ชมพูทวีปหมายถึง บริเวณที่เป็นประเทศอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังคลาเทศในปัจจุบัน
การปกครองของชมพูทวีปแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. รูปแบบการปกครองส่วนกลาง เรียกว่า มัชฌิมชนบท โดยเป็นการเปรียบเสมือนการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย
2. รูปแบบการปกครองส่วนหัวเมืองชั้นนอก เรียกว่า ปัจจันตชนบท เปรียบเสมือนการปกครองส่วนภูมิภาคของประเทศไทย อีกทั้งมีการใช้หลักอปริหานิยธรรมซึ่งจะเน้นเรื่องความสามัคคีเป็นหลัก
โดยสังคมชมพูทวีปมีการแบ่งลัทธิต่างๆออกเป็น 6 ส่วนได้แก่
ปูรณกัสสป ซึ่งเห็นว่า บาปบุญไม่มีจริง เรียกว่า ลัทธิอกิริยทิฐิ
มักขลิโคสาล โดยเห็นว่าความบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองไม่มีเหตุปัจจัยบริสุทธิ์เรียกว่า ลัทธิอเหตุกทิฐิ
อชิตเกสกัมพล มีความเห็นว่าไม่มีอะไรมีแต่การประชุมของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ปกุธกัจจายนะ มีความเห็นว่า สภาวะที่มีอยู่จริงนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้
นิครนถนาฏบุตร มีความเห็นว่า ชีวิตจะหลุดพ้นได้ต้องทรมาน
สัญชัยเวลัฎฐบุตร มีความเห็นว่า ไม่ยืนยันทรรศนะใดๆว่าผิดหรือถูก ไม่มีอะไรแน่นอน
นักบวชประเภทต่างๆในชมพูทวีปมีดังนี้
ฤาษี อยู่ป่า บำเพ็ญตบะและทุกรกิริยา
ปริพาชก ครูพเนจรสอนปรัชญา
อาชีวก นักบุญเปลือยกาย
นิครนก์และ อเจลกะ เป็นนักบวชเปลือยกาย
ชฎิล ดาบสเกล้าผมมวย เป็นวรรณะพราหมณ์
โดยทุกๆคนต่างแสวงหา โมกขธรรมหรือโมกษะ ซึ่งหมายถึง ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน หรือวิมุติ ซึ่งเป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และเป็นอมตะ
วรรณะทั้ง 4 ได้แก่
วรรณะพราหมณ์ เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ได้แก่ นักบวช
วรรณะกษัตริย์ เกิดจากพระพาหาของพระพรหม ได้แก่ ผู้ปกครอง
วรรณแพศย์ เกิดจากพระโสณีของพระพรหม ได้แก่ พ่อค้า
วรรณศูทร เกิดจากพระบาทของพระพรหม ได้แก่ พรรมกร ลูกจ้าง
หลักสูตรกลาง ห้องเรียนควีปเปอร์ วิชาพุทธศาสนา
สภาพสังคมอินเดียโบราณสมัยก่อนพุทธกาล
การปกครองของชมพูทวีปแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. รูปแบบการปกครองส่วนกลาง เรียกว่า มัชฌิมชนบท โดยเป็นการเปรียบเสมือนการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย
2. รูปแบบการปกครองส่วนหัวเมืองชั้นนอก เรียกว่า ปัจจันตชนบท เปรียบเสมือนการปกครองส่วนภูมิภาคของประเทศไทย อีกทั้งมีการใช้หลักอปริหานิยธรรมซึ่งจะเน้นเรื่องความสามัคคีเป็นหลัก
โดยสังคมชมพูทวีปมีการแบ่งลัทธิต่างๆออกเป็น 6 ส่วนได้แก่
ปูรณกัสสป ซึ่งเห็นว่า บาปบุญไม่มีจริง เรียกว่า ลัทธิอกิริยทิฐิ
มักขลิโคสาล โดยเห็นว่าความบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองไม่มีเหตุปัจจัยบริสุทธิ์เรียกว่า ลัทธิอเหตุกทิฐิ
อชิตเกสกัมพล มีความเห็นว่าไม่มีอะไรมีแต่การประชุมของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ปกุธกัจจายนะ มีความเห็นว่า สภาวะที่มีอยู่จริงนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้
นิครนถนาฏบุตร มีความเห็นว่า ชีวิตจะหลุดพ้นได้ต้องทรมาน
สัญชัยเวลัฎฐบุตร มีความเห็นว่า ไม่ยืนยันทรรศนะใดๆว่าผิดหรือถูก ไม่มีอะไรแน่นอน
นักบวชประเภทต่างๆในชมพูทวีปมีดังนี้
ฤาษี อยู่ป่า บำเพ็ญตบะและทุกรกิริยา
ปริพาชก ครูพเนจรสอนปรัชญา
อาชีวก นักบุญเปลือยกาย
นิครนก์และ อเจลกะ เป็นนักบวชเปลือยกาย
ชฎิล ดาบสเกล้าผมมวย เป็นวรรณะพราหมณ์
โดยทุกๆคนต่างแสวงหา โมกขธรรมหรือโมกษะ ซึ่งหมายถึง ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน หรือวิมุติ ซึ่งเป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และเป็นอมตะ
วรรณะทั้ง 4 ได้แก่
วรรณะพราหมณ์ เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ได้แก่ นักบวช
วรรณะกษัตริย์ เกิดจากพระพาหาของพระพรหม ได้แก่ ผู้ปกครอง
วรรณแพศย์ เกิดจากพระโสณีของพระพรหม ได้แก่ พ่อค้า
วรรณศูทร เกิดจากพระบาทของพระพรหม ได้แก่ พรรมกร ลูกจ้าง
หลักสูตรกลาง ห้องเรียนควีปเปอร์ วิชาพุทธศาสนา