ลัทธิของครูทั้ง 6 จัดว่าเป็นลัทธิร่วมสมัยพุทธกาล มีหลักฐานปรากฏในสามัญผลสูตรที่กล่าวถึงครูทั้ง 6 ว่า...
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าพิมพิสารผู้ราชบิดาอยู่มาวันหนึ่งทรงมีความประสงค์จะสนทนากับสมณพราหมณ์ ในปัญหาเรื่องการบวชมีผลเป็นที่ประจักษ์อย่างไร ได้เสด็จถามปัญหาดังกล่าวกับครูทั้ง 6 และได้รับคำตอบไม่เป็นที่พอพระทัย เพราะเป็นการถามปัญหาอย่างหนึ่งและตอบเสียอีกอย่างหนึ่ง ทรงนำคำตอบในลัทธิของครูทั้ง 6 มาตรัสเล่าถวายพระพุทธเจ้า ข้อความพิสดารมีปรากฏในสามัญญผลสูตร ครูทั้ง 6 นั้นมีนามปรากฏ ดังนี้ คือ
1. ปูรณกัสสปะ
2. มักขลิโคศาล
3. อชิตเกสกัมพล
4. ปกุธกัจจายนะ
5. สญชัยเวลัฏฐบุตร
6. นิครนถนาฏบุตร
--->> 1. ทรรศนะของปูรณกัสสปะ
ปูรณกัสสปะ เป็นเจ้าลัทธิเก่าแก่ผู้หนึ่ง มีความเห็นว่า วิญญาณเป็นสิ่งไร้กัมมันตภาพเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายนี้เองเป็นเจ้าของพฤติกรรม วิญญาณไม่เกี่ยวข้องกับกรรมดีกรรมชั่วที่ร่างกายทำ แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไร้เจตนา ดังนั้น เมื่อร่างกายทำสิ่งใด ๆ ลงไป จึงไม่จัดเป็นบุญบาปแต่อย่างใด บุคคลไม่จัดว่าได้ทำบุญเมื่อให้ทาน เป็นต้น และไม่จัดว่าได้ทำบาป เมื่อฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม หรือพูดปด
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของปูรณกัสสปะว่า “อกิริยวาท ” แปลว่า “กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ”
เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธพลังงาน ปฏิเสธกรรมไปด้วยพร้อมกัน ผู้มีทรรศนะดังกล่าวนี้เรียกว่า “อกิริยวาที” แปลว่า “ผู้กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ” ขัดแย้งกับหลักกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพระพระพุทธศาสนาสอนหลักกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว และถือว่าเป็นหลักเหตุผลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
**************************************************************************
--->> 2. ทรรศนะของมักขลิโคศาล
กล่าวกันว่า มักขลิโคศาลเป็นเจ้าลัทธิฝ่าย อาชีวก วันหนึ่งเห็นต้นข้าวที่คนเหยียบย่ำแล้วกลับงอกงามขึ้นมาอีก จึงเกิดความคิดว่า “สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้ว จะต้องกลับมีวิญญาณขึ้นมาอีก ไม่ตายไม่สลาย” และถือว่า “สัตว์ทั้งหลายขึ้นอยู่กับกระบวนการที่ได้กำหนดไว้แล้ว” กระบวนการดังกล่าว เริ่มต้นจากระดับต่ำสุดไปหาจุดหมายที่สูงสุด เป็นกระบวนการที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับความร้อนมีระดับต่ำเป็นน้ำแข็ง และมีระดับสูงเป็นไฟ
มักขลิโคศาลปฏิเสธกรรมและพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย สัตว์ทั้งหลายไม่ต้องทำความเพียร และไม่ต้องทำความดีเพื่ออะไร เพราะการบรรลุโมกษะไม่ได้สำเร็จด้วยความเพียรหรือด้วยกรรมใด ๆ สัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดจากภพสู่ภพไปโดยลำดับ เมื่อถึงภพสุดท้ายก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เอง ความบริสุทธิ์ประเภทนี้เรียกว่า “สังสารสุทธิ” คือความบริสุทธิ์ที่ได้จากการเวียนว่ายตายเกิด กระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ เช่นเดียวกับการคลี่เส้นด้ายออกจากกลุ่ม เมื่อจับปลายเส้นด้ายด้านนอกแล้วปากกลุ่มด้ายไป กลุ่มด้ายจะคลี่ออกจนถึงปลายด้านใน ปลายสุดด้านในของเส้นด้ายนั่นเอง เปรียบเหมือนความบริสุทธิ์ของสัตว์ หรือที่เรียกว่าโมกษะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหนึ่ง ๆ เป็นเรื่องของการโชคดีและเคราะห์ร้าย ไม่เกี่ยวกับกรรมดีและกรรมชั่วแต่อย่างใด สัตว์ประเภทอื่น ๆ จะเข้าถึงโมกษะได้ จำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของมักขลิโคศาลว่า “อเหตุกวาทะ” คือกล่าวว่า “ความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์ของสัตว์ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ” ทรรศนะของมักขลิโคศาลจัดเป็นอกิริยาวาทด้วย เพราะเป็นการปฏิเสธกรรมและผลของกรรมอยู่แล้วด้วย ทั้งยังเป็นอวิริยวาทด้วย เพราะปฏิเสธพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งไร้ผลด้วย
**************************************************************************
--->> 3. ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล
ทรรศนะของอชิตเกสัมพล ตรงกับปรัชญาในยุคหลังคือวัตถุนิยม เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชาติหน้า ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ปฏิเสธกรรมดีกรรมชั่ว ปฏิเสธพิธีกรรมทางศาสนาว่าไร้ผล ปฏิเสธความสมบูรณ์ทางจิต ไม่มีใครทำดีไม่มีใครทำชั่ว เพราะสัตว์ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงไม่มีสัตว์ใด ๆ คงมีแต่กลุ่มธาตุ ชาตินี้ของสัตว์สิ้นสุดลงที่การตาย ไม่มีอะไรเหลืออีกหลังจากตาย
ธาตุทั้งหลายเหล่านั้นทำหน้าที่ผลิตวิญญาณขึ้นมา เมื่อธาตุเหล่านั้นแยกจากกันสัตว์ก็สิ้นสุดกันแค่นั้น ไม่มีความดีความชั่ว ไม่มีโลกหน้าชาติหน้าต่อไปอีก ไม่มีสวรรค์หรือโลกทิพย์ที่ไหนอีก ไม่มีพระเจ้า โลกนี้ดำรงอยู่โดยตัวเอง วิญญาณและเจตนาของสัตว์เกิดจากธาตุ เช่นเดียวกับสุราที่เกิดจากการหมักดองเครื่องปรุง เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงที่ความตายจึงไม่จำเป็นต้องทำบุญเพื่อเป็นเสบียงไปชาติหน้า ทรรศนะนี้ปฏิเสธคัมภีร์พระเวทอย่างรุนแรง เป็นทรรศนะที่ชี้แนะว่า สัตว์จะแสวงหาความสุขแก่ตนด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้ ไม่ต้องทำสิ่งที่เคยเชื่อกันมาว่าจะอำนวยความสุขในชาติหน้า เพราะวิญญาณคือร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะนี้ว่า “นัตถิกวาท” แปลว่า “กล่าวว่าไม่มีสัตว์บุคคล”
ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล ตรงกับปรัชญาจารวากหรือวัตถุนิยม ยอมรับค่านิยมทางกามสุขเท่านั้น ไม่มีค่านิยมใด ๆ อีกที่เหมาะสมของมนุษย์ จึงเป็นทรรศนะที่ถูกตำหนิจากปรัชญาอื่นอย่างมาก
**************************************************************************
คำอธิบายสามัญญผลสูตรกล่าวว่า เจ้าลัทธิทั้ง 3 ดังกล่าวแล้วนั้น
--> ปูรณกัสปะกล่าวว่า เมื่อบุคคลทำบาป ไม่ชื่อว่าเป็นทำบาป จัดว่าเป็นการปฏิเสธกรรม
--> เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายตายแล้วหมดสิ้นกัน ไม่มีอะไรไปเกิดอีก จัดว่าเป็นการปฏิเสธผลของกรรม
--> เจ้าของลัทธิมักขลิโคศาลกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เศร้าหมองเองมีความบริสุทธิ์ได้เอง จัดว่าเป็นการปฏิเสธทั้งกรรมและผลของกรรม
เจ้าลัทธิปูรณกัสสะปะแม้ปฏิเสธแต่กรรม ก็จัดว่าปฏิเสธผลของกรรมไปด้วย
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลเมื่อปฏิเสธผลของกรรมก็เป็นการปฏิเสธกรรมไปด้วยแล้ว
เพราะฉะนั้น โดยความหมายแล้ว เจ้าลัทธิทั้ง 3 จัดว่าเป็นทั้ง อกิริยาวาทอเหตุ และนัตถิกวาท เหมือน ๆ กัน เพราะปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม
-->> ฏีกาสามัญญผลสูตรกล่าวว่า...
เจ้าลัทธิปูรณกัสสปะจัดว่าปฏิเสธกรรม เพราะกล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลจัดว่าปฏิเสธผลกรรม เพราะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่อไป
เจ้าลัทธิมักขลิโคศาลจัดว่าปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม เพราะเมื่อทำการปฏิเสธเหตุก็เท่ากับปฏิเสธผลไปด้วยกัน เมื่อปฏิเสธเหตุของความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์ ก็เป็นการปฏิเสธผลกรรมเสียแล้วด้วย เมื่อกรรมไม่มีผลกรรมก็ต้องไม่มีด้วย หรือเมื่อผลกรรมไม่มี ก็ต้องสืบเนื่องมาจากกรรมไม่มี
-->> คำอธิบายคัมภีร์ เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย กล่าวว่า...
มิจฉาทิฐิบางอย่างห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
บางอย่าง ห้ามแต่มรรคอย่างเดียว ไม่ห้ามสวรรค์
บางอย่างไม่ห้ามทั้งมรรค และสวรรค์
มิจฉาทิฐิ 3 อย่างคือ
อกิริยทิฐิ และ นัตถิกทิฐิ ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
มิจฉาทิฐิถึงที่สุด 10 อย่าง คือการยึดถือว่า โลกเที่ยง เป็นต้น จัดว่าห้ามแต่มรรคอย่างเดียว เป็นความเห็นที่วิปริตจากทางของมรรค แต่ไม่ห้ามสวรรค์เพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ
ส่วนสักกายทิฐิ 20 มีเห็นรูปว่าเป็นตน เห็นตนว่าเป็นรูป เห็นตนในรูป เป็นต้น เป็นการเห็นลักษณะ 4 อย่างในขันธ์ 5 รวมเป็น 20 ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรคเพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ และเมื่อเกิดความรู้จัดแจ้งตามเป็นจริง ก็บรรลุมรรคผลได้
มีความเชื่ออย่างไร จึงเป็เหตุให้เข้าถึงทั้งสวรรค์และมรรคผลนิพพานได้..?
ลัทธิของครูทั้ง 6 จัดว่าเป็นลัทธิร่วมสมัยพุทธกาล มีหลักฐานปรากฏในสามัญผลสูตรที่กล่าวถึงครูทั้ง 6 ว่า...
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าพิมพิสารผู้ราชบิดาอยู่มาวันหนึ่งทรงมีความประสงค์จะสนทนากับสมณพราหมณ์ ในปัญหาเรื่องการบวชมีผลเป็นที่ประจักษ์อย่างไร ได้เสด็จถามปัญหาดังกล่าวกับครูทั้ง 6 และได้รับคำตอบไม่เป็นที่พอพระทัย เพราะเป็นการถามปัญหาอย่างหนึ่งและตอบเสียอีกอย่างหนึ่ง ทรงนำคำตอบในลัทธิของครูทั้ง 6 มาตรัสเล่าถวายพระพุทธเจ้า ข้อความพิสดารมีปรากฏในสามัญญผลสูตร ครูทั้ง 6 นั้นมีนามปรากฏ ดังนี้ คือ
1. ปูรณกัสสปะ
2. มักขลิโคศาล
3. อชิตเกสกัมพล
4. ปกุธกัจจายนะ
5. สญชัยเวลัฏฐบุตร
6. นิครนถนาฏบุตร
--->> 1. ทรรศนะของปูรณกัสสปะ
ปูรณกัสสปะ เป็นเจ้าลัทธิเก่าแก่ผู้หนึ่ง มีความเห็นว่า วิญญาณเป็นสิ่งไร้กัมมันตภาพเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายนี้เองเป็นเจ้าของพฤติกรรม วิญญาณไม่เกี่ยวข้องกับกรรมดีกรรมชั่วที่ร่างกายทำ แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไร้เจตนา ดังนั้น เมื่อร่างกายทำสิ่งใด ๆ ลงไป จึงไม่จัดเป็นบุญบาปแต่อย่างใด บุคคลไม่จัดว่าได้ทำบุญเมื่อให้ทาน เป็นต้น และไม่จัดว่าได้ทำบาป เมื่อฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม หรือพูดปด
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของปูรณกัสสปะว่า “อกิริยวาท ” แปลว่า “กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ”
เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธพลังงาน ปฏิเสธกรรมไปด้วยพร้อมกัน ผู้มีทรรศนะดังกล่าวนี้เรียกว่า “อกิริยวาที” แปลว่า “ผู้กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ” ขัดแย้งกับหลักกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพระพระพุทธศาสนาสอนหลักกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว และถือว่าเป็นหลักเหตุผลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
**************************************************************************
--->> 2. ทรรศนะของมักขลิโคศาล
กล่าวกันว่า มักขลิโคศาลเป็นเจ้าลัทธิฝ่าย อาชีวก วันหนึ่งเห็นต้นข้าวที่คนเหยียบย่ำแล้วกลับงอกงามขึ้นมาอีก จึงเกิดความคิดว่า “สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้ว จะต้องกลับมีวิญญาณขึ้นมาอีก ไม่ตายไม่สลาย” และถือว่า “สัตว์ทั้งหลายขึ้นอยู่กับกระบวนการที่ได้กำหนดไว้แล้ว” กระบวนการดังกล่าว เริ่มต้นจากระดับต่ำสุดไปหาจุดหมายที่สูงสุด เป็นกระบวนการที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับความร้อนมีระดับต่ำเป็นน้ำแข็ง และมีระดับสูงเป็นไฟ
มักขลิโคศาลปฏิเสธกรรมและพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย สัตว์ทั้งหลายไม่ต้องทำความเพียร และไม่ต้องทำความดีเพื่ออะไร เพราะการบรรลุโมกษะไม่ได้สำเร็จด้วยความเพียรหรือด้วยกรรมใด ๆ สัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดจากภพสู่ภพไปโดยลำดับ เมื่อถึงภพสุดท้ายก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เอง ความบริสุทธิ์ประเภทนี้เรียกว่า “สังสารสุทธิ” คือความบริสุทธิ์ที่ได้จากการเวียนว่ายตายเกิด กระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ เช่นเดียวกับการคลี่เส้นด้ายออกจากกลุ่ม เมื่อจับปลายเส้นด้ายด้านนอกแล้วปากกลุ่มด้ายไป กลุ่มด้ายจะคลี่ออกจนถึงปลายด้านใน ปลายสุดด้านในของเส้นด้ายนั่นเอง เปรียบเหมือนความบริสุทธิ์ของสัตว์ หรือที่เรียกว่าโมกษะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหนึ่ง ๆ เป็นเรื่องของการโชคดีและเคราะห์ร้าย ไม่เกี่ยวกับกรรมดีและกรรมชั่วแต่อย่างใด สัตว์ประเภทอื่น ๆ จะเข้าถึงโมกษะได้ จำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของมักขลิโคศาลว่า “อเหตุกวาทะ” คือกล่าวว่า “ความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์ของสัตว์ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ” ทรรศนะของมักขลิโคศาลจัดเป็นอกิริยาวาทด้วย เพราะเป็นการปฏิเสธกรรมและผลของกรรมอยู่แล้วด้วย ทั้งยังเป็นอวิริยวาทด้วย เพราะปฏิเสธพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งไร้ผลด้วย
**************************************************************************
--->> 3. ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล
ทรรศนะของอชิตเกสัมพล ตรงกับปรัชญาในยุคหลังคือวัตถุนิยม เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชาติหน้า ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ปฏิเสธกรรมดีกรรมชั่ว ปฏิเสธพิธีกรรมทางศาสนาว่าไร้ผล ปฏิเสธความสมบูรณ์ทางจิต ไม่มีใครทำดีไม่มีใครทำชั่ว เพราะสัตว์ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงไม่มีสัตว์ใด ๆ คงมีแต่กลุ่มธาตุ ชาตินี้ของสัตว์สิ้นสุดลงที่การตาย ไม่มีอะไรเหลืออีกหลังจากตาย
ธาตุทั้งหลายเหล่านั้นทำหน้าที่ผลิตวิญญาณขึ้นมา เมื่อธาตุเหล่านั้นแยกจากกันสัตว์ก็สิ้นสุดกันแค่นั้น ไม่มีความดีความชั่ว ไม่มีโลกหน้าชาติหน้าต่อไปอีก ไม่มีสวรรค์หรือโลกทิพย์ที่ไหนอีก ไม่มีพระเจ้า โลกนี้ดำรงอยู่โดยตัวเอง วิญญาณและเจตนาของสัตว์เกิดจากธาตุ เช่นเดียวกับสุราที่เกิดจากการหมักดองเครื่องปรุง เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงที่ความตายจึงไม่จำเป็นต้องทำบุญเพื่อเป็นเสบียงไปชาติหน้า ทรรศนะนี้ปฏิเสธคัมภีร์พระเวทอย่างรุนแรง เป็นทรรศนะที่ชี้แนะว่า สัตว์จะแสวงหาความสุขแก่ตนด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้ ไม่ต้องทำสิ่งที่เคยเชื่อกันมาว่าจะอำนวยความสุขในชาติหน้า เพราะวิญญาณคือร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะนี้ว่า “นัตถิกวาท” แปลว่า “กล่าวว่าไม่มีสัตว์บุคคล”
ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล ตรงกับปรัชญาจารวากหรือวัตถุนิยม ยอมรับค่านิยมทางกามสุขเท่านั้น ไม่มีค่านิยมใด ๆ อีกที่เหมาะสมของมนุษย์ จึงเป็นทรรศนะที่ถูกตำหนิจากปรัชญาอื่นอย่างมาก
**************************************************************************
คำอธิบายสามัญญผลสูตรกล่าวว่า เจ้าลัทธิทั้ง 3 ดังกล่าวแล้วนั้น
--> ปูรณกัสปะกล่าวว่า เมื่อบุคคลทำบาป ไม่ชื่อว่าเป็นทำบาป จัดว่าเป็นการปฏิเสธกรรม
--> เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายตายแล้วหมดสิ้นกัน ไม่มีอะไรไปเกิดอีก จัดว่าเป็นการปฏิเสธผลของกรรม
--> เจ้าของลัทธิมักขลิโคศาลกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เศร้าหมองเองมีความบริสุทธิ์ได้เอง จัดว่าเป็นการปฏิเสธทั้งกรรมและผลของกรรม
เจ้าลัทธิปูรณกัสสะปะแม้ปฏิเสธแต่กรรม ก็จัดว่าปฏิเสธผลของกรรมไปด้วย
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลเมื่อปฏิเสธผลของกรรมก็เป็นการปฏิเสธกรรมไปด้วยแล้ว
เพราะฉะนั้น โดยความหมายแล้ว เจ้าลัทธิทั้ง 3 จัดว่าเป็นทั้ง อกิริยาวาทอเหตุ และนัตถิกวาท เหมือน ๆ กัน เพราะปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม
-->> ฏีกาสามัญญผลสูตรกล่าวว่า...
เจ้าลัทธิปูรณกัสสปะจัดว่าปฏิเสธกรรม เพราะกล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลจัดว่าปฏิเสธผลกรรม เพราะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่อไป
เจ้าลัทธิมักขลิโคศาลจัดว่าปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม เพราะเมื่อทำการปฏิเสธเหตุก็เท่ากับปฏิเสธผลไปด้วยกัน เมื่อปฏิเสธเหตุของความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์ ก็เป็นการปฏิเสธผลกรรมเสียแล้วด้วย เมื่อกรรมไม่มีผลกรรมก็ต้องไม่มีด้วย หรือเมื่อผลกรรมไม่มี ก็ต้องสืบเนื่องมาจากกรรมไม่มี
-->> คำอธิบายคัมภีร์ เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย กล่าวว่า...
มิจฉาทิฐิบางอย่างห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
บางอย่าง ห้ามแต่มรรคอย่างเดียว ไม่ห้ามสวรรค์
บางอย่างไม่ห้ามทั้งมรรค และสวรรค์
มิจฉาทิฐิ 3 อย่างคือ
อกิริยทิฐิ และ นัตถิกทิฐิ ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
มิจฉาทิฐิถึงที่สุด 10 อย่าง คือการยึดถือว่า โลกเที่ยง เป็นต้น จัดว่าห้ามแต่มรรคอย่างเดียว เป็นความเห็นที่วิปริตจากทางของมรรค แต่ไม่ห้ามสวรรค์เพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ
ส่วนสักกายทิฐิ 20 มีเห็นรูปว่าเป็นตน เห็นตนว่าเป็นรูป เห็นตนในรูป เป็นต้น เป็นการเห็นลักษณะ 4 อย่างในขันธ์ 5 รวมเป็น 20 ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรคเพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ และเมื่อเกิดความรู้จัดแจ้งตามเป็นจริง ก็บรรลุมรรคผลได้