สายลมหวีดหวิวครวญคราง แทรกเสียดรติกาลใต้จันทร์เสี้ยว
มีเงาท่ามกลางทรากปลักหักพังอยูสามกลุ่ม
เงาแรก เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง หากว่าท่วงท่าสง่างามเข้มแข็ง
อีกสองเงาที่ทับทาบลงกลางคราบเลือกระบี่หักบนพื้น เป็นบุรุษห้อยสายนกหวีดรุงรัง
และยังมีฝูงเงา ทั้งบุรุษสตรี บัณเฑาะด์(กระเทย เขียนถูกป่ะวะ ฮา) ยืนเก้กังเตรียมกลุ้มรุมเข้าทำร้ายสตรีนางนั้น
สตรีในชุดขาวกรุยกราย ยืนกุมกระบี่ปลายชี้ลงพื้นในท่วงท่าสบาย
รายยิ้มอ่อนที่ริมฝีปากบาง ดูจะขัดแย้งกับภาพที่เห็น
ชายสูงวัยหน้าดำคล้ำเมี่ยม ในมือถือดาบหัวตัดใบใหญ่ ร้อยด้วยห่วงเงินเห้าห่วง
ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ (ซึงมันบ้าอยู่สามสี) อีกทั้งยังมีสายนกหวีดคล้องที่คอพะรุงพะรัง
ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่า มันคือเทพเมือกทุย ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคมาร หนึ่งในสามพรรคแห่งแผ่นดิน
แต่สิ่งที่แปลกออกไป คือกิริยา เนื่องเป็นที่รู้กันว่า เคล็ดวิชาเจ็ดคลุ้มคลั่ง หกป้ายสี นั้น
จะต้องโวยวายและมีน้ำลายฟูมปากตลอดเวลา แต่นี่มันกลับเงียบ สายตาทั้งคู่เหลือกค้างขึ้นมองหน้าผากหว่างคิ้วตนเองคล้ายไม่เชื่อสายตา
อีกหนึ่งชายกลางคนที่ยืนอยูเคียงข้างก็มิได้ต่างกัน
ชาวยุทธที่โลดแล่น หากมองปราดเดียวก็จะทราบได้ว่า มันคงเป์น ประมุขพรรคมาร นาม มาค(เหตุผลที่ชื่อคล้ายชาวตะวันออก เนื่องจากมันได้ข้ามน้ำทะเลไปฝึกปรือคัมภีร์ถ่มยมทูต อันเป็นเคล็ดวิชาที่ต้องใช้ปากเป็นอาวุธ)
ด้วยเพราะมันยืนข้างเยื้องไปทางหลังหนึ่ง(เพราะแม่..มแอบตอดตลอด)
และทรงผมรวมถึงท่ากรีดมือขณะจู่โจม ทำให้มันดูปานประหนึ่งบัณฑิตหนุ่มผู้ทรงความรู้อีกหนึ่ง
มันก็มีสภาพไม่ต่างกัน ตาเหลือกค้างขึ้นมองหว่างคิ้วตนเอง ปากที่ช่างจำนรร อ้าค้างโพลง..
นางจากไปแล้ว... สตรีในชุดขาวกรุยกรายเมื่อครู่
เหลือทิ้งไว้เพียงจุดแดงสองจุด จุดหนึงอยู่กลางหน้าผากของดำเมี่ยม
และอีกจุดอยูกลางหน้าผากจำนรรจา ทั้งสองจุดลึกสามนิ้วไม่ขาดไม่เกิน
นัยเป็นการแทงที่ปราณีต หมดจด และแทงเพียงครั้งเดียวต่อหนึงศัตรู
มารทั้งสองยังไม่ล้มลง..
หมูมารมหาประชาชนที่ตระเตรียมกลุ้มรุมทำร้ายก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
ลมหนาวกรีดกรายมาอีกรอบ
แววตาของมันทั้งสองเริ่มฝ้าแล้ว กล้ามเนื้อก็แข็งและเย็น
อา..นัานเป็นอาการของคนที่ตายไปแล้วมิใช่หรือ?
หรือมันยังมิทราบ..ว่ามันตายไปแล้ว. โอ.. ช่างเป็นกระบี่มี่รวดเร็วนัก
คารวะเพื่อนอาร์ตครับ ^^
คารวะเพื่อนอาร์ตครับ...
มีเงาท่ามกลางทรากปลักหักพังอยูสามกลุ่ม
เงาแรก เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง หากว่าท่วงท่าสง่างามเข้มแข็ง
อีกสองเงาที่ทับทาบลงกลางคราบเลือกระบี่หักบนพื้น เป็นบุรุษห้อยสายนกหวีดรุงรัง
และยังมีฝูงเงา ทั้งบุรุษสตรี บัณเฑาะด์(กระเทย เขียนถูกป่ะวะ ฮา) ยืนเก้กังเตรียมกลุ้มรุมเข้าทำร้ายสตรีนางนั้น
สตรีในชุดขาวกรุยกราย ยืนกุมกระบี่ปลายชี้ลงพื้นในท่วงท่าสบาย
รายยิ้มอ่อนที่ริมฝีปากบาง ดูจะขัดแย้งกับภาพที่เห็น
ชายสูงวัยหน้าดำคล้ำเมี่ยม ในมือถือดาบหัวตัดใบใหญ่ ร้อยด้วยห่วงเงินเห้าห่วง
ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ (ซึงมันบ้าอยู่สามสี) อีกทั้งยังมีสายนกหวีดคล้องที่คอพะรุงพะรัง
ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่า มันคือเทพเมือกทุย ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคมาร หนึ่งในสามพรรคแห่งแผ่นดิน
แต่สิ่งที่แปลกออกไป คือกิริยา เนื่องเป็นที่รู้กันว่า เคล็ดวิชาเจ็ดคลุ้มคลั่ง หกป้ายสี นั้น
จะต้องโวยวายและมีน้ำลายฟูมปากตลอดเวลา แต่นี่มันกลับเงียบ สายตาทั้งคู่เหลือกค้างขึ้นมองหน้าผากหว่างคิ้วตนเองคล้ายไม่เชื่อสายตา
อีกหนึ่งชายกลางคนที่ยืนอยูเคียงข้างก็มิได้ต่างกัน
ชาวยุทธที่โลดแล่น หากมองปราดเดียวก็จะทราบได้ว่า มันคงเป์น ประมุขพรรคมาร นาม มาค(เหตุผลที่ชื่อคล้ายชาวตะวันออก เนื่องจากมันได้ข้ามน้ำทะเลไปฝึกปรือคัมภีร์ถ่มยมทูต อันเป็นเคล็ดวิชาที่ต้องใช้ปากเป็นอาวุธ)
ด้วยเพราะมันยืนข้างเยื้องไปทางหลังหนึ่ง(เพราะแม่..มแอบตอดตลอด)
และทรงผมรวมถึงท่ากรีดมือขณะจู่โจม ทำให้มันดูปานประหนึ่งบัณฑิตหนุ่มผู้ทรงความรู้อีกหนึ่ง
มันก็มีสภาพไม่ต่างกัน ตาเหลือกค้างขึ้นมองหว่างคิ้วตนเอง ปากที่ช่างจำนรร อ้าค้างโพลง..
นางจากไปแล้ว... สตรีในชุดขาวกรุยกรายเมื่อครู่
เหลือทิ้งไว้เพียงจุดแดงสองจุด จุดหนึงอยู่กลางหน้าผากของดำเมี่ยม
และอีกจุดอยูกลางหน้าผากจำนรรจา ทั้งสองจุดลึกสามนิ้วไม่ขาดไม่เกิน
นัยเป็นการแทงที่ปราณีต หมดจด และแทงเพียงครั้งเดียวต่อหนึงศัตรู
มารทั้งสองยังไม่ล้มลง..
หมูมารมหาประชาชนที่ตระเตรียมกลุ้มรุมทำร้ายก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
ลมหนาวกรีดกรายมาอีกรอบ
แววตาของมันทั้งสองเริ่มฝ้าแล้ว กล้ามเนื้อก็แข็งและเย็น
อา..นัานเป็นอาการของคนที่ตายไปแล้วมิใช่หรือ?
หรือมันยังมิทราบ..ว่ามันตายไปแล้ว. โอ.. ช่างเป็นกระบี่มี่รวดเร็วนัก
คารวะเพื่อนอาร์ตครับ ^^