นางผู้พลิกผันการยุทธ ๑๙ เม.ย.๖๐

เปลี่ยนเป็นวรรณคดีบ้างครับ

สามก๊กฉบับฮูหยิน

นางผู้พลิกผันการยุทธ

"เล่าเซี่ยงชุน"

หลังจากที่ โจโฉ ได้เป็นใหญ่เป็นโตในตำแหน่งมหาอุปราช ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีอำนาจคับฟ้าแล้ว ก็คิดการที่จะปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทั้ง หลายมิให้เป็นเสี้ยนหนามสืบต่อไป ขั้นแรกก็ยุให้ ลิโป้ กับ เล่าปี่ รบกันจนเล่าปี่ต้องเสียเมืองหนีมาอาศัยบารมีโจโฉที่เมืองฮูโต๋

ขั้นต่อไปก็คิดจะไปตีเมืองอ้วนเสีย จึงเอาใจลิโป้โดยตั้งให้เป็น เจ้าพระยาปราบโจรฝ่ายตะวันออก เพื่อไม่ให้คิดร้ายตลบหลังมาตีเมืองฮูโต๋ เรียบร้อยแล้วก็จัดทหารถึงสิบห้าหมื่น ให้ แฮหัวตุ้น กับ อิกิ๋ม เป็นทัพหน้ายกไปตั้งค่ายอยู่ที่แม่น้ำหยกซุยเตรียมเข้าตีเมืองอ้วนเสียอย่างแข็งขัน

ฝ่าย เตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเสียเห็นกองทัพของโจโฉ ยกกันมามากมายเป็นก่ายกอง ก็ขี้เกียจจะสู้รบตบมือด้วยให้เปลืองไพร่พลไปเปล่า ๆ จึงส่งที่ปรึกษาไปเจรจาขออ่อนน้อมต่อโจโฉ แล้วก็เชิญโจโฉเข้าไปพักอยู่ในเมือง

โจโฉก็ยินดีเป็นอันมาก ให้ทหารตั้งค่ายรายเรียงอยู่ใกล้กำแพงเมือง ตนเองกับทหารคนสนิทก็เข้าไปพักหาความสุขสำราญข้างในเมือง แต่งโต๊ะกินเลี้ยงกันอยู่หลายเวลา

วันหนึ่งโจโฉเมาสุราได้ที่ดีแล้วก็เข้านอน แต่ไม่ยอมหลับ จึงถามคนสนิทว่าในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือไม่ โจอันบิ๋น ผู้เป็นหลานจึงบอกว่า

"......เวลาเย็นวันนี้ ข้าพเจ้าไปเที่ยวเล่นเห็นหญิงคนหนึ่งรูปงาม ข้าพเจ้าสืบถามได้เนื้อความว่า เป็นภรรยา เตียวเจ ผู้อาเตียวสิ้ว บัดนี้เตียวเจตายหญิงนั้นเป็นม่ายอยู่....."

โจโฉกำลังกลัดมันหน้ามืดจัด ก็ใช้หลานชายให้ไปติดต่อ ตามตัวมาพบเดี๋ยวนั้นเลย ปรากฎว่าเป็นสาวใหญ่รูปงามก็มีความยินดี จึงถามว่าเจ้าชื่อใด นางก็บอกว่า

"..... ข้าพเจ้าชื่อ เจ๋าซือ เป็นภรรยาเตียวเจผู้ตาย....."

โจโฉก็ถามต่อไปอีกว่า เจ้ารู้จักเราหรือไม่ นางเจ๋าซือจึงบอกว่า

"....ข้าพเจ้ามิได้รู้จักท่าน ได้ยินเขาเล่าลือว่าท่านเป็นมหาอุปราช ซึ่งข้าพเจ้าได้มาพบท่านครั้งนี้ ก็เป็นบุญของข้าพเจ้า....."

โจโฉก็หยอดคารมว่า เพราะเราเห็นแก่เจ้าหรอก จึงได้ยอมรับไมตรีของ เตียวสิ้ว หาไม่เราก็จะฆ่าทั้งตัวเตี้ยวสิ้ว และญาติพี่น้องเสียให้สิ้น นางเจ๋าซือจึงคำนับแล้วว่า

".....ซึ่งมหาอุปราชยกโทษไว้นั้น คุณหาที่สุดมิได้....."

โจโฉจึงว่า เราจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นภรรยา แล้วจะพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ด้วยกันที่เมืองฮูโต๋เจ้าจะคิดอย่างไร นางก็ว่า

".....ทั้งนี้ตามแต่ท่านจะเมตตา...."

โจโฉก็พานางเข้าไปนอนอยู่ด้วยกันจนตลอดคืน จนถึงเวลาเช้า นางเจ๋าซือก็ปรารภว่า

"...ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้ ความครหานินทาก็จะมีเป็นอันมาก ประการหนึ่งเตียวสิ้วรู้ก็จะมีความแหนงท่าน....."

โจโฉก็เห็นชอบด้วย จึงพาม่ายสาวเจ้าเสน่ห์ ออกไปอยู่ในค่ายทหารนอกเมืองเป็นเอกเทศ แล้วให้ เตียนอุย นายทหารองครักษ์เฝ้าประตูไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้ามายุ่งเกี่ยว นอกจากจะได้รับการอนุญาตจากโจโฉเอง จากนั้นก็ขลุกขลุ่ยทำการบ้านอยู่แต่ในที่พัก ไม่เป็นอันออกว่าราชการงานเมืองแต่อย่างใด แล้วก็ไม่คิดจะกลับไปเมืองฮูโต๋ด้วย

เตียวสิ้วนั้นพอรู้เรื่องจากที่ปรึกษาว่า โจโฉดอดมาเด็ดเอาอาสะใภ้ไปเชยชมเสียแล้วก็น้อยใจนัก คิดจะแก้แค้นให้จงได้ จึงออกไปคำนับโจโฉที่ค่ายแล้วเพทุบายว่า ทหารของตนซึ่งเกณฑ์มาใหม่นั้น ส่วนมากชอบหลบหนีจากกองทัพอยู่บ่อย ๆ จะขอพึ่งบารมีของท่าน โดยยกมาตั้งค่ายแทรกอยู่ระหว่างค่ายทหารฮูโต๋ เพื่อป้องกันมิให้ทหารหลบหนีได้

โจโฉก็ไม่ขัดข้อง เตียวสิ้วก็ให้ทหารของตนตั้งค่ายอยู่ตามมุมค่ายโจโฉทั้งสี่ด้าน จากนั้นเตียวสิ้วก็ปรึกษากับทหารเอกชื่อ เฮาเฉีย ซึ่งเป็นผู้มีกำลังมากพอที่จะแบกเหล็กได้ถึงห้าร้อยชั่ง เดินทางด้วยเท้าได้วันละเจ็ดพันเส้น เฮาเฉียก็บอกว่าไม่ยาก

"....ขอให้คิดอ่านเอาทวนสองเล่มซึ่งเตียนอุยถืออยู่นั้นมาเสียให้ได้แล้ว ถึงเตียนอุยจะ มีกำลังสักเท่าใด ข้าพเจ้าก็จะสู้ได้..."

เตียวสิ้วก็สั่งทหารของตน ที่ตั้งค่ายแทรกอยู่ระหว่างค่ายของโจโฉทั้งสี่ค่ายให้เตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก เมื่อได้รับสัญญาณให้ยกเข้าปล้นค่ายโจโฉพร้อมกัน แล้วก็ชวนเตียนอุยมากินโต๊ะเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างทหารทั้งสองเมือง

พอเตียนอุยรู้สึกตัวว่าชักเมาก็ลากลับไปรักษาหน้าที่เลยนอนหลับอยู่หน้าค่ายพักของโจโฉนั่นเอง

เฮาเฉียก็ย่องเข้าไปหยิบฉวยเอาทวนคู่มือของเตียนอุยสองเล่ม หนักเล่มละแปดสิบชั่งนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย แล้วก็ให้สัญญาณเข้าตีค่ายโจโฉ พร้อมทั้งวางเพลิงขึ้นรอบค่าย

ฝ่ายโจโฉกำลังเสพสุราเพลิดเพลินอยู่ด้วยกันกับนางเจ๋าซือ ก็ตกใจวิ่งออกมาเรียกหาเตียนอุยให้ช่วย เตียนอุยตื่นลุกพรวดพราดขึ้นมา ไม่ทันได้ใส่เกราะ ข้าศึกก็เข้าถึงตัว หาทวนคู่มือก็ไม่พบ จึงคว้าดาบของทหารเลวเข้าตลุมบอน ฆ่าฟันทหารข้าศึกที่กลุ้มรุมเข้ามา ตายไปยี่สิบกว่าคน จนต้องแตกถอยไปตั้งหลัก แล้วก็รวบรวมกันเข้ามาใหม่อีก

ทหารของเตียวสิ้วที่บุกเข้ามาจะจับโจโฉนั้น มีจำนวนมากมายจนฆ่าไม่ทัน เตียนอุยตัวคนเดียวจึงถูกรุมฟันแทงจนบาดแผลเปรอะไปทั้งตัว ดาบก็หักสบั้นคามือ แต่ก็ยังไม่ยอมจำนน กลับใช้พละกำลังอันมหาศาลของตน ฉวยเอาศพทหารข้าศึกมือละคน ฟาดถูกพวกเดียวกัน ตายไปอีกร่วมสิบคน ข้าศึกเห็นท่าไม่ดีก็ถอยห่าง แล้วระดมยิงเกาทัณฑ์ปักติดเต็มตัวเตียนอุย บ้างก็แอบเข้าข้างหลังแทงด้วยทวนหลายเล่ม จนเตียนอุยกระอักเลือดยืนพิงประตูค่ายสิ้นใจตายอยู่ โดยไม่มีใครรู้ เพราะต่างก็ขยาดฝีมือและความบ้าบิ่นเกินคนของเขา จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้

ในขณะเดียวกันนั้นเอง โจโฉก็แหวกวงล้อมออกทางด้านหลัง ขึ้นม้าหนีไปกับ โจอันบิ๋นและทหารติดตามประมาณสิบคน ทหารของเตียวสิ้วตีค่ายทหารโจโฉแตกแล้ว ก็ พากันยกขบวนติดตามไปจนทัน ต่างก็ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ถูกโจอันบิ๋นตกม้าตาย โจโฉเองก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าดอกหนึ่ง ส่วนม้านั้นโดนเข้าไปสามดอกก็ยังไม่ล้ม

จนถึงริมฝั่งแม่น้ำหยกซุย ม้าโดนเกาทัณฑ์ซ้ำเข้าที่ลูกตา จึงล้มตึงลงตายคาที่ โจงั่ง ลูกชายคนโตของโจโฉจึงเอาม้าให้บิดาขี่ไป ส่วนตนเองหนีไม่พ้นโดนลูกเกาทัณฑ์ ตายอยู่ริมฝั่งน้ำนั้นเอง

อิกิ๋ม กับ แฮหัวตุ้น สองนายทหารเอกของโจโฉที่เป็นทัพหน้าก็แตกคอจะฆ่าฟันกันเอง อิกิ๋มนั้นตั้งค่ายต้านทานทหารของเตียวสิ้วไว้ได้ จนโจโฉกับทหารที่หนีมาสมทบด้วย แล้วช่วยกันตีข้าศึกแตกกระจายไปจนหมด โจโฉจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

สรุปแล้ว โจโฉซึ่งสามารถได้เมืองอ้วนเสียอย่างง่ายดายไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อไพร่พลแม้แต่น้อยในครั้งแรก กลับต้องแตกกระเจิงออกไปอย่างไม่เป็นขบวน พร้อมกับทิ้งชีวิตของโจงั่งลูกชาย และโจอันบิ๋นหลานชาย รวมทั้งทหารเลวอีกนับสิบหมื่นไว้เป็นเครื่องสังเวยให้กับความลุ่มหลงในกามสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงไม่กี่ราตรี และที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ต้องสูญเสีย เตียนอุย ทหารเอกผู้จงรักภักดี ซึ่งเป็นกำลังอันเข้มแข้ง ในการศึกหลายครั้งหลายคราว ไปอย่างน่าเสียดาย นับเป็นการพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีอะไรคุ้มค่าเลย

ส่วนตัวนาง เจ๋าซือ นั้น เมื่อโจโฉแตกทัพไปแล้วก็ไม่ปรากฎว่าเป็นตายร้ายดี ประการใด คงหายจากหน้าหนังสือสามก๊กไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีการเอ่ยถึงอีกเลย.

##########

วารสาร ฟ้าหม่น
กันยายน ๒๕๓๕
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่