บทที่ ๑ - ยุคพราหมณะ
ต่อจากยุคคัมภีร์พระเวท เมื่อชาวอารยันอพยพเลื่อนจากแม่น้ำสินธุลงมาในภาคกลางของอินเดีย คือลุ่มแม่ น้ำคงคา
เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นอยู่สบายแล้วก็ได้ตั้งแว่นแคว้นขึ้น เป็นรากฐานทางสังคมฮินดูเรียบร้อยแล้ว
ก็มีวิวัฒนาการทางความคิด คือมีพวกปุโรหิตอีกพวกหนึ่งเห็นว่า คัมภีร์เวทเหล่านั้นคำสวดต่าง ๆ มีมากมายเหลือเกิน
และบางทีคำสวดเหล่านั้นจะต้องทำคำอธิบาย ด้วยว่า ต้องอธิบายการบูชาอย่างไร จึงจะได้ผลอย่างนั้น ๆ
พวกปุโรหิตพวกนี้จึงได้แต่งคัมภีร์อรรถกถาคัมภีร์เวท ให้ชื่อว่า "พราหมณะ"
ในสมัยพราหมณะนี้พราหมณ์ได้คิดสร้างเทพเจ้าที่พิเศษขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง คือ พระพรหม เนื่องจากพระอินทร์แม้จะเป็น
เทพเจ้าชั้นสูงเป็นผู้สร้างโลกสร้างสรรพสิ่งก็จริง แต่มีผู้นับถือเคารพบูชาน้อยลง และไม่สามารถจะอำนวยประโยชน์แก่
ประชาชนได้อย่างแท้จริง ส่วนเทพเจ้าผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งในโลกนั้นคือพระพรหม โดยถือกันว่าพระพรหมเป็นเทพ
เจ้าผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่เกี่ยวข้องทางกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ แล้วประกาศแก่ประชาชน
ทั้งหลายพูดว่า พระพรหมนั้นไม่ทำความเสียหายเหมือนพระอินทร์แน่นอน เพราะว่า พระพรหมนั้น เป็นเพียงสภาวธรรม
เท่านั้นในคัมภีร์อุปนิษัทมีการพูดถึง พระพรหมไว้เป็น ๒ ลักษณะ๑ คือ
ลักษณะที่หนึ่ง พูดถึงพระพรหมในแง่โลกียะ (Cosmic) ซึ่งในแง่นี้พระพรหม เป็นสิ่งที่ประกอบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่ดี
ทั้งปวง (สคุณะ) และถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษทุกอย่าง (สวิเศษะ) พระพรหมในลักษณะนี้เรียกว่า อปรพรหม หรือ อีศวร
อปรพรหม หรือ อีศวรเป็นภาคปุคคลาธิษฐานของสิ่งสัมบูรณ์เป็นพระเป็นเจ้าที่มีตัวตนหรือรูปร่างอย่างมนุษย์
ลักษณะที่สอง พูดถึงพระพรหมในแง่โลกุตตระ (Acosmic) ในแง่นี้พระพรหมคือสิ่งสัมบูรณ์พระพรหมในลักษณะนี้เรียกว่า
ปรพรหม เป็นภาค ธรรมมาธิษฐาน ของพระเป็นเจ้าซึ่งได้แก่ สิ่งสัมบูรณ์นั่นเอง ที่ปราศจากคุณลักษณะทุกอย่าง (นิรคุณะ)
ปราศจากคุณวิเศษทั้งปวง (นิรวิเศษะ) และไม่อาจใช้คำพูดหรือภาษาพูดบรรยายได้ (อนีรวจนียะ) พระพรหมในแง่โลกุตตระนี้
มีชื่อเรียกว่า ปรพรหม เป็นสิ่งสัมบูรณ์ซึ่งดำรงรงอยู่ในฐานะ อุตตรภาวะ เป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ และอธิบายไม่ได้
ปรพรหม หรือ พรหมัน ในสถานะนี้เป็น มูลการณะ ของสรรพสิ่ง เป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่ง แม้แต่พระเจ้าสูงสุดที่เรียกว่า อีศวร
ก็เป็นการสำแดงให้ปรากฏของสิ่งสมบูรณ์นี้ วิธีเดียวที่จะอธิบายเกี่ยวกับลักษณะของ พระพรหมได้ก็คือโดยการปฏิเสธ
อย่างเช่นที่ ยาชญวัลกยะ กล่าวไว้ปรากฏอยู่ใน พฤหทารัณยกอุปนิษัท ว่า
"สิ่งซึ่งไม่มีเสื่อมสลายที่ผู้ฉลาดเคารพบูชานี้ เป็นสิ่งที่ไม่หยาบ ไม่ปราณีต ไม่สั้น ไม่ยาว ไม่มีเงา ไม่มีความมืด ไม่มีอากาศ
ไม่มีช่องว่าง ไม่มีอุปาทาน ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรูป ไม่มี คำพูด ไม่มีจิต ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีหู ไม่มีปาก ไม่มี
ข้างนอกข้างใน ไม่กินอะไรและ ไม่มีอะไรจะกินมัน....."
รวมความว่า ในสมัยพราหมณะนี้ พระพรหมได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
สรรพสิ่งมาจากพระพรหม สัตว์โลกทั้งมวลมาจากพระพรหม พระพรหมเป็นปรมาตมัน เป็นอัตตาสูงสุด เป็นอมตะมองเห็นด้วย
สายตาไม่ได้ เป็น อนาทิ ไม่มีเบื้องต้น และเป็น อนันตะ ไม่มีที่สุด เป็นเบื้องต้นแห่งปฐมวิญญาณทั้งปวง
แต่ถึงกระนั้น การที่พราหมณ์สร้างพระพรหมที่เรียกว่า ปรพรหม ให้ไม่มีเนื้อ มีตัวนั้น มีลักษณะเป็นจิต และจิตก็ไม่มีรูปร่าง
อย่างมนุษย์ เมื่อเทพเจ้ามีลักษณะเป็นจิต การบวงสรวงบูชาเพื่อขอให้อำนวยผลประโยชน์ต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถกระทำได้
ไม่เป็นที่ชอบใจของคนทั่วไปเท่าใดนัก คนไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถจะบูชา ปรพรหม ซึ่งเป็นสภาวธรรมนั้นได้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ดังนั้น เพื่อให้ตรงกับความประสงค์ของประชาชน พราหมณ์จึงแก้ไขเรื่องพรหมอีกนิดหน่อย แก้ไขจาก ปรพรหม มาเป็น อปรพรหม
อปรพรหมก็คือพรหม หรืออิศวร เป็นเทพเจ้าที่มีตัวมีตน ไม่เป็นนามธรรมเหมือนอย่าง ปรพรหม สามารถจะอำนวยประโยชน์แก่
ผู้เคารพบูชาได้ แล้วจึงประกาศแก่ประชาชนว่า ความจริงพระพรหมนั้นมีตัวตนและมีถึง ๔ หน้า สามารถมองดูทิศทั้ง ๔ ได้ในเวลา
เดียวกัน และดูความเป็นไปของชาวโลกได้ทุกหนทุกแห่งพร้อมกันได้
เมื่อพระพรหมมีตัวตน และยังมีถึง ๔ หน้าอีก ซ้ำยังไม่มีภรรยา ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องด้านกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ ประชาชนต่างก็นิยม
ชมชอบพอใจ แนวความคิดของพราหมณ์ที่สร้างพระพรหมเป็นที่พอใจของประชาชนนี้ ทำให้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยิ่งใหญ่และมี
อิทธิพลเหนือจิตใจของชาวอินเดียอย่างไม่เสื่อมคลาย
---------------------------
http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud1-3.html
พระพรหม ประวัติความเป็นมาจนได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง
ต่อจากยุคคัมภีร์พระเวท เมื่อชาวอารยันอพยพเลื่อนจากแม่น้ำสินธุลงมาในภาคกลางของอินเดีย คือลุ่มแม่ น้ำคงคา
เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นอยู่สบายแล้วก็ได้ตั้งแว่นแคว้นขึ้น เป็นรากฐานทางสังคมฮินดูเรียบร้อยแล้ว
ก็มีวิวัฒนาการทางความคิด คือมีพวกปุโรหิตอีกพวกหนึ่งเห็นว่า คัมภีร์เวทเหล่านั้นคำสวดต่าง ๆ มีมากมายเหลือเกิน
และบางทีคำสวดเหล่านั้นจะต้องทำคำอธิบาย ด้วยว่า ต้องอธิบายการบูชาอย่างไร จึงจะได้ผลอย่างนั้น ๆ
พวกปุโรหิตพวกนี้จึงได้แต่งคัมภีร์อรรถกถาคัมภีร์เวท ให้ชื่อว่า "พราหมณะ"
ในสมัยพราหมณะนี้พราหมณ์ได้คิดสร้างเทพเจ้าที่พิเศษขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง คือ พระพรหม เนื่องจากพระอินทร์แม้จะเป็น
เทพเจ้าชั้นสูงเป็นผู้สร้างโลกสร้างสรรพสิ่งก็จริง แต่มีผู้นับถือเคารพบูชาน้อยลง และไม่สามารถจะอำนวยประโยชน์แก่
ประชาชนได้อย่างแท้จริง ส่วนเทพเจ้าผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งในโลกนั้นคือพระพรหม โดยถือกันว่าพระพรหมเป็นเทพ
เจ้าผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่เกี่ยวข้องทางกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ แล้วประกาศแก่ประชาชน
ทั้งหลายพูดว่า พระพรหมนั้นไม่ทำความเสียหายเหมือนพระอินทร์แน่นอน เพราะว่า พระพรหมนั้น เป็นเพียงสภาวธรรม
เท่านั้นในคัมภีร์อุปนิษัทมีการพูดถึง พระพรหมไว้เป็น ๒ ลักษณะ๑ คือ
ลักษณะที่หนึ่ง พูดถึงพระพรหมในแง่โลกียะ (Cosmic) ซึ่งในแง่นี้พระพรหม เป็นสิ่งที่ประกอบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่ดี
ทั้งปวง (สคุณะ) และถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษทุกอย่าง (สวิเศษะ) พระพรหมในลักษณะนี้เรียกว่า อปรพรหม หรือ อีศวร
อปรพรหม หรือ อีศวรเป็นภาคปุคคลาธิษฐานของสิ่งสัมบูรณ์เป็นพระเป็นเจ้าที่มีตัวตนหรือรูปร่างอย่างมนุษย์
ลักษณะที่สอง พูดถึงพระพรหมในแง่โลกุตตระ (Acosmic) ในแง่นี้พระพรหมคือสิ่งสัมบูรณ์พระพรหมในลักษณะนี้เรียกว่า
ปรพรหม เป็นภาค ธรรมมาธิษฐาน ของพระเป็นเจ้าซึ่งได้แก่ สิ่งสัมบูรณ์นั่นเอง ที่ปราศจากคุณลักษณะทุกอย่าง (นิรคุณะ)
ปราศจากคุณวิเศษทั้งปวง (นิรวิเศษะ) และไม่อาจใช้คำพูดหรือภาษาพูดบรรยายได้ (อนีรวจนียะ) พระพรหมในแง่โลกุตตระนี้
มีชื่อเรียกว่า ปรพรหม เป็นสิ่งสัมบูรณ์ซึ่งดำรงรงอยู่ในฐานะ อุตตรภาวะ เป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ และอธิบายไม่ได้
ปรพรหม หรือ พรหมัน ในสถานะนี้เป็น มูลการณะ ของสรรพสิ่ง เป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่ง แม้แต่พระเจ้าสูงสุดที่เรียกว่า อีศวร
ก็เป็นการสำแดงให้ปรากฏของสิ่งสมบูรณ์นี้ วิธีเดียวที่จะอธิบายเกี่ยวกับลักษณะของ พระพรหมได้ก็คือโดยการปฏิเสธ
อย่างเช่นที่ ยาชญวัลกยะ กล่าวไว้ปรากฏอยู่ใน พฤหทารัณยกอุปนิษัท ว่า
"สิ่งซึ่งไม่มีเสื่อมสลายที่ผู้ฉลาดเคารพบูชานี้ เป็นสิ่งที่ไม่หยาบ ไม่ปราณีต ไม่สั้น ไม่ยาว ไม่มีเงา ไม่มีความมืด ไม่มีอากาศ
ไม่มีช่องว่าง ไม่มีอุปาทาน ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรูป ไม่มี คำพูด ไม่มีจิต ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีหู ไม่มีปาก ไม่มี
ข้างนอกข้างใน ไม่กินอะไรและ ไม่มีอะไรจะกินมัน....."
รวมความว่า ในสมัยพราหมณะนี้ พระพรหมได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
สรรพสิ่งมาจากพระพรหม สัตว์โลกทั้งมวลมาจากพระพรหม พระพรหมเป็นปรมาตมัน เป็นอัตตาสูงสุด เป็นอมตะมองเห็นด้วย
สายตาไม่ได้ เป็น อนาทิ ไม่มีเบื้องต้น และเป็น อนันตะ ไม่มีที่สุด เป็นเบื้องต้นแห่งปฐมวิญญาณทั้งปวง
แต่ถึงกระนั้น การที่พราหมณ์สร้างพระพรหมที่เรียกว่า ปรพรหม ให้ไม่มีเนื้อ มีตัวนั้น มีลักษณะเป็นจิต และจิตก็ไม่มีรูปร่าง
อย่างมนุษย์ เมื่อเทพเจ้ามีลักษณะเป็นจิต การบวงสรวงบูชาเพื่อขอให้อำนวยผลประโยชน์ต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถกระทำได้
ไม่เป็นที่ชอบใจของคนทั่วไปเท่าใดนัก คนไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถจะบูชา ปรพรหม ซึ่งเป็นสภาวธรรมนั้นได้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ดังนั้น เพื่อให้ตรงกับความประสงค์ของประชาชน พราหมณ์จึงแก้ไขเรื่องพรหมอีกนิดหน่อย แก้ไขจาก ปรพรหม มาเป็น อปรพรหม
อปรพรหมก็คือพรหม หรืออิศวร เป็นเทพเจ้าที่มีตัวมีตน ไม่เป็นนามธรรมเหมือนอย่าง ปรพรหม สามารถจะอำนวยประโยชน์แก่
ผู้เคารพบูชาได้ แล้วจึงประกาศแก่ประชาชนว่า ความจริงพระพรหมนั้นมีตัวตนและมีถึง ๔ หน้า สามารถมองดูทิศทั้ง ๔ ได้ในเวลา
เดียวกัน และดูความเป็นไปของชาวโลกได้ทุกหนทุกแห่งพร้อมกันได้
เมื่อพระพรหมมีตัวตน และยังมีถึง ๔ หน้าอีก ซ้ำยังไม่มีภรรยา ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องด้านกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ ประชาชนต่างก็นิยม
ชมชอบพอใจ แนวความคิดของพราหมณ์ที่สร้างพระพรหมเป็นที่พอใจของประชาชนนี้ ทำให้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยิ่งใหญ่และมี
อิทธิพลเหนือจิตใจของชาวอินเดียอย่างไม่เสื่อมคลาย
---------------------------
http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud1-3.html