให้ได้กลับคืนเมือง ถ้าพระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋อง
สิ้นพระชนม์ลง อันก๊กกุ๋นก็คงจะได้ครองเมืองจิ๋น พี่น้องของท่านจะชิงกันเป็นไทจู๊ ตัวท่านมาตกอยู่เมืองนี้ได้ความยาก
ทำไฉนจึงจะได้คืนไปเล่า…..”
อิหยินได้ฟังลิปุดอุยว่าดังนั้น ก็มีความอาลัยคิดถึงบ้านเมือง จึงว่า
“……คำของท่านพูดมาทั้งนี้ เรายินดีดังหนึ่งเอาทองคำและหยก สิ่งของที่ดีมาให้แก่เรา ท่านจง
ช่วยแก้ไขให้เราได้กลับไปเมืองเถิด คงจะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด…..”
ลิปุดอุยก็บอกความคิดของตนว่า
“……ข้าพเจ้าจะลาไปคิดการเมืองจิ๋นก่อน ตัวท่านเล่าก็จนกันดารนัก ไม่มีสิ่งใดจะฝากไป ข้าพเจ้า
ตั้งใจจะพึ่งท่าน บรรดาสิ่งของมีอยู่ ณ เรือน จะขายลงได้ประมาณสักพันตำลึงทอง แม้นไปถึงเมืองจิ๋นจะได้หยิบออก
ใช้ กับจะคิดแก้ไขตัวท่าน แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าไม่รู้จักผู้ใดที่จะได้พาเข้าเฝ้า ขอกองทัพมารับแล้วจะกลับมาพาท่านไป……”
อิหยินก็มีความยินดียิ่งนัก พูดว่า
“…….ตัวเราอุปมาดังตกอยู่ที่มืด ท่านจะแก้ไขให้คืนไปเมืองนั้น ดุจเห็นดวงพระจันทร์พระอาทิตย์
อันส่องสว่างในเมืองฟ้า ซึ่งท่านวิตกว่าไม่รู้จักใครเราจะบอกให้ นางห้ามที่ชอบอัชฌาสัย บิดาเราเขามีใจเอ็นดู
ชื่อนางฮั้วเอี๋ยงชาวเมืองฌ้อ บิดาเราให้เป็นฮูหยินใหญ่กว่าสนมทั้งปวง มีพี่สาวชื่อนางฮองกั้ว ตั้งร้านไว้สำหรับเช่า
อยู่หน้าวังบิดาเรา ถ้าพบจะได้แจ้งความ……”
แล้วอิหยินก็เขียนหนังสือสองฉบับ ส่งให้ลิปุดอุยถือไป ลิปุดอุยก็ว่าตนจะหาปิ่นแก้วไปถวาย
สองอันพอเป็นสำคัญ และหยิบทองให้อิหยินไว้ใช้สอยห้าร้อยตำลึง และกำชับว่าการนี้อย่าให้แพร่งพรายได้
วันต่อมาลิปุดอุยก็มาหากองซุนเขียน ขอลาไปค้าขายต่างเมืองหลายเดือนจึงจะมา ขอฝากบิดา
กับภรรยาไว้ด้วย กองซุนเขียนก็รับปาก ลิปุดอุยก็กลับบ้านจัดสิ่งของใส่หาบให้คนใช้สามคนหาบออกจากเมืองเตียว
ไปถึงฝั่งแม่น้ำเจียงหอ ก็จัดสิ่งของเป็ของกำนัลแก่นายด่าน แล้วก็ออกจากเมืองข้ามแม่น้ำเจียงหอไปสองคืน ถึง
แม่น้ำอุยโหปลายแดนเมืองจิ๋น ตั้งแต่นี้ไปถึงเมืองจิ๋น ระยะทางประมาณพันโยชน์ มีแม่น้ำแปดแห่ง มีดงสามดง พ้นดง
ไปมีด่านอีกห้าด่าน
ลิปุดอุยจะเดินทางไปตลอดรอดฝั่ง และทำการสำเร็จตามที่คิดไว้หรือไม่ ก็คงจะต้องรอให้ถึงตอนหน้า.
#########