คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องธรรมดาๆของธรรมชาติ ที่มีเหตุผล และมีความจริงที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบันรองรับ
แต่ว่าคนทั่วไปมักเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งมหัศจรรย์ คือเชื่อว่ามีสิ่งที่ไม่ธรรมดา ที่เหนือเหตุเหนือผล ที่ลึกลับ ที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ ซึ่งก็ได้แก่พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ คาถาอาคม โชคลาง ดวงชะตาราศรี และผู้วิเศษ รวมทั้งเรื่องอัตตาที่เวียนว่ายตายเกิดได้ เรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นด้วย ซึ่งเรื่องพวกนี้ล้วนจัดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือไม่ใช่สิ่งธรรมดาที่จะใช้เหตุผลมาอธิบายได้ แม้จะไม่มีของจริงมายืนยันก็ตาม
เมื่อมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติครอบงำจิตมาตั้งแต่เด็กเสียแล้ว จึงทำให้เชื่อว่าเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้นี้มันต่ำต้อย ไม่ใช่ความจริงสูงสุด เพราะเชื่อว่ามันมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เหนือกว่าสิ่งธรรมดาอยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเหนือธรรมดานี้เองที่ทำให้ปิดบังการเห็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงแท้ของธรรมชาติ
เพราะความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นมันก็เป็นสิ่งธรรมดาๆที่เราทุกคนสามารถรู้ได้ เข้าใจได้ และเห็นแจ้งได้ เช่น เรื่องจิตที่เป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากร่างกายและความทรงจำ ที่จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีร่างกายและความทรงจำมาทำหน้าที่ปรุงแต่งร่วมกัน แต่ถ้าไม่มีความทรงจำก็เกิดจิตที่ไม่สมบูรณ์ ที่คิดนึกไม่ได้ หรือถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่มีจิต และจิตนี้ก็ไม่สามารถที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ หรือไม่สามารถจะดับที่ร่างกายนี้แล้วไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้ ซึ่งนี่คือสัจจธรรมหรือความจริงแท้ของธรรมชาติที่เราทุกคนสามารถเข้าใจและเห็นแจ้งได้
แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ เช่น เรื่องจิตเป็นอัตตาที่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้ สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ หรือสามารถที่จะดับที่ร่างกายนี้แล้วไปเกิดใหม่ยังร่างกายใหม่ได้ รวมทั้งเรื่องเรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นด้วย จึงทำให้ไม่เชือว่าสิ่งธรรมดานั้นคือความจริงแท้หรือความจริงสูงสุดของธรรมชาติ เพราะเชื่อว่ายังมีสิ่งลึกลับที่จริงแท้ยิ่งกว่านี้อยู่อีก จึงทำให้มองข้ามสัจจธรรมแล้วไปคิดเพ้อฝันว่าจะมีสิ่งเหนือสัจจธรรม แล้วก็เลยทำให้จมอยู่กับความเพ้อฝันโดยไม่เห็นสัจจธรรม และก็จะไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปจนตายอีกด้วย
สรุปได้ว่า ถ้าใครยังมีความเชื่อเรื่องอัตตาเวียนว่ายตาย-เกิด และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นอยู่ ก็จะไม่เห็นสัจจธรรมหรือไม่มีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะความเชื่อพวกนี้จัดเป็นสักกายทิฎฐิ (ความเห็นผิดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอมตะอยู่ในร่างกายของเรานี้) ที่เป็นสังโยชน์หยาบๆตัวแรก ที่ผูกจิตของมนุษย์เอาไว้ในความทุกข์ ต่อเมื่อกลับมาหาความจริง คือยอมรับสิ่งธรรมดาที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ อธิบายด้วยเหตุผลได้ ก็จะมีโอกาสเห็นสัจจธรรมหรือมีดวงตาเห็มธรรมได้ และหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
ถ้าเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็จะไม่เห็นสัจจธรรม
แต่ว่าคนทั่วไปมักเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งมหัศจรรย์ คือเชื่อว่ามีสิ่งที่ไม่ธรรมดา ที่เหนือเหตุเหนือผล ที่ลึกลับ ที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ ซึ่งก็ได้แก่พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ คาถาอาคม โชคลาง ดวงชะตาราศรี และผู้วิเศษ รวมทั้งเรื่องอัตตาที่เวียนว่ายตายเกิดได้ เรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นด้วย ซึ่งเรื่องพวกนี้ล้วนจัดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือไม่ใช่สิ่งธรรมดาที่จะใช้เหตุผลมาอธิบายได้ แม้จะไม่มีของจริงมายืนยันก็ตาม
เมื่อมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติครอบงำจิตมาตั้งแต่เด็กเสียแล้ว จึงทำให้เชื่อว่าเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้นี้มันต่ำต้อย ไม่ใช่ความจริงสูงสุด เพราะเชื่อว่ามันมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เหนือกว่าสิ่งธรรมดาอยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเหนือธรรมดานี้เองที่ทำให้ปิดบังการเห็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงแท้ของธรรมชาติ
เพราะความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นมันก็เป็นสิ่งธรรมดาๆที่เราทุกคนสามารถรู้ได้ เข้าใจได้ และเห็นแจ้งได้ เช่น เรื่องจิตที่เป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากร่างกายและความทรงจำ ที่จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีร่างกายและความทรงจำมาทำหน้าที่ปรุงแต่งร่วมกัน แต่ถ้าไม่มีความทรงจำก็เกิดจิตที่ไม่สมบูรณ์ ที่คิดนึกไม่ได้ หรือถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่มีจิต และจิตนี้ก็ไม่สามารถที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ หรือไม่สามารถจะดับที่ร่างกายนี้แล้วไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้ ซึ่งนี่คือสัจจธรรมหรือความจริงแท้ของธรรมชาติที่เราทุกคนสามารถเข้าใจและเห็นแจ้งได้
แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ เช่น เรื่องจิตเป็นอัตตาที่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้ สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ หรือสามารถที่จะดับที่ร่างกายนี้แล้วไปเกิดใหม่ยังร่างกายใหม่ได้ รวมทั้งเรื่องเรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นด้วย จึงทำให้ไม่เชือว่าสิ่งธรรมดานั้นคือความจริงแท้หรือความจริงสูงสุดของธรรมชาติ เพราะเชื่อว่ายังมีสิ่งลึกลับที่จริงแท้ยิ่งกว่านี้อยู่อีก จึงทำให้มองข้ามสัจจธรรมแล้วไปคิดเพ้อฝันว่าจะมีสิ่งเหนือสัจจธรรม แล้วก็เลยทำให้จมอยู่กับความเพ้อฝันโดยไม่เห็นสัจจธรรม และก็จะไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปจนตายอีกด้วย
สรุปได้ว่า ถ้าใครยังมีความเชื่อเรื่องอัตตาเวียนว่ายตาย-เกิด และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นอยู่ ก็จะไม่เห็นสัจจธรรมหรือไม่มีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะความเชื่อพวกนี้จัดเป็นสักกายทิฎฐิ (ความเห็นผิดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอมตะอยู่ในร่างกายของเรานี้) ที่เป็นสังโยชน์หยาบๆตัวแรก ที่ผูกจิตของมนุษย์เอาไว้ในความทุกข์ ต่อเมื่อกลับมาหาความจริง คือยอมรับสิ่งธรรมดาที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ อธิบายด้วยเหตุผลได้ ก็จะมีโอกาสเห็นสัจจธรรมหรือมีดวงตาเห็มธรรมได้ และหลุดพ้นจากความทุกข์ได้