คนดังแผ่นดินจิ๋น
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
อนที่ ๓ ยอมเสียส่วนน้อย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่ที่บ้านของลิปุดอุย เมื่ออิหยินเคลิ้มในความงามของนางจูกี๋ภรรยาของลิปุดอุย จนกระทำกิริยาล่วงเกินนาง และลิปุดอุยออกมาเห็นเข้า ทำให้นางเกิดความอาย จะเอากระบี่เชือดคอตายนั้น อิหยินก็ตกใจเป็นอันมาก แต่ลิปุดอุยกลับยึดมือนางไว้แล้วพูดว่า
“……..เจ้าอย่าเพิ่งฆ่าตัวตายเสียก่อน ซึ่งรักใคร่กับอิหยิน เราจะยกให้อยู่ด้วยกัน นานไปเมื่อได้ดีแล้วอย่าลืมรา……”
อิหยินก็มีความยินดีนัก จึงว่า
“…….ข้าพเจ้าทำผิดท่านมิได้ถือ กลับยกภรรยาให้ พึ่งเห็นใจท่านครั้งนี้ ถ้าชีวิตข้าพเจ้ายังอยู่ตราบใด คงจะฉลองคุณท่านให้ลือชื่อถึงพันปี……”
ส่วนนางจูกี๋นั้นมิได้ว่าประการใด เพราะอยู่ในปกครองของสามี จะให้ทำประการก็ไม่ขัดขืน เมื่อกองซุนเขียนสร่างเมาและออกมานั่งสนทนาด้วย ลิปุดอุยก็บอกว่า
“…….ทุกวันนี้ข้าพเจ้าวิตกด้วยท่าน เป็นผู้รักษาตัวอิหยินอยู่แต่ผู้เดียว มิรู้ที่จะวางใจ บัดนี้มาพอใจนางจูกี๋ ข้าพเจ้าจะยกให้อยู่ด้วยกัน ท่านจะเห็นประการใด…….”
กองซุนเขียนได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่า
“…….มิเสียทีที่ท่านเป็นชาย มีสติปัญญาซื่อตรงต่อมิตร อันน้ำใจของท่านหาผู้เสมอมิด้ ซึ่งท่านจะอุปถัมภ์อิหยินครั้งนี้ เรายินดีนัก……”
ว่าแล้วกองซุนเขียนก็แก้เอารัดประคดเหลือง ตำแหน่งหลานหลวงที่อิหยินคาดอยู่ ส่งให้ลิปุดอุยไว้เป็นสำคัญ ลิปุดอุยรับไว้แล้วก็ว่าถึงวันดีเมื่อใด ข้าพเจ้าจะพาตัวนางจูกี๋ไปส่งให้ที่ตึกท่าน ครั้นถึงเวลาสองยามเศษ กองซุนเขียนกับอิหยินก็ลาลิปุดอุยกลับไปบ้าน
อีกไม่นานถึงเดือนสิบแรมสิบค่ำเป็นวันดี ลิปุดอุยก็จัดแจงให้นางจูกี๋แต่งตัวสวยงาม นั่งเกวียนพาไปส่งที่บ้านกองซุนเขียน มอบตัวนางจูกี๋ให้อิหยินตามที่ได้ตกลงไว้
อิหยินกับนางจูกี๋ได้อยู่กินกันมาได้สิบเดือน ถึงเดือนแปดข้างขึ้นเป็นวันฤกษ์ดี นางจูกี๋ก็คลอดบุตรเป็นชาย มีลักษณะหน้าผากใหญ่ ดวงตาใหญ่ คิ้วยาวสุดหางตา อิหยินก็รักใคร่ยิ่งนัก ให้คนใช้ไปบอกลิปุดอุยทราบ ลิปุดอุยก็จัดสิ่งของไปให้แก่บุตร ที่บ้านของกองซุนเขียน และตั้งชื่อให้แก่บุตรนั้นว่าเจ๋ง
อยู่มาจวนสิ้นฤดูหนาว ลิปุดอุยก็ให้คนใช้ไปคำนับกองซุนเขียน บอกว่าลิอ๋องบิดาของลิปุดอุย จะขอรับนางจูกี๋กับเจ๋งผู้บุตรไปทำขวัญ และชมเชยสักเจ็ดวันแล้วจะพามาส่งคืน กองซุนเขียนก็ให้บ่าวไพร่ พานางจูกี๋กับบุตรนั่งเกวียนมาส่งที่บ้านลิอ๋อง อยู่มาอีกไม่กี่วันลิปุดอุยก็จัดแจงเก็บทรัพย์สิ่งของใส่หาบคอน ให้บิดากับบ่าวคนสนิทพานางจูกี๋กับบุตรชาย ออกจากบ้านไปในกลางดึกประมาณตีสิบเอ็ด พอรุ่งเช้าประตูเมืองเปิด ก็พากันหนีไปทางเมืองจิ๋น
เมื่อลิปุดอุยส่งบิดากับนางจูกี๋และบุตรไปได้ห้าวันแล้ว ก็ไปหากองซุนเขียนที่บ้าน ขณะที่กองซุนเขียนไปซ้อมทหารอยู่ที่สนาม ก็แอบไปบอกอิหยินว่าตนได้ให้บิดาพานางจูกี๋หนีไปได้ห้าวันแล้ว พอกองซุนเขียนกลับมา ก็ชวนลิปุดอุยกับอิหยินไปชมสวนดอกไม้ แล้วก็เล่นหมากรุกกันที่ศาลาในสวน ลิปุดอุยเล่นแพ้กองซุนเขียนสามกระดาน ครั้นเล่นกับอิหยินก็แพ้อีกสองกระดาน จึงชวนกองซุนเขียนและอิหยินให้ไปเล่นหมากรุก และชมสวนที่บ้านของตนบ้าง ทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง
เช้าวันรุ่งขึ้นกองซุนเขียนกับอิหยิน ก็ขึ้นม้ามาถึงบ้านลิปุดอุยซึ่งอยู่นอกเมือง ทางประมาณร้อยเส้น ลิปุดอุยก็ออกมาต้อนรับคำนับเชิญไปชมดอกไม้ในสวน แล้วก็เข้าไปพักในตึกกลางสวน ตั้งโต๊ะเลี้ยงสุราอาหารอย่างดี กองซุนเขียนเสพสุรา พลางฟังนางขับรำบำเรอที่ลิปุดอุย จ้างมาไว้ต้อนรับ จนถึงเวลาค่ำก็เมาหนัก เข้าไปนอนในห้องที่จัดไว้ให้ พวกบ่าวไพร่ก็พากันหลับไปสิ้น ลิปุดอุยก็พาอิหยินเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ให้เหมือนชาวเมืองฌ้อ เพื่อไม่ให้ชาวเมืองเตียวสงสัย แล้วพากันไปขึ้นม้าฝีเท้าดี ที่ซื้อมาผูกซ่อนไว้ที่ตึกน้อยริมประตูท้ายสวน แล้วทั้งสองกับคนใช้อีกสองคน ก็ขับม้าหนีออกจากเมืองเตียว มุ่งไปเมืองจิ๋นโดยเร็ว
ครั้นถึงเวลาสองยามเศษ กองซุนเขียนเย็นละอองน้ำค้างสร่างเมา ลุกขึ้นก็ตกใจแลไปมิได้เห็นแสงไฟ มืดเงียบสงัด ลิปุดอุยกับอิหยินก็หายไป นึกประหลาดใจจึงปลุกบ่าวไพร่ ให้ช่วยกันหาทั่วทั้งสวนก็มิได้พบ จึงคิดได้ว่าตนหลงกลลิปุดอุยเสียแล้ว ลวงให้ตนมาเสพสุราเมาแล้วก็พากันหนีไป แต่เห็นจะกลับไปรับครอบครัว กองซุนเขียนจึงรีบกลับเข้าเมืองแต่ประตูยังไม่เปิด ต้องรอถึงเช้าตรู่ จึงไปถึงบ้านลิอ๋องก็ไม่พบผู้ใด เพื่อนบ้านบอกว่าลิอ๋องกับนางจูกี๋ไปจากเรือนได้เจ็ดวันแล้ว
กองซุนเขียนจึงแจ้งใจ ในกลอุบายของลิปุดอุยโดยตลอด คิดแค้นใจนักด้วยตนเป็นทหารใหญ่มาหลงกลอ้ายพ่อค้าคนพาล มันพาอิหยินเชลยข้าศึกหนีไปได้ โทษของตนถึงสิ้นชีวิต จะอยู่ไปใยให้อายผู้คน คิดแล้วก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอ คนสนิทก็ยุดมือไว้แล้วว่า เหตุใดท่านจะฆ่าตัวตายเสียก่อน ชอบแต่จะเข้าไปทูลเตียวอ๋องขอไปตามคนโทษ หากไม่ได้ตัวมาและไม่โปรดแล้วจึงค่อยตาย
กองซุนเขียนจึงไปหาหลินเสียงยี่ขุนนางผู้ใหญ่ บอกว่า
“……ลิปุดอุยพาอิหยินหนีไปได้ ข้าพเจ้าขอสติปัญญาท่านเป็นที่พึ่ง…….”
หลินเสียงยี่ก็ว่า
“……อิหยินตกมาอยู่เมืองเตียว ว่างศึกหลายปี ซึ่งอิหยินหนีไปเห็นจะมีศึกมาเป็นมั่นคง จะปิดความไว้มิได้จำจะแจ้งความแก่เตียวอ๋อง…….”
แล้วหลินเสียงยี่ก็พากองซุนเขียนไปเฝ้าเตียวอ๋อง ทูลความว่าอิหยินหนีไปแล้ว เตียวอ๋องก็ถามว่าเหตุประการใดจึงหนีไปได้ กองซุนเขียนก็ก้มหน้าลงคำนับแล้วทูลความ ที่ ลิปุดอุยทำอุบายให้ทราบทุกประการแล้วว่า โทษครั้งนี้ผิดยิ่งนักจะขอติดตามสองคนนั้นมาให้ได้ เตียวอ๋องก็ว่า
“…….เสียแรงเราเลี้ยงเป็นนายทหาร ควรหรือประมาทให้อิหยินหนีไปได้ นานไปเห็นศึกจะมาติดเมืองเรา ครั้งนี้โทษท่านถึงตายอยู่แล้ว ซึ่งอิหยินหนีไปครั้งนี้ ดูทีเจ้าเมืองจิ๋นจะรู้ เห็นจะแต่งทหารให้มาคอยรับเป็นมั่นคง จำจะจัดกองทัพตามไป…….”
หลินเสียงยี่จึงทูลว่า
“…….ลิปุดอุยอิหยินพึ่งหนีไปผู้คนก็น้อย ถึงจะมีกองทัพเมืองจิ๋นมารับเห็นจะยังไม่พบกัน ซึ่งจะให้ยกเป็นกองทัพนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะช้า ขอให้คนใช้ขึ้นม้าเร็วถือหนังสือไปถึง หลีเกซกก่อน ให้จัดคนออกก้าวสกัดลาดตระเวนทุกตำบล จึงจะให้กองซุนเขียนคุมพลห้าพันเป็นกองทัพ ตามไปจับให้จงได้……..”
เตียวอ๋องจึงสั่งให้จัดการตามที่หลินเสียงยี่แนะนำ เมื่อคนใช้ถือหนังสือไปถึง หลีเกซกนายด่าน หลีเกซกอ่านแล้วก็ถอนใจใหญ่ว่า
“…….ลิปุดอุยก็มาหาเราบอกว่าจะกลับเมืองเตียว จึงไม่ทันสังเกต พึ่งไปได้สักครึ่งวันเห็นจะตามทัน ที่ไหนจะหนีพ้น………”
แล้วหลีเกซกก็จัดทหารให้ก้าวสกัดเป็นหลายพวก ส่วนตนเองกับนายทหารรองก็พาทหารสามร้อย รีบตามไปทั้งกลางวันกลางคืน
เมื่อหลีเกซกยกทหารไปถึงแม่น้ำอุยโหนั้น ลิอ๋องกับนางจูกี๋ได้ข้ามแม่น้ำไปหลายวันแล้ว ส่วนลิปุดอุยกับอิหยินเพิ่งข้ามไปพอมองเห็นหลัง แต่เมื่อตามไปก็พบกับเจียงนายทหารของเมืองจิ๋นนำพลมาตั้งรับอยู่ หลีเกซกกับนายรองขับม้าเข้ารบกับเจียงได้สิบสองเพลง ทหารรองก็ถูกเจียงแทงด้วยทวนตกม้าตาย หลีเกซกจึงถอยกลับมาพอดีกองซุนเขียนยกทหารตามมาทัน ก็เข้ารบกับเจียงอีกสิบสี่เพลง แต่ทานฝีมือไม่ไหวต้องถอยหนี เจียงจึงนำทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเตียวล้มตายไปเป็นอันมาก แล้วก็พาลิปุดอุยกับอิหยิน กลับไปถึงเมืองจิ๋นได้โดยตลอดปลอดภัย
ฝ่ายอันก๊กกุ๋นครั้นให้เจียงนำกองทัพไปรอรับอิหยิน ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโหเมื่อสิ้นฤดูหนาวแล้วนั้น ก็รอคอยฟังข่าวอยู่ ไม่นานนักก็มีทหารของเจียงร้อยหนึ่ง พาลิอ๋องกับนางจูกี๋มาเฝ้า และเล่าความทั้งปวงให้ฟัง อันก๊กอ๋องก็ให้รางวัลแก่ลิอ๋อง และรับนางจูกี๋เข้าไปอยู่ในวัง
ต่อมาอีกเจ็ดแปดวันเจียงกับอิหยิน ก็ยกกองทัพมาถึงเมืองจิ๋นเวลาค่ำ ทั้งสองก็พาลิปุดอุยเข้าเฝ้าอันก๊กกุ๋น แจ้งความตามมีมาแต่หนหลังโดยตลอด อันก๊กกุ๋นก็สรรเสริญเจียงว่า มีฝีมือควรที่จะเป็นแม่ทัพปราบศัตรูในแผ่นดินได้ และก็ขอบใจลิปุดอุยที่ช่วยพาอิหยินมาไม่ทันพ้นกำหนด แล้วก็พาอิหยินเข้าไปในวังชั้นใน ซึ่งนางฮัวเอี๋ยงฮูหยินคอยเฝ้าอยู่
อิหยินก็คำนับนางฮัวเอี๋ยงฮูหยิน นางเห็นอิหยินแต่งกายแบบชาวเมืองฌ้อก็ยินดี กล่าวว่า อิหยินนิยมเป็นชาวเมืองฌ้อเช่นตน ควรจะเป็นบุตรของตนได้ จึงขอให้ชื่อว่าจูฌ้อ อันก๊กกุ๋นก็ให้อิหยินเปลี่ยนชื่อตามคำนางฮังเอี๋ยงฮุหยิน จูฌ้อก็ทูลว่า
“……ข้าพเจ้ามาได้ครั้งนี้เพราะสติปัญญาลิปุดอุย อุตส่าห์สู้เสียทรัพย์เป็นอันมาก แล้วยกนางจูกี๋ภรรยาที่รักนั้นให้ ลิปุดอุยแก้ไขข้าพเจ้าคืนมาได้ถึงเมือง ดุจหนึ่งตายแล้วเกิดมาใหม่ อันคุณลิปุดอุยอยู่แก่ข้าพเจ้าครั้งนี้มากนัก ขอให้ตั้งลิปุดอุยให้สมความชอบที่มีคุณแก่ข้าพเจ้า…..”
อันก๊กกุ๋นก็สั่งให้หาลิปุดอุยเข้ามาที่ข้างใน แล้วว่า
“……จูฌ้อบุตรของเราตกอยู่ในเมืองเตียว ท่านอุตส่าห์คิดแก้ไข มิได้กลัวความตาย อันคุณของท่านหาที่อุปมามิได้………”
แล้วอันก๊กกุ๋นก็ยกที่นาให้พันไร่ และบ้านที่อยู่อาศัยหนึ่งหลัง ลิปุดอุยก็คำนับลา กลับไป ส่วนจูฌ้อกับนางจูกี๋และจูเจ๋งผู้บุตรนั้น ก็อยู่ในวังของอันก๊กกุ๋น รุ่งขึ้นเวลาเช้าจึงพาคนทั้งหมดเข้าไปเฝ้า
พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องเห็นอิหยินผู้หลาน จึงรับสั่งว่า
“……เจ้าตกไปอยู่กำมือข้าศึก ปู่มีความวิตกถึงเจ้าอยู่เนือง ๆ คิดจะไปตีเมืองเตียว เกลือกจะมีอันตรายแก่ตัวเจ้า จึงงดกองทัพไว้ แกล้งแต่งงูใสให้ถือหนังสือไป จะฟังดูดีและร้าย ซึ่งหนีมาได้เปลื้องทุกข์ปู่ครั้งนี้ยินดีนัก…….”
อิหยินหรือจูฌ้อได้ฟังพระเจ้าปู่ปราศรัยดังนั้น จึงประสานมือคุกเข่าลงคำนับแล้วทูลความ ตั้งแต่ต้นจนลิปุดอุยออกอุบายพาหนี และเจียงยกทัพไปรับตัวมา โดยได้ฆ่านายทหารเมืองเตียว จนกองซุนเขียนต้องแตกหนีไป ให้ทราบทุกประการ
พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องก็ตรัสชมเจียงว่า เป็นผู้มีปัญญาใจกล้าหาญ ลิปุดอุยดีโดยกลอุบาย ทั้งมีความเพียรเป็นอันมาก ควรที่จะชุบเลี้ยง แล้วก็พระราชทานบำเหน็จโดยลำดับ ให้เจียงเป็นแม่ทัพ ให้ลิปุดอุยเป็นขุนนางในตำแหน่งไทจู๊เซียงหู
อยู่มาอีกหลายเดือนไทจู๊เซียงหูก็ไปหานางฮองกั้ว ให้เข้าไปเตือนนางฮัวเอี๋ยง ฮูหยิน เรื่องประกาศให้จูฌ้อเป็นบุตรเลี้ยง นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินก็คอยเฝ้าทูลให้อันก๊กก๋งทำตามที่สัญญาไว้ พอถึงวันดีอันก๊กก๋งจึงออกตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า จูฌ้อบุตรเราตกไปเมืองเตียว ถึงที่ตายแก้ตัวหนีมาได้ นานไปเห็นจะมีวาสนา แต่หามารดามิได้ บัดนี้เรายกให้เป็นบุตรนางฮัวเอี๋ยง ฮูหยินแล้ว
การที่ลิปุดอุยได้คาดหวังไว้ ก็สำเร็จลงตามความคิด แม้จะต้องเสียภรรยาไป แต่บุตรซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ก็จะมีวาสนาสูงต่อไปในภายหน้า สมความปรารถนาทุกประการ แล้วจะรักษายศถาบรรดาศักดิ์ ที่ได้มาด้วยความยากลำบากนี้ไว้ ได้นานสักเพียงใด ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป.
#########
คนดังแผ่นดินจิ๋น ๒๐ ม.ค.๕๗
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
อนที่ ๓ ยอมเสียส่วนน้อย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่ที่บ้านของลิปุดอุย เมื่ออิหยินเคลิ้มในความงามของนางจูกี๋ภรรยาของลิปุดอุย จนกระทำกิริยาล่วงเกินนาง และลิปุดอุยออกมาเห็นเข้า ทำให้นางเกิดความอาย จะเอากระบี่เชือดคอตายนั้น อิหยินก็ตกใจเป็นอันมาก แต่ลิปุดอุยกลับยึดมือนางไว้แล้วพูดว่า
“……..เจ้าอย่าเพิ่งฆ่าตัวตายเสียก่อน ซึ่งรักใคร่กับอิหยิน เราจะยกให้อยู่ด้วยกัน นานไปเมื่อได้ดีแล้วอย่าลืมรา……”
อิหยินก็มีความยินดีนัก จึงว่า
“…….ข้าพเจ้าทำผิดท่านมิได้ถือ กลับยกภรรยาให้ พึ่งเห็นใจท่านครั้งนี้ ถ้าชีวิตข้าพเจ้ายังอยู่ตราบใด คงจะฉลองคุณท่านให้ลือชื่อถึงพันปี……”
ส่วนนางจูกี๋นั้นมิได้ว่าประการใด เพราะอยู่ในปกครองของสามี จะให้ทำประการก็ไม่ขัดขืน เมื่อกองซุนเขียนสร่างเมาและออกมานั่งสนทนาด้วย ลิปุดอุยก็บอกว่า
“…….ทุกวันนี้ข้าพเจ้าวิตกด้วยท่าน เป็นผู้รักษาตัวอิหยินอยู่แต่ผู้เดียว มิรู้ที่จะวางใจ บัดนี้มาพอใจนางจูกี๋ ข้าพเจ้าจะยกให้อยู่ด้วยกัน ท่านจะเห็นประการใด…….”
กองซุนเขียนได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่า
“…….มิเสียทีที่ท่านเป็นชาย มีสติปัญญาซื่อตรงต่อมิตร อันน้ำใจของท่านหาผู้เสมอมิด้ ซึ่งท่านจะอุปถัมภ์อิหยินครั้งนี้ เรายินดีนัก……”
ว่าแล้วกองซุนเขียนก็แก้เอารัดประคดเหลือง ตำแหน่งหลานหลวงที่อิหยินคาดอยู่ ส่งให้ลิปุดอุยไว้เป็นสำคัญ ลิปุดอุยรับไว้แล้วก็ว่าถึงวันดีเมื่อใด ข้าพเจ้าจะพาตัวนางจูกี๋ไปส่งให้ที่ตึกท่าน ครั้นถึงเวลาสองยามเศษ กองซุนเขียนกับอิหยินก็ลาลิปุดอุยกลับไปบ้าน
อีกไม่นานถึงเดือนสิบแรมสิบค่ำเป็นวันดี ลิปุดอุยก็จัดแจงให้นางจูกี๋แต่งตัวสวยงาม นั่งเกวียนพาไปส่งที่บ้านกองซุนเขียน มอบตัวนางจูกี๋ให้อิหยินตามที่ได้ตกลงไว้
อิหยินกับนางจูกี๋ได้อยู่กินกันมาได้สิบเดือน ถึงเดือนแปดข้างขึ้นเป็นวันฤกษ์ดี นางจูกี๋ก็คลอดบุตรเป็นชาย มีลักษณะหน้าผากใหญ่ ดวงตาใหญ่ คิ้วยาวสุดหางตา อิหยินก็รักใคร่ยิ่งนัก ให้คนใช้ไปบอกลิปุดอุยทราบ ลิปุดอุยก็จัดสิ่งของไปให้แก่บุตร ที่บ้านของกองซุนเขียน และตั้งชื่อให้แก่บุตรนั้นว่าเจ๋ง
อยู่มาจวนสิ้นฤดูหนาว ลิปุดอุยก็ให้คนใช้ไปคำนับกองซุนเขียน บอกว่าลิอ๋องบิดาของลิปุดอุย จะขอรับนางจูกี๋กับเจ๋งผู้บุตรไปทำขวัญ และชมเชยสักเจ็ดวันแล้วจะพามาส่งคืน กองซุนเขียนก็ให้บ่าวไพร่ พานางจูกี๋กับบุตรนั่งเกวียนมาส่งที่บ้านลิอ๋อง อยู่มาอีกไม่กี่วันลิปุดอุยก็จัดแจงเก็บทรัพย์สิ่งของใส่หาบคอน ให้บิดากับบ่าวคนสนิทพานางจูกี๋กับบุตรชาย ออกจากบ้านไปในกลางดึกประมาณตีสิบเอ็ด พอรุ่งเช้าประตูเมืองเปิด ก็พากันหนีไปทางเมืองจิ๋น
เมื่อลิปุดอุยส่งบิดากับนางจูกี๋และบุตรไปได้ห้าวันแล้ว ก็ไปหากองซุนเขียนที่บ้าน ขณะที่กองซุนเขียนไปซ้อมทหารอยู่ที่สนาม ก็แอบไปบอกอิหยินว่าตนได้ให้บิดาพานางจูกี๋หนีไปได้ห้าวันแล้ว พอกองซุนเขียนกลับมา ก็ชวนลิปุดอุยกับอิหยินไปชมสวนดอกไม้ แล้วก็เล่นหมากรุกกันที่ศาลาในสวน ลิปุดอุยเล่นแพ้กองซุนเขียนสามกระดาน ครั้นเล่นกับอิหยินก็แพ้อีกสองกระดาน จึงชวนกองซุนเขียนและอิหยินให้ไปเล่นหมากรุก และชมสวนที่บ้านของตนบ้าง ทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง
เช้าวันรุ่งขึ้นกองซุนเขียนกับอิหยิน ก็ขึ้นม้ามาถึงบ้านลิปุดอุยซึ่งอยู่นอกเมือง ทางประมาณร้อยเส้น ลิปุดอุยก็ออกมาต้อนรับคำนับเชิญไปชมดอกไม้ในสวน แล้วก็เข้าไปพักในตึกกลางสวน ตั้งโต๊ะเลี้ยงสุราอาหารอย่างดี กองซุนเขียนเสพสุรา พลางฟังนางขับรำบำเรอที่ลิปุดอุย จ้างมาไว้ต้อนรับ จนถึงเวลาค่ำก็เมาหนัก เข้าไปนอนในห้องที่จัดไว้ให้ พวกบ่าวไพร่ก็พากันหลับไปสิ้น ลิปุดอุยก็พาอิหยินเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ให้เหมือนชาวเมืองฌ้อ เพื่อไม่ให้ชาวเมืองเตียวสงสัย แล้วพากันไปขึ้นม้าฝีเท้าดี ที่ซื้อมาผูกซ่อนไว้ที่ตึกน้อยริมประตูท้ายสวน แล้วทั้งสองกับคนใช้อีกสองคน ก็ขับม้าหนีออกจากเมืองเตียว มุ่งไปเมืองจิ๋นโดยเร็ว
ครั้นถึงเวลาสองยามเศษ กองซุนเขียนเย็นละอองน้ำค้างสร่างเมา ลุกขึ้นก็ตกใจแลไปมิได้เห็นแสงไฟ มืดเงียบสงัด ลิปุดอุยกับอิหยินก็หายไป นึกประหลาดใจจึงปลุกบ่าวไพร่ ให้ช่วยกันหาทั่วทั้งสวนก็มิได้พบ จึงคิดได้ว่าตนหลงกลลิปุดอุยเสียแล้ว ลวงให้ตนมาเสพสุราเมาแล้วก็พากันหนีไป แต่เห็นจะกลับไปรับครอบครัว กองซุนเขียนจึงรีบกลับเข้าเมืองแต่ประตูยังไม่เปิด ต้องรอถึงเช้าตรู่ จึงไปถึงบ้านลิอ๋องก็ไม่พบผู้ใด เพื่อนบ้านบอกว่าลิอ๋องกับนางจูกี๋ไปจากเรือนได้เจ็ดวันแล้ว
กองซุนเขียนจึงแจ้งใจ ในกลอุบายของลิปุดอุยโดยตลอด คิดแค้นใจนักด้วยตนเป็นทหารใหญ่มาหลงกลอ้ายพ่อค้าคนพาล มันพาอิหยินเชลยข้าศึกหนีไปได้ โทษของตนถึงสิ้นชีวิต จะอยู่ไปใยให้อายผู้คน คิดแล้วก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอ คนสนิทก็ยุดมือไว้แล้วว่า เหตุใดท่านจะฆ่าตัวตายเสียก่อน ชอบแต่จะเข้าไปทูลเตียวอ๋องขอไปตามคนโทษ หากไม่ได้ตัวมาและไม่โปรดแล้วจึงค่อยตาย
กองซุนเขียนจึงไปหาหลินเสียงยี่ขุนนางผู้ใหญ่ บอกว่า
“……ลิปุดอุยพาอิหยินหนีไปได้ ข้าพเจ้าขอสติปัญญาท่านเป็นที่พึ่ง…….”
หลินเสียงยี่ก็ว่า
“……อิหยินตกมาอยู่เมืองเตียว ว่างศึกหลายปี ซึ่งอิหยินหนีไปเห็นจะมีศึกมาเป็นมั่นคง จะปิดความไว้มิได้จำจะแจ้งความแก่เตียวอ๋อง…….”
แล้วหลินเสียงยี่ก็พากองซุนเขียนไปเฝ้าเตียวอ๋อง ทูลความว่าอิหยินหนีไปแล้ว เตียวอ๋องก็ถามว่าเหตุประการใดจึงหนีไปได้ กองซุนเขียนก็ก้มหน้าลงคำนับแล้วทูลความ ที่ ลิปุดอุยทำอุบายให้ทราบทุกประการแล้วว่า โทษครั้งนี้ผิดยิ่งนักจะขอติดตามสองคนนั้นมาให้ได้ เตียวอ๋องก็ว่า
“…….เสียแรงเราเลี้ยงเป็นนายทหาร ควรหรือประมาทให้อิหยินหนีไปได้ นานไปเห็นศึกจะมาติดเมืองเรา ครั้งนี้โทษท่านถึงตายอยู่แล้ว ซึ่งอิหยินหนีไปครั้งนี้ ดูทีเจ้าเมืองจิ๋นจะรู้ เห็นจะแต่งทหารให้มาคอยรับเป็นมั่นคง จำจะจัดกองทัพตามไป…….”
หลินเสียงยี่จึงทูลว่า
“…….ลิปุดอุยอิหยินพึ่งหนีไปผู้คนก็น้อย ถึงจะมีกองทัพเมืองจิ๋นมารับเห็นจะยังไม่พบกัน ซึ่งจะให้ยกเป็นกองทัพนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะช้า ขอให้คนใช้ขึ้นม้าเร็วถือหนังสือไปถึง หลีเกซกก่อน ให้จัดคนออกก้าวสกัดลาดตระเวนทุกตำบล จึงจะให้กองซุนเขียนคุมพลห้าพันเป็นกองทัพ ตามไปจับให้จงได้……..”
เตียวอ๋องจึงสั่งให้จัดการตามที่หลินเสียงยี่แนะนำ เมื่อคนใช้ถือหนังสือไปถึง หลีเกซกนายด่าน หลีเกซกอ่านแล้วก็ถอนใจใหญ่ว่า
“…….ลิปุดอุยก็มาหาเราบอกว่าจะกลับเมืองเตียว จึงไม่ทันสังเกต พึ่งไปได้สักครึ่งวันเห็นจะตามทัน ที่ไหนจะหนีพ้น………”
แล้วหลีเกซกก็จัดทหารให้ก้าวสกัดเป็นหลายพวก ส่วนตนเองกับนายทหารรองก็พาทหารสามร้อย รีบตามไปทั้งกลางวันกลางคืน
เมื่อหลีเกซกยกทหารไปถึงแม่น้ำอุยโหนั้น ลิอ๋องกับนางจูกี๋ได้ข้ามแม่น้ำไปหลายวันแล้ว ส่วนลิปุดอุยกับอิหยินเพิ่งข้ามไปพอมองเห็นหลัง แต่เมื่อตามไปก็พบกับเจียงนายทหารของเมืองจิ๋นนำพลมาตั้งรับอยู่ หลีเกซกกับนายรองขับม้าเข้ารบกับเจียงได้สิบสองเพลง ทหารรองก็ถูกเจียงแทงด้วยทวนตกม้าตาย หลีเกซกจึงถอยกลับมาพอดีกองซุนเขียนยกทหารตามมาทัน ก็เข้ารบกับเจียงอีกสิบสี่เพลง แต่ทานฝีมือไม่ไหวต้องถอยหนี เจียงจึงนำทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเตียวล้มตายไปเป็นอันมาก แล้วก็พาลิปุดอุยกับอิหยิน กลับไปถึงเมืองจิ๋นได้โดยตลอดปลอดภัย
ฝ่ายอันก๊กกุ๋นครั้นให้เจียงนำกองทัพไปรอรับอิหยิน ที่ริมฝั่งแม่น้ำอุยโหเมื่อสิ้นฤดูหนาวแล้วนั้น ก็รอคอยฟังข่าวอยู่ ไม่นานนักก็มีทหารของเจียงร้อยหนึ่ง พาลิอ๋องกับนางจูกี๋มาเฝ้า และเล่าความทั้งปวงให้ฟัง อันก๊กอ๋องก็ให้รางวัลแก่ลิอ๋อง และรับนางจูกี๋เข้าไปอยู่ในวัง
ต่อมาอีกเจ็ดแปดวันเจียงกับอิหยิน ก็ยกกองทัพมาถึงเมืองจิ๋นเวลาค่ำ ทั้งสองก็พาลิปุดอุยเข้าเฝ้าอันก๊กกุ๋น แจ้งความตามมีมาแต่หนหลังโดยตลอด อันก๊กกุ๋นก็สรรเสริญเจียงว่า มีฝีมือควรที่จะเป็นแม่ทัพปราบศัตรูในแผ่นดินได้ และก็ขอบใจลิปุดอุยที่ช่วยพาอิหยินมาไม่ทันพ้นกำหนด แล้วก็พาอิหยินเข้าไปในวังชั้นใน ซึ่งนางฮัวเอี๋ยงฮูหยินคอยเฝ้าอยู่
อิหยินก็คำนับนางฮัวเอี๋ยงฮูหยิน นางเห็นอิหยินแต่งกายแบบชาวเมืองฌ้อก็ยินดี กล่าวว่า อิหยินนิยมเป็นชาวเมืองฌ้อเช่นตน ควรจะเป็นบุตรของตนได้ จึงขอให้ชื่อว่าจูฌ้อ อันก๊กกุ๋นก็ให้อิหยินเปลี่ยนชื่อตามคำนางฮังเอี๋ยงฮุหยิน จูฌ้อก็ทูลว่า
“……ข้าพเจ้ามาได้ครั้งนี้เพราะสติปัญญาลิปุดอุย อุตส่าห์สู้เสียทรัพย์เป็นอันมาก แล้วยกนางจูกี๋ภรรยาที่รักนั้นให้ ลิปุดอุยแก้ไขข้าพเจ้าคืนมาได้ถึงเมือง ดุจหนึ่งตายแล้วเกิดมาใหม่ อันคุณลิปุดอุยอยู่แก่ข้าพเจ้าครั้งนี้มากนัก ขอให้ตั้งลิปุดอุยให้สมความชอบที่มีคุณแก่ข้าพเจ้า…..”
อันก๊กกุ๋นก็สั่งให้หาลิปุดอุยเข้ามาที่ข้างใน แล้วว่า
“……จูฌ้อบุตรของเราตกอยู่ในเมืองเตียว ท่านอุตส่าห์คิดแก้ไข มิได้กลัวความตาย อันคุณของท่านหาที่อุปมามิได้………”
แล้วอันก๊กกุ๋นก็ยกที่นาให้พันไร่ และบ้านที่อยู่อาศัยหนึ่งหลัง ลิปุดอุยก็คำนับลา กลับไป ส่วนจูฌ้อกับนางจูกี๋และจูเจ๋งผู้บุตรนั้น ก็อยู่ในวังของอันก๊กกุ๋น รุ่งขึ้นเวลาเช้าจึงพาคนทั้งหมดเข้าไปเฝ้า
พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องเห็นอิหยินผู้หลาน จึงรับสั่งว่า
“……เจ้าตกไปอยู่กำมือข้าศึก ปู่มีความวิตกถึงเจ้าอยู่เนือง ๆ คิดจะไปตีเมืองเตียว เกลือกจะมีอันตรายแก่ตัวเจ้า จึงงดกองทัพไว้ แกล้งแต่งงูใสให้ถือหนังสือไป จะฟังดูดีและร้าย ซึ่งหนีมาได้เปลื้องทุกข์ปู่ครั้งนี้ยินดีนัก…….”
อิหยินหรือจูฌ้อได้ฟังพระเจ้าปู่ปราศรัยดังนั้น จึงประสานมือคุกเข่าลงคำนับแล้วทูลความ ตั้งแต่ต้นจนลิปุดอุยออกอุบายพาหนี และเจียงยกทัพไปรับตัวมา โดยได้ฆ่านายทหารเมืองเตียว จนกองซุนเขียนต้องแตกหนีไป ให้ทราบทุกประการ
พระเจ้าจิ๋นเจี๋ยวอ๋องก็ตรัสชมเจียงว่า เป็นผู้มีปัญญาใจกล้าหาญ ลิปุดอุยดีโดยกลอุบาย ทั้งมีความเพียรเป็นอันมาก ควรที่จะชุบเลี้ยง แล้วก็พระราชทานบำเหน็จโดยลำดับ ให้เจียงเป็นแม่ทัพ ให้ลิปุดอุยเป็นขุนนางในตำแหน่งไทจู๊เซียงหู
อยู่มาอีกหลายเดือนไทจู๊เซียงหูก็ไปหานางฮองกั้ว ให้เข้าไปเตือนนางฮัวเอี๋ยง ฮูหยิน เรื่องประกาศให้จูฌ้อเป็นบุตรเลี้ยง นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินก็คอยเฝ้าทูลให้อันก๊กก๋งทำตามที่สัญญาไว้ พอถึงวันดีอันก๊กก๋งจึงออกตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า จูฌ้อบุตรเราตกไปเมืองเตียว ถึงที่ตายแก้ตัวหนีมาได้ นานไปเห็นจะมีวาสนา แต่หามารดามิได้ บัดนี้เรายกให้เป็นบุตรนางฮัวเอี๋ยง ฮูหยินแล้ว
การที่ลิปุดอุยได้คาดหวังไว้ ก็สำเร็จลงตามความคิด แม้จะต้องเสียภรรยาไป แต่บุตรซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ก็จะมีวาสนาสูงต่อไปในภายหน้า สมความปรารถนาทุกประการ แล้วจะรักษายศถาบรรดาศักดิ์ ที่ได้มาด้วยความยากลำบากนี้ไว้ ได้นานสักเพียงใด ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป.
#########