หากใครที่คิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะทิ้งครอบครัว เสด็จออกผนวชเพราะความเห็นแก่ตัว (อ่านเจอเลยขอแชร์ ยาวหน่อยนะครับ ^^)

ได้อ่านบทความ "ปกป้องพระศาสดา" ใน "ข่าวสารกัลยาณธรรม" วารสารของชมรมกัลยาณธรรม เรียบเรียงจากคำบรรยายของ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ถอดความโดยคุณอุทัยวรรณ วิมลจิตร อ่านแล้วชอบเลยขออนุญาตนำมาแบ่งปันท่านผู้สนใจครับ ยาวนิดหนึ่งแต่คุ้มค่าที่จะอ่านนะครับ ^^

เม่าอ่าน เม่าอ่าน เม่าอ่าน

บุญ แปลว่า ชำระ ชำระโลภะ โทสะ โมหะ บุญไม่ได้แปลว่าเอา
บุญมีอยู่ 3 อย่าง คือ ทาน ศีล และภาวนา
การทำทานเป็นบุญ เข้าใจไม่ยาก ใคร ๆ ก็ทำได้ คนดีทำได้ คนเลวทำได้ คนชั่วทำได้ โกงบ้านกินเมืองก็ทำเป็น ทำได้หมดทุกระดับ เพราะฉะนั้น ฐานของพีระมิดในเรื่องของทานใคร ๆ ก็ทำเป็น 7 พันล้านคนนี่นะ
ศีล คนดีทำได้ แทบไม่ต้องออกแรง คนชั่วทำไม่ได้ คนเลวไม่คิดจะทำ ถ้าโกงบ้านกินเมืองล่ะไปไกล ๆ เลย ศีลน่ะ เพราะฉะนั้นแคบเข้ามาแล้ว
ภาวนา คนดีส่วนเดียวที่ทำได้ จึงเป็นยอดของพีระมิด
มีวันหนึ่งได้พบกับนักธุรกิจ พูดน่าฟังมากเลย เขาบอกว่า
“อาจารย์ ผมว่าทานเนี่ยสำคัญ ถ้าไม่มีการทำทานเลย ผมว่าสังคมไม่น่าอยู่ แล้วก็สังคมจะลำบาก”
ผมบอก “ผมเห็นด้วย”
“เห็นด้วย? แต่เห็นอาจารย์บอกว่า ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาได้บุญมากกว่าอีก
ผมว่าภาวนาเนี่ย มีแต่พวกเห็นแก่ตัว”
เขาตรงไปตรงมาเลย
“ไปนั่งหลับตา ไปเดินช้า ๆ อยู่คนเดียว แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับใคร แล้วมาอ้างนิพพาน ๆ ทิ้งครอบครัวออกมาเนี่ย แทนที่จะทำประโยชน์ให้คนอื่นบ้าง แล้วบอกได้บุญมาก มีแต่พวกเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลย ใครเขาทำกันบ้างในโลกนี้”
พูดน่าฟัง “ผมก็ว่างั้น เมื่อก่อนผมก็ว่างั้น”
แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ พูดไปแล้วเราแทบจะรับไม่ได้ ผมใช้คำเขาเลยแล้วกันนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมน่ะพูดอะไรไม่สุภาพ
“พระพุทธเจ้าเนี่ย เก่งนะ แต่เห็นแก่ตัว ทิ้งครอบครัวออกบวช พ่อแม่ก็ทิ้งหมด เมียลูกก็ทิ้ง”
ขอตอบเลยนะ เริ่มจากนักธุรกิจก่อน ที่บอกว่า “พวกนักปฏิบัตินี่เห็นแก่ตัว มีแต่เดินไปเดินมา เดินช้า ๆ ตาก้มต่ำเนี่ย มานั่งหลับหูหลับตา แล้วบอกได้บุญมาก”
ทาน ใครก็ทำได้ ศีล ก็ต้องเป็นคนดีถึงจะทำ ส่วนภาวนา ผมก็บอกคนดีส่วนเดียวที่ทำได้ แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่าทานไม่สำคัญ แต่คุณเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่างหรือเปล่า ในทาน ศีล ภาวนา เขาไม่ได้ให้เลือก ก. ข. ค. นะ คนทำทานอาจจะไม่มีศีล อาจจะไม่ได้ภาวนา แต่คนมีศีลทำทานนะ แล้วคนภาวนาเนี่ย มีศีล แล้วก็ทำทานด้วย ตกลงใครดีกว่าใคร?
เอาล่ะ เริ่มกลืนน้ำลายไม่ค่อยลงไปข้อหนึ่งแล้ว
ผมยังไม่เคยเห็นคนภาวนาไม่ทำทานเลย แล้วยังไม่เคยเห็นคนภาวนาไม่มีศีล แต่อาจจะไม่ครบ บางคนน่ะ แต่เขาก็เต็มที่นะ แล้วคนมาภาวนาเนี่ย ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ แต่เขาแสวงหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ เขากำลังพยายามที่จะพัฒนาจิต พัฒนาตน ให้พ้นจากความเห็นแก่ตัว
ดังนั้นในระหว่างกระบวนการนี้น่ะ
“เห็นที่บ้านไปภาวนาก็ยังเหมือนเดิม เสียเวลาจริง ๆ ลางานไป กลับมาก็เห็นด่าเหมือนเดิม วีนแตกเหมือนเดิม หงุดหงิดเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าภาวนาแล้วเป็นอย่างยัยนี่ ไม่ไปหรอก”
อ้าว! คนพาลเนี่ย ถ้ารู้ว่าตัวเองพาลแล้วพยายามปรับปรุง เขามีโอกาสจะเป็นบัณฑิต แต่คนพาลที่ไม่รู้ว่าตัวเองพาล จะพาลไปชั่วนิจนิรันดร
คนที่ภาวนา เหมือนการมาเข้ายิม ถ้าพูดถึงคอร์สปฏิบัตินะ เขากำลังเข้ามาฝึกเพื่อจะลด ละ เลิก สิ่งที่เรียกว่า กิเลส เรื่องตัวตน หรือว่าความเห็นแก่ตัว คุณเคยเห็นคนภาวนา ที่เขาภาวนาจนเขาเข้าใจอะไรบ้างแล้วเขาออกไปช่วยโลกมนุษย์ ออกไปช่วยคนอื่น ออกไปช่วยผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนไหม?
แล้วทุกวันนี้ที่คุณบอกว่าคุณให้ทานน่ะ ตลอด 365 วัน คุณให้ทานกี่วัน? แล้วที่เหลือคุณโกยเข้ากระเป๋าตัวเองกี่วัน? กับคนที่เขาทำอย่างนี้ทั้งชีวิต ไม่เคยคิดจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองเลย ไม่เคยคิดที่จะหาความสุขใส่ตัว มีแต่ช่วยเพื่อนมนุษย์แบบไม่เอาสิ่งตอบแทนเลย พวกคุณทำได้บ้างไหม? นี่แหละผลแห่งการภาวนา
อย่ามองแค่จุดที่ทุกคนเพิ่งจะเริ่มต้น หรือว่าทุกคนกำลังพยายามอยู่ แต่มองไปที่จุดที่มันประสบความสำเร็จกันบ้าง บุคคลเหล่านั้นไม่เคยต้องการสิ่งอะไรตอบแทนเลย นอกจากให้โลกอย่างเดียว เริ่มต้นตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ลงมาจนถึงพระอรหันต์สาวก รวมถึงสาวกทั้งหลายที่กำลังเดินทาง ไม่ว่าจะกี่พันปีผ่านมาแล้ว ทุกคนยังทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เคยต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาคอยกำกับว่า “เธอต้องตื่นแต่เช้านะ เธอต้องรีบออกไป เธอต้องมาทำประโยชน์ให้ผู้คน” ท่านไม่เคยต้องมาบอกใคร แต่สาวกทั้งหลายกลับทำหน้าที่ไปทั้งประเทศทั้งโลกนี้ ไม่เคยมีใครต้องมากำกับดูแล อย่างนี้ใช่ไหมที่เห็นแก่ตัว? ใครเห็นแก่ตัวกันแน่? ใครทำประโยชน์เพื่อตน? ใครทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น? ทำไมถึงมาดูแต่จุดเล็ก ๆ จุดที่มันกำลังเริ่มต้น
นักกีฬาก่อนที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก เขาก็ไปเข้าค่ายฝึกซ้อม คุณจะบอกว่าตอนที่เข้าค่ายฝึกซ้อมน่ะ เขาเห็นแก่ตัวเหรอ? ไม่ต้องเข้าค่ายฝึกซ้อมแล้วไปขึ้นชกโอลิมปิกเลยเหรอ? ชกไปก็แพ้อยู่ดี ถ้าไม่เข้าค่ายฝึกซ้อมเลย
เอาล่ะ ทีนี้ขอตอบแบบเด็ดหัว ที่ปรามาสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหน่อย
วันที่ท่านประสูติออกมา พราหมณ์ทั้งหลายได้ทำนายทายทักกันเต็มไปหมดว่า “ถ้าอยู่ในวัง เป็นกษัตริย์ ท่านจะเป็นพระมหาจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชจะเป็นศาลดาเอกของโลก” พระราชบิดา, ไม่ว่าพ่อแม่ใคร รวมถึงเราด้วย ถ้ามีใครมาบอกลูกเราว่า ถ้าออกบวชเนี่ยจะหลุดพ้น จะบวชไม่สึกเลย แต่ถ้าอยู่บ้านจะได้เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ท่านเป็นพ่อแม่ท่านจะเลือกทางไหน?
พ่อแม่ก็รักลูก พระราชบิดาก็จึงทำทุกอย่างเลย เพื่อไม่ให้ออกบวช เพราะว่าถามพราหมณ์แล้วพราหมณ์บอกว่า ถ้าเกิดเห็นเทวทูต 4 ท่านตัดสินใจออกบวชแน่ คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วก็สมณะ
ทีนี้ท่านทำอย่างไรถึงจะไม่เห็นความแก่ ความเจ็บ และความตาย จึงสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้มีความสุขตลอด เพื่อไม่ให้เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตายเลย พอใครเริ่มแก่-เอาออก ใครเริ่มแก่-เอาออก ใครเจ็บป่วย-เอาออก เพราะฉะนั้นในวังของท่านจึงไม่มีคนพวกนี้เลย
จนกระทั่งท่านเสด็จนิวัติพระนคร พ่อทนรบเร้าไม่ไหว สงสาร แล้วก็รักลูกจึงปล่อยให้ออกไป แต่ก็เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ไม่ให้มี แต่มันก็พลาดจนได้ ขณะที่กำลังนั่งรถม้าไป เจอคนแก่ เดินออกจากบ้านพอดี หลังโกง ง๊อก ๆ ถือไม้เท้า ก็เลยถามนายฉันนะว่า
“เขาเป็นอะไร ทำไมเขาถึงเดินตัวงออย่างนั้นล่ะ ทำไมเขาไม่เดินตัวตรง ๆ”
ฉันนะก็บอกว่า “เขาเรียกว่าคนแก่ พระเจ้าข้า”
“คนแก่ ทำไมต้องแก่ด้วยล่ะ เราต้องแก่ด้วยเหรอ”
“พระเจ้าข้า”
“พ่อเราด้วยเหรอ พ่อเราเป็นกษัตริย์นะ”
“กษัตริย์ก็ต้องแก่”
“ชายาเราด้วยเหรอ ทุกคนเหรอ ในโลกนี้ทุกคนเลยเหรอ”
“พระเจ้าข้า”
ท่านเริ่มอึ้งแล้ว ผ่านไปสักพักเจอผู้ชายคนหนึ่ง นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น เนื้อตัวเป็นพุพองน้ำเหลืองไหลเต็มไปหมด ท่านกระโดดลงจากรถม้าที่ประทับ เข้าไปคว้าผู้ชายคนนั้นขึ้นมาเลย นี่คือเรื่องที่ท่านเล่าให้พระสารีบุตรฟังในวันหลัง ช้อนขึ้นมา นายฉันนะเลยกระโดด แล้วก็ตะโกนว่า “วางเขาลง โลหิตของเขาเป็นพิษพระเจ้าข้า เดี๋ยวท่านจะติดเชื้อ” ท่านไม่ได้วาง แต่ท่านกลับมาถามนายฉันนะว่า
“เขาเป็นอะไร ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมเนื้อตัวเขาถึงเป็นอย่างนี้”
ฉันนะบอก “เขาเรียกคนป่วย”
“คนป่วย ป่วยได้ยังไง อยู่ ๆ ก็ป่วยได้ด้วยหรือ? นอนอยู่เฉย ๆ พรุ่งนี้เช้าก็อาจจะป่วยหรือ? เราด้วยเหรอ พ่อเราด้วยเหรอ ชายาเรา ทุกคนเลยหรือ?”
“ใช่ พระเจ้าข้า”
“แล้วทำไมไม่มีใครคิดจะออกจากเรื่องนี้เลย ไม่มีใครคิดจะรักษาอะไรเลยหรือ?”
“คิดแล้ว แต่ทำไม่ได้”
ทีนี้นั่งรถม้าเงียบกริบเลย ชักชมเมืองไม่สนุกแล้ว ท่านเริ่มสงสัยว่า “ทำไมไม่มีใครคิดอะไรสักอย่างเลยเหรอ ไม่มีใครพยายามออกจากเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ทุกข์มากนะเนี่ย ทำไมทุกคนทนอยู่กับมันได้อย่างไร” ท่านถามนายฉันนะว่า “ไม่มีใครคิดจะออกจากเรื่องนี้เลยหรือ ทนอยู่กันได้อย่างไร”
หลังจากนั้นไม่นานเจอแบบผ้าขาวห่อไปเลย ท่านก็นั่งมองไปเรื่อย ๆ ไปถึงเขาก็โยนเข้ากองไฟเลย ท่านตกใจเลยถามนายฉันนะว่า “ทำไมเขาไม่สู้เลย ทำไมเขาไม่ดิ้น ทำไมเขาไม่ลุก ปล่อยให้คนอื่นทำกับเขาอย่างนั้นได้อย่างไร” นายฉันนะบอกว่า “เขาเรียกคนตาย”
“ตาย! ตายแปลว่าอะไร คำอะไรแปลกจัง อะไรคือตาย?”
ฉันนะก็อธิบายให้ฟัง
“พ่อเราด้วยเหรอ เราด้วยเหรอ ชายา ทุกคนเลยหรือ? ทุกคนต้องตายหมดเลยหรือ? อยู่ดี ๆ ไปทุกวัน แล้วก็ตายหรือ? อยู่ ๆ แล้วก็ตาย ทำไมไม่มีใครออกจากเรื่องนี้เลยล่ะ?”
ถ้าเราเป็นฉันนะ เราก็คง “เฮ้อ..ออกอย่างไรเนี่ย? ออกแบบไหนเหรอ? นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
ผมถึงบอกว่า เราโชคดีมหาศาลที่ท่านไม่เห็นเรื่องนี้เป็นธรรมดา พวกเราเกิดมาเนี่ย เราก็ยอมรับเรื่องนี้เป็นธรรมดา ยอมจำนนหลังติดฝาไปเลย แต่ท่านเห็นแค่นี้ ท่านถามว่า “ไม่มีใครคิดจะออกมาเลยหรือ นี่มันเป็นทุกข์มหันต์ของมวลมนุษยชาติเลยนะ”
ท่านบอก “ฉันนะ กลับวัง” หมดเวลาหรรษาแล้ว ดูอะไรก็ไม่สวยแล้ว...งง งง ว่าคนทั้งหมดอยู่กับมันได้อย่างไร? ไม่มีใครคิดจะออกจากมันเลย ท่านพูดคำหนึ่งว่า “ไม่มีใครคิดจะทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมดที่มี เพื่อจะออกจากสิ่งนี้เลยเหรอ?”
เราเป็นฉันนะ เราก็คงไม่กล้าตอบอะไรทั้งนั้น คงนั่งเงียบ ๆ ดีกว่า พอกลับวัง ระหว่างทางก็เห็นสมณะ สมณะมีมาก่อนท่านแล้ว มีคนที่เห็นทุกข์แบบนี้แล้วพยายามจะออกเหมือนกัน แต่ออกไม่ได้ ได้แต่ทำสมาธิ พยายามทรมานตนให้มันหลุดพ้นอะไร กระทำมันทุกอย่างน่ะ
ถึงตรงนี้ ผมขอเบรกไว้ ผมขอตัดภาพกลับมา เรื่องอุปมาที่ผมจะอุปไมยให้ฟัง
ถ้ามีพ่อ แม่ ลูก อยู่ในบ้าน ในหมู่บ้านที่ห่างไกล ทั้ง 3 คนเป็นโรคร้ายที่ตายแน่ ตายแน่ เป็นโรคร้ายแบบตายแน่ ไม่มียารักษา ไม่เคยหายารักษาได้ คนในหมู่บ้านทั้งหมด คนในละแวกนั้นทั้งหมด ในประเทศนั้นทั้งหมด ไม่มีใครมียารักษาเลย ทุกคนเป็นโรคนี้กันหมดเลย มีพ่อบ้านคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถทนรอดูให้เมียของตัวเอง ลูกของตัวเอง พ่อของตัวเอง แล้วคนในหมู่บ้าน คนในประเทศของตัวเอง ต้องทนตายอย่างทุกข์ทรมานกับเรื่องแบบนี้ คน ๆ นั้นตัดสินใจที่จะออกไปหายารักษาโรคโดยไม่รู้ว่ามันมีไหม ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน โดยจะทุ่มเทสรรพกำลัง สรรพปัญญาทั้งหมด เพื่อจะหายานี้ให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ไหม ไม่ว่าจะลำบากยากเข็ญอย่างไร จะออกไปหายานี้ให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ไหม ไม่ว่าจะลำบากยากเข็ญอย่างไร จะออกไปหายานี้ให้ได้ แต่ถ้าบอกครอบครัว บอกเมีย บอกลูก บอกทุกคน ทุกคนก็จะห้าม เพราะไม่เคยมีใครคิดว่ามันจะออกจากเรื่องนี้ได้ จึงตัดสินใจออกไปก่อน เพื่อออกไปหายามาช่วยทุกคนให้ได้
ถ้ามีคนบอกว่า “พ่อคนที่หนีออกไปเพื่อจะช่วยลูก ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ายามีไหม พ่อคนนี้เห็นแก่ตัว” ผมรับไม่ได้ ผมว่าคน ๆ นี้แหละ คือคนที่เสียสละที่สุดในโลกใบนี้ ในหมู่บ้านนั้นเลย ที่ไม่เคยมีใครคิดจะออกไปทนลำบาก เพื่อจะหายานี้มาเพื่อทุกคนเลย
แล้ววันนี้ ยานั้นถูกค้นพบแล้ว มีส่วนผสมอยู่ 8 อย่างในยานั้น ชื่อยาอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งท่านได้พบแล้ว ท่านทำสำเร็จแล้ว ท่านนำกลับมาแล้วก็ช่วยเหลือพระราชบิดาได้ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ก่อนที่จะสวรรคต พระนางพิมพาที่โกรธท่านแทบเป็นแทบตาย ตอนที่ท่านหนีออกไป สุดท้ายบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ราหุลที่บอกว่าท่านทิ้ง ท่านไม่เคยทิ้ง สุดท้ายบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงทั้งสิ้น คนในหมู่บ้าน ผู้คนในเมืองในประเทศของท่าน พระอรหันต์สาวก ลามมาถึง 2600 ปีล่วงมาแล้ว อย่างนี้น่ะหรือคนเห็นแก่ตัว?

อมยิ้ม17 อมยิ้ม17 อมยิ้ม17
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่