วันนี้อยากจะมาแชร์กับทุกคนเกี่ยวกับประสบการณ์ ในฐานะการเป็นนักเรียนอยู่ที่สิงคโปร์นะคะ
ขออนุญาตแนะนำตัวคร่าวๆนะคะ ชื่อเนตรค่ะ
ตอนเด็กๆเคยเรียนอยู่ที่ สาธิตจุฬา (รุ่น CUD 36) ก่อนที่จะย้ายไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ และก็จบ ป.ตรี คณะวิศวะกรรมศาสตร์ ที่ออสเตเลีย ค่ะ
ปัจจุบันทำงานเป็นวิศวกรที่ออสฯ แล้วก็เปิดธุรกิจส่วนตัวที่ไทยด้านแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศค่ะ
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่อยู่ที่สิงคโปร์ มีคนมาถามมากมาย ว่า เรียนที่สิงคโปร์ดีมั๊ย ระบบของเค้าเป็นอย่างไร ทำไมประเทศสิงคโปร์ถึงได้ครองแช้มป์เป็นที่หนึ่งในอาเซียนทางด้านการศึกษามาโดยตลอด ทั้งๆที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็กนิดเดียว แทบจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติรองรับบุคลากรของเค้าเลยด้วยซ้ำ
เราได้มีโอกาสได้สำผัสการศึกษาของที่โน่น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐ ร่วมชั้นกับเด็กlocal singaporean ถ้าจะให้เล่าอย่างละเอียดกระทู้นี้คงจะยาวเหยียด เพราะฉะนั้นจะขอแบ่งออก เป็น 3 ส่วนหลักๆนะคะ คือ
1. ชีวิตการเรียนตอน ประถม
2. ชีวิตในช่วงมัธยม
3. การเรียนในช่วง Junior college (ม.ปลาย)
ก่อนที่ได้ไปเรียนที่สิงคโปร์ เรียนที่สาธิตจุฬาฯมาตลอดจนถึง ม.1 ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งค่ะ แค่พอถูๆไถๆสอบผ่านไปแต่ละปี จำได้เลยว่าแค่ไปโรงเรียนเพราะพ่อเเม่ ครูบาอาจารย์ ปลูกฝังล้างสมองมาว่าเราเป็นเด็กมีหน้าที่คือ เรียน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจการเรียน และคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ยุ่งทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลามาเฝ้าเข้มงวดผลักดันให้ เราเน้นเรื่องการเรียน ท่านไม่เคยคาดหวังว่าเราจะต้องเรียนเก่งแค่สอบผ่านท่านก็โอเคแล้ว ด้วยเหตุนี้ ดญ.เนตรจึงไม่สนใจการเรียนค่ะ หนังสือเรียนแทบจะไม่ได้อ่านเลย การบ้านที่อาจารย์ให้มาแต่ละวันก็อาศัยลอกเพื่อนๆค่ะ วันไหนลอกอย่างไม่ฉลาด ทำการบ้านผิดข้อเดียวกับเพื่อนอีกคนก็โดนจับได้ก็โดนทำโทษไปตามเรื่องตามราว
พอได้เรียนที่สิงคโปร์ ชีวิตด้านการเรียนก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์เป็นภาษาอังกฤษหมด จากที่เคยถูไถไปได้ เราก็ด้อยกว่าเพื่อนๆร่วมชั้นคนอื่นๆอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ถึงแม้เราจะจบ ม.1มา แต่พอลองไปทำข้อสอบวัดระดับแล้ว เราทำข้อสอบเค้าไม่ได้เลยเพราะอ่านโจทย์ไม่รู้เรื่องค่ะ ไม่สามารถตอบคำถาม ใดๆได้ คำศัพท์ทั้งหลายที่เคยเรียนมาหลายปีจากสาธิตฯก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเราไม่ได้มีโอกาสฝึกพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนเลย พูดไทยมาตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนที่สิงคโปร์จึงต้องลดชั้นการเรียนของเราค่ะ
ทางโรงเรียนก็ประเมินผลออกมาว่าเรามีปัญหาทางด้านภาษา ก็เลยอนุโลมให้เข้าเรียนร่วมชั้นกับเด็กคนอื่นๆ จากที่เคยอยู่ม.1 ก็ถูกลดชั้นกลับไปเรียน ป.5 ต้องทำข้อสอบเทียบชั้นของเด็ก ป.4 มีสอบ 2 วิชาคือ ภาษาอังกฤษ กับ คณิต ผลสอบคือ สอบเลขได้เกือบเต็ม แต่สอบอังกฤษได้เกือบศูนย์ค่ะ (12 / 100) เมื่อก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีโรงเรียนติวและเตรียมตัวนักเรียนต่างชาติ เพื่อปรับพื้นฐานและปรับทักษะภาษาอังกฤษของเรา
ช่วง 3 - 4 เดือนแรกเราเลยดิ้นรนกับการปรับตัวในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตที่ห่างใกล พ่อแม่และพี่เลี้ยง เป็นที่สุด เรียนก็ไม่รู้เรื่อง พูดกะใครก็ลำบากเพราะพูดอังกฤษไม่คล่อง ชีวิตตกต่ำค่ะ ก็เลยคิดได้ว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อการอยู่รอดไม่งั้นชีวิตนี้อยู่ไม่ได้ แน่ แต่จะทำยังไงดีหล่ะ เราเรียนไม่รู้เรื่องจริงๆ ความที่มาตรฐานการศึกษาที่สิงคโปร์เค้าดีมากอยู่เเล้วที่โน่นเค้าไม่มี โรงเรียนติวเข้มกวดวิชาไม่เหมือนที่ไทย เป็นเด็กโข่งโดนลดชั้นอยู่เเล้วถ้าต้องมาซ้ำชั้นอีกคงจะมองเพื่อนๆที่เมือง ไทยไม่ติด
โชคดีที่อาจารย์ทุกคนน่ารักมากๆค่ะ ตอนนั้นอาจารย์ประจำชั้นเป็นอาจารย์สอน วิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ พอท่านเห็นว่าเราด้อยกว่าเด็กคนอื่นท่านก็ยินดีสอนพิเศษให้เราเพิ่มนอกเวลา ห้องเรียนโดยไม่คิดค่าเรียนพิเศษเลยแม้แต่บาทเดียว มิหนำซ้ำบางวันยังซื้ออาหารว่างมาเผื่อเพราะกลัวว่าเราจะหิวเพราะเราจะต้อง เรียนหนักกว่าคนอื่น ท่านสอนแบบประกบตัวต่อตัว บทเรียนต่างๆที่ท่านสอนในห้องเรียนแล้วเราไม่เข้าใจ ท่านก็ยินดีสอนซ้ำนอกเวลา พูดคุยเป็นกำลังใจให้เราจนเราเริ่มพุดคุยกับเค้ารู้เเรื่อง เริ่มมีเพื่อนๆมากขึ้น เริ่มวิ่งเล่นกับเด็กสิงคโปร์ได้อย่างไม่อายใคร พูดผิดๆถูกๆ เพื่อนๆและอาจารย์เค้าก็เข้าใจให้อภัย ช่วยแนะช่วยแก้ไขให้ จากการที่ไปโรงเรียนอย่างเลื่อนลอยมาตลอดชีวิตที่เป็นนักเรียน ก็ได้เปลี่ยนทัศนะคติ เพราะการไปโรงเรียนทุกๆวันเราได้อะไรดีๆกลับมาเสมอ พอเห็นอาจารย์เค้าพยายามจะช่วยเราขนาดนี้เราก็ยิ่งมีแรงพลักดันจูงใจให้ตัว เองทำยังไงก็ได้ที่จะไห้ผลการเรียนของเราดีขึ้น ต้องถีบตัวเอง จากการที่ไม่เคยแตะหนังสือเรียน ก็พยายามดิ้นรนอ่านหนังสือให้มากขึ้น จนคะแนนสอบเริ่มดีขึ้นเรื่อย จากที่เคยสอบตกมาตลอดก็เริ่มเห็นแสงสว่างด้านผลการเรียนเรื่อยมา
เราผ่านป.5มาได้ด้วยคะแนนที่ใช้ได้ ได้เปลี่ยนให้ไปอยู่ห้องที่มีความสามารถในกลุ่มปานกลาง(ห้องควีนส์) ที่สิงคโปร์เค้ามีการวัดระดับด้านการเรียน วัดกันทุกปีค่ะ แต่ละโรงเรียนจะมีห้องคิงส์ ห้องควีน และห้องธรรมดา ห้องละประมาณ 50คน พอได้เปลี่ยนห้องเปลี่ยนอาจารย์ ก็ได้เห็นอีกว่าอาจารย์คนใหม่ก็ทุ่มเทให้กับเด็กที่อาจจะเรียนช้ากว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียน เช่นกัน ช่วยสอนพิเศษให้เรา เพราะท่านเกรงว่าการที่หลักสูตรป.6ยากกว่าป.5 เราอาจจะตามคนอื่นไม่ทัน
นักเรียนป.6 ทุกคนของสิงคโปร์ในระบบโรงเรียนของรัฐบาลจะต้องสอบเทียบเข้าม.1 ที่เค้าเรียกกันว่าการสอบ PSLE ( Primary School leaving Examination) นี่คือการสอบที่ยิ่งใหญ่ในครั้งแรกของชีวิตเด็กนักเรียนทุกคน อาจารย์สอนชั้นประถมทุกท่านในทุกโรงเรียนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือให้เด็ก ของตัวเองสามารถสอบ PSLE ผ่าน เทียบเข้าม.ต้นในโรงเรียนที่ตัวเองได้เลือกไว้ให้ได้ เด็กทั้งประเทศจะมาทำข้อสอบตัวเดียวกันหมด แต่ละปีพ่อแม่ของทุกครอบครัวก็จะเครียดกันทั่วบ้านทั่วเมืองเวลาลูกตัวเอง ต้องสอบ PSLE เพราะถ้าสอบไม่ได้ดีก็จะหาโรงเรียนมัธยมให้ลูกเข้าได้ลำบากมาก เรียกได้ว่าชีวิตอาจจะดับวูบสิ้นหวังกันได้เลยถ้าสอบตก นี่ขนาดอยู่เเค่ป.6นะเนี่ย
วันที่ประกาศผลสอบ PSLE เช้าวันนั้นเราเดินผ่านอาจารย์ประจำชั้น เค้าก็ยิ้มๆให้อย่างมีเลศนัยแต่ไม่พูดอะไร พอได้ฤกษ์ประกาศผลการสอบ PSLE อาจารย์ก็ประกาศว่าคนที่ได้ที่ได้ที่ 1 ของห้อง สอบได้ A+ ทุกวิชา แล้วก็เรียกชื่อเราขึ้นมา หลายปีผ่านไปอาจารย์จะเรียกเรากลับไปพูดคุยกับรุ่นน้องเด็กต่างชาติที่เพิ่ง ย้ายไปเรียนที่สิงคโปร์ พอน้องๆได้ฟังเรื่องราวของเราเค้าก็เกิดแรงบัลดาลใจอย่างที่เราไม่เคยได้คิด มาก่อนและก็ตั้งใจเรียนสอบได้คะแนนดีกันไป
คิดว่าโชคดีมากค่ะที่ไปตกต่ำที่สิงคโปร์ค่ะ เพราะดญ.เนตรในตอนนั้นถ้าไม่ได้ระบบการศึกษาที่ดีพอ และ การเรียนการสอนที่ครูบาอาจารย์ทุ่มเทให้กับนักเรียนทุกคน และตั้งใจสอนจากจิตวิญญาณของคนเป็นครูอย่างมุ่งมั่น เราคงจะไม่ได้ดีมาถึงทุกวันนี้ คงจะยอมแพ้โชคชะตาชีวิตไปตามประสาเด็กที่สิ้นหวังที่คุยกะใครไม่รู้เรื่อง เพื่อนฝูงก็ไม่มีแทบจะเรียกได้ว่าอยู่คนเดียวในประเทศใหม่ที่ไม่เคยสำผัสมาก่อนเลย
การที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก เค้าจึงใส่ใจในทรัพยากรบุคลากรเป็นที่สุด รัฐบาลเห็นว่านักเรียนสิงคโปร์ทุกคนมีค่ามากเพราะเป็นอนาคตของชาติเค้า ดังนั้นเค้าจึงให้ความสำคัญและทุ่มเททางด้านการศึกอย่างเต็มที่ คณะครุศาสตร์ของสิงคโปร์เป็นองกรณ์ที่ปลีกตัวแยกออกมาจากมหาลัย อาจารย์ที่สอนอยู่ตามโรงเรียนทุกโรงเรียนของรัฐบาลจบมาจากที่เดียวกัน คุณภาพเท่าเทียมกัน อาจารย์ทุกคนได้จบมาด้วยอุดมการณ์เดียวกันที่จะมอบความ รู้และการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกคนอย่างสุดความสามารถ เพิ่งมาทราบภายหลังว่าถ้าอาจารย์ไม่มีจิตวิญญาญของครูที่แท้จริง จะเรียนไม่จบที่คณะครุฯของสิงคโปร์ค่ะ บุคลากรของประเทศเค้าวัดและทดสอบคุณภาพไม่ใช่แค่วัดกันด้วยคะแนนสอบอย่างเดียว ถ้าใครมีเวลาอยากจะให้ทุกคนได้ดูคลิ๊ปนี้ค่ะ เป็นการ promote คณะครุศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์ที่ทางกระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้น
http://youtu.be/to0GgHFR55w มีอาจารย์ที่เค้าดูแลเด็กกันอย่างนี้จริงๆ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านไหนที่มีคำถามหรือข้อสงสัยว่าจะสนับสนุนให้น้องไปเรียนที่สิงคโปร์ดีมั๊ย หรือใครที่รู้จักน้องๆที่เรียนอยู่แล้วเหมือนจะมีปัญหาเพราะตามเพื่อนๆเด็กสิงโปไม่ทันในห้องเรียน กลัวว่าจะสอบได้ไม่ดี ท้อแท้และผิดหวังเรื่องเรียน ก็บอกมาได้นะคะ เนตรอาจจะพอพูดให้กำลังใจน้องๆได้ค่ะ เพราะเราก็เคยเจอวิกฤตนั้นมาก่อน ความเครียดในช่วงนั้นเป็นอย่างไรเราได้ซึมซับสัมผัสประทะกับมันมาแล้ว แต่มาถึงตอนนี้เราก็หันไปมองจุดนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และจะได้มีส่วนร่วมมาช่วยให้กำลังใจรุ่นน้องทุกคน
หรือถ้าใครอยากพูดคุยทักทายเพิ่มเติมก็เมล์กันมาได้เลยนะคะ
email: su.cubris@gmail.com ค่ะ
เนตรจบจาก St. Margaret's Primary School มาได้ แล้วก็สอบเข้า St. Margaret's Secondary School (Singapore) ได้ตามที่มุ่งมั่นไว้
คราวหน้าจะมาแชร์ ชีวิตม.ต้นที่สิงคโปร์ นะคะ ถ้าใครสนใจติดตามได้ใน Part 2 จากกระทู้หน้าค่ะ
Part 2:
http://ppantip.com/topic/31390360
Part 3:
http://ppantip.com/topic/31418726
Edit : วิดีโอลิ้งค์, hyperlink to part 2 & 3
Update 2017
แม้เวลาจะผ่านไปพอสมควรแล้วสำหรับ post นี้ แต่เนตรและทีมงานก็ยังคงมีส่วนร่วมในการดูแลด้านการเตรียมพร้อมสำหรับน้องๆทุกด้าน ทั้งวิชาภาษาอังกฤษ และ คณิตศาสตร์ จนศิษย์น้อยของเรานับสิบๆคน สามารถสอบเข้าเรียนโรงเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ได้สำเร็จและได้ร่วมชั้นเรียนในประเทศที่มีการศึกษาเป็นอันดับ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว
และคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงก็คือผู้ปกครองของน้องๆทุกท่านค่ะ แรงสนับสนุนจากทางบ้านคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของศิษย์น้อยของเราทุกคน เด็กไทยทำได้ค่ะ
เรียนที่สิงคโปร์ ดีหรือไม่ ทำไมการศึกษาที่สิงคโปร์ถึงเป็นเลิศ พุดคุยจากประสบการณ์ (part 1 of 3)
ขออนุญาตแนะนำตัวคร่าวๆนะคะ ชื่อเนตรค่ะ
ตอนเด็กๆเคยเรียนอยู่ที่ สาธิตจุฬา (รุ่น CUD 36) ก่อนที่จะย้ายไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ และก็จบ ป.ตรี คณะวิศวะกรรมศาสตร์ ที่ออสเตเลีย ค่ะ
ปัจจุบันทำงานเป็นวิศวกรที่ออสฯ แล้วก็เปิดธุรกิจส่วนตัวที่ไทยด้านแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศค่ะ
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่อยู่ที่สิงคโปร์ มีคนมาถามมากมาย ว่า เรียนที่สิงคโปร์ดีมั๊ย ระบบของเค้าเป็นอย่างไร ทำไมประเทศสิงคโปร์ถึงได้ครองแช้มป์เป็นที่หนึ่งในอาเซียนทางด้านการศึกษามาโดยตลอด ทั้งๆที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็กนิดเดียว แทบจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติรองรับบุคลากรของเค้าเลยด้วยซ้ำ
เราได้มีโอกาสได้สำผัสการศึกษาของที่โน่น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐ ร่วมชั้นกับเด็กlocal singaporean ถ้าจะให้เล่าอย่างละเอียดกระทู้นี้คงจะยาวเหยียด เพราะฉะนั้นจะขอแบ่งออก เป็น 3 ส่วนหลักๆนะคะ คือ
1. ชีวิตการเรียนตอน ประถม
2. ชีวิตในช่วงมัธยม
3. การเรียนในช่วง Junior college (ม.ปลาย)
ก่อนที่ได้ไปเรียนที่สิงคโปร์ เรียนที่สาธิตจุฬาฯมาตลอดจนถึง ม.1 ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งค่ะ แค่พอถูๆไถๆสอบผ่านไปแต่ละปี จำได้เลยว่าแค่ไปโรงเรียนเพราะพ่อเเม่ ครูบาอาจารย์ ปลูกฝังล้างสมองมาว่าเราเป็นเด็กมีหน้าที่คือ เรียน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจการเรียน และคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ยุ่งทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลามาเฝ้าเข้มงวดผลักดันให้ เราเน้นเรื่องการเรียน ท่านไม่เคยคาดหวังว่าเราจะต้องเรียนเก่งแค่สอบผ่านท่านก็โอเคแล้ว ด้วยเหตุนี้ ดญ.เนตรจึงไม่สนใจการเรียนค่ะ หนังสือเรียนแทบจะไม่ได้อ่านเลย การบ้านที่อาจารย์ให้มาแต่ละวันก็อาศัยลอกเพื่อนๆค่ะ วันไหนลอกอย่างไม่ฉลาด ทำการบ้านผิดข้อเดียวกับเพื่อนอีกคนก็โดนจับได้ก็โดนทำโทษไปตามเรื่องตามราว
พอได้เรียนที่สิงคโปร์ ชีวิตด้านการเรียนก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์เป็นภาษาอังกฤษหมด จากที่เคยถูไถไปได้ เราก็ด้อยกว่าเพื่อนๆร่วมชั้นคนอื่นๆอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ถึงแม้เราจะจบ ม.1มา แต่พอลองไปทำข้อสอบวัดระดับแล้ว เราทำข้อสอบเค้าไม่ได้เลยเพราะอ่านโจทย์ไม่รู้เรื่องค่ะ ไม่สามารถตอบคำถาม ใดๆได้ คำศัพท์ทั้งหลายที่เคยเรียนมาหลายปีจากสาธิตฯก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเราไม่ได้มีโอกาสฝึกพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนเลย พูดไทยมาตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนที่สิงคโปร์จึงต้องลดชั้นการเรียนของเราค่ะ
ทางโรงเรียนก็ประเมินผลออกมาว่าเรามีปัญหาทางด้านภาษา ก็เลยอนุโลมให้เข้าเรียนร่วมชั้นกับเด็กคนอื่นๆ จากที่เคยอยู่ม.1 ก็ถูกลดชั้นกลับไปเรียน ป.5 ต้องทำข้อสอบเทียบชั้นของเด็ก ป.4 มีสอบ 2 วิชาคือ ภาษาอังกฤษ กับ คณิต ผลสอบคือ สอบเลขได้เกือบเต็ม แต่สอบอังกฤษได้เกือบศูนย์ค่ะ (12 / 100) เมื่อก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีโรงเรียนติวและเตรียมตัวนักเรียนต่างชาติ เพื่อปรับพื้นฐานและปรับทักษะภาษาอังกฤษของเรา
ช่วง 3 - 4 เดือนแรกเราเลยดิ้นรนกับการปรับตัวในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตที่ห่างใกล พ่อแม่และพี่เลี้ยง เป็นที่สุด เรียนก็ไม่รู้เรื่อง พูดกะใครก็ลำบากเพราะพูดอังกฤษไม่คล่อง ชีวิตตกต่ำค่ะ ก็เลยคิดได้ว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อการอยู่รอดไม่งั้นชีวิตนี้อยู่ไม่ได้ แน่ แต่จะทำยังไงดีหล่ะ เราเรียนไม่รู้เรื่องจริงๆ ความที่มาตรฐานการศึกษาที่สิงคโปร์เค้าดีมากอยู่เเล้วที่โน่นเค้าไม่มี โรงเรียนติวเข้มกวดวิชาไม่เหมือนที่ไทย เป็นเด็กโข่งโดนลดชั้นอยู่เเล้วถ้าต้องมาซ้ำชั้นอีกคงจะมองเพื่อนๆที่เมือง ไทยไม่ติด
โชคดีที่อาจารย์ทุกคนน่ารักมากๆค่ะ ตอนนั้นอาจารย์ประจำชั้นเป็นอาจารย์สอน วิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ พอท่านเห็นว่าเราด้อยกว่าเด็กคนอื่นท่านก็ยินดีสอนพิเศษให้เราเพิ่มนอกเวลา ห้องเรียนโดยไม่คิดค่าเรียนพิเศษเลยแม้แต่บาทเดียว มิหนำซ้ำบางวันยังซื้ออาหารว่างมาเผื่อเพราะกลัวว่าเราจะหิวเพราะเราจะต้อง เรียนหนักกว่าคนอื่น ท่านสอนแบบประกบตัวต่อตัว บทเรียนต่างๆที่ท่านสอนในห้องเรียนแล้วเราไม่เข้าใจ ท่านก็ยินดีสอนซ้ำนอกเวลา พูดคุยเป็นกำลังใจให้เราจนเราเริ่มพุดคุยกับเค้ารู้เเรื่อง เริ่มมีเพื่อนๆมากขึ้น เริ่มวิ่งเล่นกับเด็กสิงคโปร์ได้อย่างไม่อายใคร พูดผิดๆถูกๆ เพื่อนๆและอาจารย์เค้าก็เข้าใจให้อภัย ช่วยแนะช่วยแก้ไขให้ จากการที่ไปโรงเรียนอย่างเลื่อนลอยมาตลอดชีวิตที่เป็นนักเรียน ก็ได้เปลี่ยนทัศนะคติ เพราะการไปโรงเรียนทุกๆวันเราได้อะไรดีๆกลับมาเสมอ พอเห็นอาจารย์เค้าพยายามจะช่วยเราขนาดนี้เราก็ยิ่งมีแรงพลักดันจูงใจให้ตัว เองทำยังไงก็ได้ที่จะไห้ผลการเรียนของเราดีขึ้น ต้องถีบตัวเอง จากการที่ไม่เคยแตะหนังสือเรียน ก็พยายามดิ้นรนอ่านหนังสือให้มากขึ้น จนคะแนนสอบเริ่มดีขึ้นเรื่อย จากที่เคยสอบตกมาตลอดก็เริ่มเห็นแสงสว่างด้านผลการเรียนเรื่อยมา
เราผ่านป.5มาได้ด้วยคะแนนที่ใช้ได้ ได้เปลี่ยนให้ไปอยู่ห้องที่มีความสามารถในกลุ่มปานกลาง(ห้องควีนส์) ที่สิงคโปร์เค้ามีการวัดระดับด้านการเรียน วัดกันทุกปีค่ะ แต่ละโรงเรียนจะมีห้องคิงส์ ห้องควีน และห้องธรรมดา ห้องละประมาณ 50คน พอได้เปลี่ยนห้องเปลี่ยนอาจารย์ ก็ได้เห็นอีกว่าอาจารย์คนใหม่ก็ทุ่มเทให้กับเด็กที่อาจจะเรียนช้ากว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียน เช่นกัน ช่วยสอนพิเศษให้เรา เพราะท่านเกรงว่าการที่หลักสูตรป.6ยากกว่าป.5 เราอาจจะตามคนอื่นไม่ทัน
นักเรียนป.6 ทุกคนของสิงคโปร์ในระบบโรงเรียนของรัฐบาลจะต้องสอบเทียบเข้าม.1 ที่เค้าเรียกกันว่าการสอบ PSLE ( Primary School leaving Examination) นี่คือการสอบที่ยิ่งใหญ่ในครั้งแรกของชีวิตเด็กนักเรียนทุกคน อาจารย์สอนชั้นประถมทุกท่านในทุกโรงเรียนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือให้เด็ก ของตัวเองสามารถสอบ PSLE ผ่าน เทียบเข้าม.ต้นในโรงเรียนที่ตัวเองได้เลือกไว้ให้ได้ เด็กทั้งประเทศจะมาทำข้อสอบตัวเดียวกันหมด แต่ละปีพ่อแม่ของทุกครอบครัวก็จะเครียดกันทั่วบ้านทั่วเมืองเวลาลูกตัวเอง ต้องสอบ PSLE เพราะถ้าสอบไม่ได้ดีก็จะหาโรงเรียนมัธยมให้ลูกเข้าได้ลำบากมาก เรียกได้ว่าชีวิตอาจจะดับวูบสิ้นหวังกันได้เลยถ้าสอบตก นี่ขนาดอยู่เเค่ป.6นะเนี่ย
วันที่ประกาศผลสอบ PSLE เช้าวันนั้นเราเดินผ่านอาจารย์ประจำชั้น เค้าก็ยิ้มๆให้อย่างมีเลศนัยแต่ไม่พูดอะไร พอได้ฤกษ์ประกาศผลการสอบ PSLE อาจารย์ก็ประกาศว่าคนที่ได้ที่ได้ที่ 1 ของห้อง สอบได้ A+ ทุกวิชา แล้วก็เรียกชื่อเราขึ้นมา หลายปีผ่านไปอาจารย์จะเรียกเรากลับไปพูดคุยกับรุ่นน้องเด็กต่างชาติที่เพิ่ง ย้ายไปเรียนที่สิงคโปร์ พอน้องๆได้ฟังเรื่องราวของเราเค้าก็เกิดแรงบัลดาลใจอย่างที่เราไม่เคยได้คิด มาก่อนและก็ตั้งใจเรียนสอบได้คะแนนดีกันไป
คิดว่าโชคดีมากค่ะที่ไปตกต่ำที่สิงคโปร์ค่ะ เพราะดญ.เนตรในตอนนั้นถ้าไม่ได้ระบบการศึกษาที่ดีพอ และ การเรียนการสอนที่ครูบาอาจารย์ทุ่มเทให้กับนักเรียนทุกคน และตั้งใจสอนจากจิตวิญญาณของคนเป็นครูอย่างมุ่งมั่น เราคงจะไม่ได้ดีมาถึงทุกวันนี้ คงจะยอมแพ้โชคชะตาชีวิตไปตามประสาเด็กที่สิ้นหวังที่คุยกะใครไม่รู้เรื่อง เพื่อนฝูงก็ไม่มีแทบจะเรียกได้ว่าอยู่คนเดียวในประเทศใหม่ที่ไม่เคยสำผัสมาก่อนเลย
การที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก เค้าจึงใส่ใจในทรัพยากรบุคลากรเป็นที่สุด รัฐบาลเห็นว่านักเรียนสิงคโปร์ทุกคนมีค่ามากเพราะเป็นอนาคตของชาติเค้า ดังนั้นเค้าจึงให้ความสำคัญและทุ่มเททางด้านการศึกอย่างเต็มที่ คณะครุศาสตร์ของสิงคโปร์เป็นองกรณ์ที่ปลีกตัวแยกออกมาจากมหาลัย อาจารย์ที่สอนอยู่ตามโรงเรียนทุกโรงเรียนของรัฐบาลจบมาจากที่เดียวกัน คุณภาพเท่าเทียมกัน อาจารย์ทุกคนได้จบมาด้วยอุดมการณ์เดียวกันที่จะมอบความ รู้และการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกคนอย่างสุดความสามารถ เพิ่งมาทราบภายหลังว่าถ้าอาจารย์ไม่มีจิตวิญญาญของครูที่แท้จริง จะเรียนไม่จบที่คณะครุฯของสิงคโปร์ค่ะ บุคลากรของประเทศเค้าวัดและทดสอบคุณภาพไม่ใช่แค่วัดกันด้วยคะแนนสอบอย่างเดียว ถ้าใครมีเวลาอยากจะให้ทุกคนได้ดูคลิ๊ปนี้ค่ะ เป็นการ promote คณะครุศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์ที่ทางกระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้น http://youtu.be/to0GgHFR55w มีอาจารย์ที่เค้าดูแลเด็กกันอย่างนี้จริงๆ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านไหนที่มีคำถามหรือข้อสงสัยว่าจะสนับสนุนให้น้องไปเรียนที่สิงคโปร์ดีมั๊ย หรือใครที่รู้จักน้องๆที่เรียนอยู่แล้วเหมือนจะมีปัญหาเพราะตามเพื่อนๆเด็กสิงโปไม่ทันในห้องเรียน กลัวว่าจะสอบได้ไม่ดี ท้อแท้และผิดหวังเรื่องเรียน ก็บอกมาได้นะคะ เนตรอาจจะพอพูดให้กำลังใจน้องๆได้ค่ะ เพราะเราก็เคยเจอวิกฤตนั้นมาก่อน ความเครียดในช่วงนั้นเป็นอย่างไรเราได้ซึมซับสัมผัสประทะกับมันมาแล้ว แต่มาถึงตอนนี้เราก็หันไปมองจุดนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และจะได้มีส่วนร่วมมาช่วยให้กำลังใจรุ่นน้องทุกคน
หรือถ้าใครอยากพูดคุยทักทายเพิ่มเติมก็เมล์กันมาได้เลยนะคะ
email: su.cubris@gmail.com ค่ะ
เนตรจบจาก St. Margaret's Primary School มาได้ แล้วก็สอบเข้า St. Margaret's Secondary School (Singapore) ได้ตามที่มุ่งมั่นไว้
คราวหน้าจะมาแชร์ ชีวิตม.ต้นที่สิงคโปร์ นะคะ ถ้าใครสนใจติดตามได้ใน Part 2 จากกระทู้หน้าค่ะ
Part 2: http://ppantip.com/topic/31390360
Part 3: http://ppantip.com/topic/31418726
Edit : วิดีโอลิ้งค์, hyperlink to part 2 & 3
Update 2017
แม้เวลาจะผ่านไปพอสมควรแล้วสำหรับ post นี้ แต่เนตรและทีมงานก็ยังคงมีส่วนร่วมในการดูแลด้านการเตรียมพร้อมสำหรับน้องๆทุกด้าน ทั้งวิชาภาษาอังกฤษ และ คณิตศาสตร์ จนศิษย์น้อยของเรานับสิบๆคน สามารถสอบเข้าเรียนโรงเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ได้สำเร็จและได้ร่วมชั้นเรียนในประเทศที่มีการศึกษาเป็นอันดับ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว
และคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงก็คือผู้ปกครองของน้องๆทุกท่านค่ะ แรงสนับสนุนจากทางบ้านคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของศิษย์น้อยของเราทุกคน เด็กไทยทำได้ค่ะ