เรียนที่สิงคโปร์ ดีหรือไม่ ทำไมการศึกษาที่สิงคโปร์ถึงเป็นเลิศ พุดคุยจากประสบการณ์ (part 2 of 3)

ได้มีโอกาสมาเขียนเกียวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ใครที่ไม่แน่ใจว่าเรากำลังพูดถึงอะไรสามารถย้อนกลับไปอ่าน Part 1 ได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ
http://ppantip.com/topic/31380039

ความเดิมจากตอนที่แล้วเราพูดคุยกันถึงเรื่อง ชีวิตของเด็กน้อยวัย 12ปี ที่ถูกคุณพ่อคุณแม่ใจเด็ดตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ การปรับตัวของชีวิตในช่วงแรกๆโดยเฉพาะด้านการเรียนนั้น ต้องยอมรับค่ะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ด้วยดีอีกทั้งยังแซงหน้าเด็กสิงคโปร์อีกหลายพันคนด้วยซ้ำ ซึ่งอย่างที่เล่ากันไว้แล้วว่า เราได้ดีเพราะมีอาจารย์ที่ดีและมีหลักสูตรการศึกษาที่มั่นคง  สอนให้เราได้พัฒนาความคิดของเราได้เต็มที่และสอนไห้เรามีความพยายามที่จะไฝ่ฝึกฝนหมั่นเรียน  ทั้งๆที่เมื่อตอนอยู่ที่ประเทศไทยเราไม่เคยเป็นอย่างงี้มาก่อนเลยยยย

ระบบการเรียนมัธยมของที่สิงคโปร์จะใช้ระบบของ Cambridge ประจำประเทศอังกฤษ ช่วงหลังๆเราก็เพิ่งมารู้ค่ะว่า General Cambridge Examination 'Ordinary /Advance' Level (GCE 'O'/'A' Level) ของสิงคโปร์นั้นยากกว่าระบบ Cambridge ที่นักเรียนอังกฤษเรียนกันเสียอีก  

ระบบม.ต้น/ม.ปลายของสิงคโปร์เป็นอย่างไร
หลายคนอาจจะงงๆว่า O Level หรือ A Level คืออะไร  ขออนุญาตชี้แจงนะคะ
'O' Level สรุปง่ายๆคือหลักสูตร มัธยมต้นค่ะ ที่สิงคโปร์ ม.ต้น คือ ระดับ ม.1ถึงม.4หรือม.5 แล้วแต่ผลสอบเทียบตอนป.6 (PSLE) ใครที่มีผลสอบ PSLE ได้ดีทางโรงเรียนก็จะคัดให้อยู่สาย Express (Express stream) ซึ่งจะมีสิทธิ์ได้สอบ Entrance เลื่อนขั้นขึ้นม.ปลาย ('O' Level ) ตั้งแต่ม.4
ส่วนใครที่ทำ PSLE ได้ไม่ค่อยดีก็จะถูกจัดให้ไปอยู่ Normal stream ซึ่งจะมีหลักสูตรม.ต้น 5 ปีค่ะ ถ้าอยู่ใน Normal stream พอถึงม.4 ก็จะต้องสอบ 'N' Level  แล้วก็ค่อยสอบ 'O' Level ตอนม.5 คราวนี้คงเห็นภาพมากขึ้นนะคะว่าทำไมเรามักจะได้ยินว่าการศึกษาที่สิงคโปร์นั้นแข่งขันกันตลอดเวลา  เริ่มเป็นนักรบกันตั้งแต่สอบเทียบป.6ค่ะ ถ้าเลี่ยงได้ทุกคนก็อยากจะเลี่ยงหลักสูตรม.ต้น 5 ปีค่ะ  

ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่มัธยมต้น จะมีแต่การแข่งขัน ถึงไม่แข่งกันในห้องก็แข่งกันข้ามโรงเรียนค่ะ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเนตรมักจะมาพูดบ่นเสมอว่าตราบใดที่เราใส่เครื่องแบบนักเรียนของเค้า เราเป็นตัวแทนของโรงเรียน เราต้องประพฤติดี ถ้าใครทำให้โรงเรียนเสียชื่อเสียงนี่โดนทำโทษค่ะ แต่จะไม่มีการเฆี่ยนตี ทำโทษแนวประจารกันไปเลยหลังเคารพธงชาติ ประกาศให้ทั้งโรงเรียนได้รับทราบใช้สงครามจิตวิทยา ประเทศเค้าแคร์เรื่อง ranking โรงเรียนมากกกกกกก School ranking เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในสิงคโปร์  ใครที่เข้าโรงเรียนที่ดีหน่อยก็ต้องไปเครียดต่อเพราะเราก็มีหน้าที่รักษาชื่อเสียงของโรงเรียนต่อไป
ขอยกตัวอย่างเลยนะคะ ตอนเนตรอยู่ม.3 เกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน รุ่นน้องคนนึงเค้ากดดันมากค่ะ(จากปัญหาส่วนตัว) เธอพรากชีวิตของตัวเอง1วันก่อนวันเปิดเทอม พอวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวค่ะ อาจารย์ใหญ่ออกมาประกาศว่า
" ครูมีข่าวร้ายและข่าวดีจะมาบอก ข่าวร้ายคือน.ส.xxx ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ข่าวดีคือ หนังสือพิมพ์ได้ลงประกาศพาดหัวข่าว ให้ทั้งประเทศได้รับทราบว่า น.ส.xxx จาก St margaret's Secondary school ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดีแห่งหนึ่งได้...... " อาจารย์ใหญ่ยังมีอารมณ์มาอวยโรงเรียนทั้งที่นักเรียนน้ำตาคลอจากการที่สูญเสียเพื่อนไป

ซึ่งจริงๆเเล้วโรงเรียนของเนตรก็ไม่ได้ดีเลิศ อยู่ในระดับปานกลางแต่ดูซิ อาจารย์ใหญ่นี่ปลูกฝังให้เรารักสถาบันจังเลยเนอะ ให้เราภูมิใจในโรงเรียนที่เราเรียนอยู่ ตอนเเรกเราก็ไม่เข้าใจ จะมาเอาอะไรกันนักหนากะแค่โรงเรียน เราไม่ได้ใส่ใจ แต่ภายหลังเราก็มารู้ว่าเป็นเพราะท่านเชื่อว่า นักเรียนเราจะทำอะไรให้ดีได้เราต้องเคารพสถานที่ที่เราเรียนอยู่ให้ได้ก่อน ถ้าเราขาดความเชื่อมั่นในโรงเรียนแล้วเราจะเรียนอย่างมีความสุขได้อย่างไร ถ้านักเรียนไม่มีความสุขแล้วนักเรียนจะสอบได้คะแนนดีได้อย่างไร ซึ่งเป็นอะไรที่เราไม่เคยเจอมาก่อนตอนที่เรียนอยู่ที่ไทย

แต่ละโรงเรียนที่นั่นก็จะมีกลยุทธิ์วิธีหว่านล้อมกึ่งล้างสมองให้เราได้เอาใจใส่กับการเรียนมากขึ้น  สอนให้เรามีวินัย  อาศัยความขยันหมั่นเพียร บางทีอาจารย์ในโรงเรียนก็จับกลุ่มให้เด็กที่เรียนเก่งกว่ามาช่วยกันติวคนที่อ่อนกว่า ทะเลาะกันบ้างก็มีค่ะเพราะคนที่เรียนเก่งก็ใช่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่พอเราได้ฝึกไปเรื่อยๆเราก็มารู้ว่าวิธีนี้ก็ดีมากเลยเพราะทุกคนจะถูกบังคับให้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะมาสอนเพื่อนๆ อีกทั้งยังฝึกความอดทนให้กับตัวเองอีกด้วย  ระบบของเค้าสอนให้เราได้คิดเเละได้โตเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น  ที่สิงคโปร์ไม่มีโรงเรียนกวดวิชาเพราะเค้าเล็งเห็นว่าระบบการศึกษาจะต้องให้เด็กเรียนรู้ทักษะใหม่ ซึ่งเค้าเชื่อว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญมากกว่าแค่การรู้เทคนิคการทำข้อสอบ .

เด็กแต่ละบ้าน ถ้าเรียนพิเศษก็จะเน้นเรียนพิเศษตัวต่อตัว ส่วนใหญ่ให้พี่นิสิตรุ่นพี่มาช่วยสอน แต่ตัวเราเองไม่เคยได้มีโอกาสนั้นค่ะเพราะทางบ้านมีงบจำกัด พ่อแม่ท่านส่งเนตรและพี่น้องอีก 2 คนมาเรียนพร้อมกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษกิจฟุบพอดี เราเลยอดเรียนพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราด้อยกว่าเด็กสิงคโปร์คนอื่นเลย ถึงแม้เราจะไม่ได้เรียนพิเศษเราก็ยังสอบ O LeveL ได้ อาศัยการเรียนการสอนตามที่โรงเรียนได้จัดไว้ให้เป็นหลัก มีช่วงนึงเราทำงาน part time ไปด้วย เพราะทางบ้านติดขัดส่งเงินมาให้ไม่ได้  ไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้าน เนตรก็รับจ้างขี่จักยานส่งหนังสือพิมพ์หลังเลิกเรียนบ้างหรือรับจ้างแจกใบปลิวตามห้างไปด้วย เดินขายดอกไม้วัน Valentine ตาม orchard road ก็เคยทำค่ะ ก็พอประทังชีวิตไปได้ ตอนนั้นอายุ 16 ปีค่ะ (ใครว่าชีวิตเด็กนอกสบายขอให้คิดใหม่นะคะ)

การสอบ 'O' Level เค้าวัดกันที่แต้มค่ะ  แต้มยิ่งน้อยยิ่งดีค่ะ โดยระบบ L1R5 (1 English + 5 Best subjects)
คะเเนนเกรดของแต่ละวิชาจะแบ่งตามนี้
A1 = 75 marks and above -- 1แต้ม
A2 = 70-75   -- 2 แต้ม
B3 = 65-70   -- 3 แต้ม
B4 = 60-65   -- 4แต้ม
C5 = 55-60   -- 5 แต้ม
C6 = 50-55   -- 6 แต้ม
D7 = 45-50  -- 7 แต้ม
E8 = 40-45  -- 8 แต้ม
F9 = 40 marks and below -- 9 แต้ม

โรงเรียนมัธยมของสิงคโปร์จะส่งเสริมให้เด็กได้ดีทางดานกิจกรรมด้วยไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียวที่เค้าเรียกกันว่า Co-curricular activity  คะแนนภาคกิจกรรมจะเป็นคะแนนพิเศษเอามาเป็นส่วนลดคะแนนของเราที่จะยื่นเข้า JC ได้ กิจกรรมก็มีเกรดคะแนนที่ต่างกันอีก  ใครได้เกรดดีก็มีสิทธิ์ได้แต้มโบนัสมาหักออกจากแต้มที่ได้จากการสอบได้ ถ้าใครเป็นนักกีฬาทีมชาติ หรือทำชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนก็จะได้สิทธิ์เพิ่มไปอีก

ใครที่อยากจะเข้ามหาลัยที่สิงคโปร์จะต้องสอบ 'O' Level ให้ได้คะแนนดีๆเพื่อที่จะได้เข้า Junior College ( ม.ปลาย)ให้ได้ ถ้าเป็น JC ที่มีชื่อเสียงก็จะมี Cut off score ที่ต่ำมากเช่น 0-7แต้ม ( บางโรงเรียน ใครได้ 7 แต้มถือว่าเยอะมากแล้วนะคะ เข้าได้แต่สายศิลป์นะคะ สายวิทย์ต้องไม่เกิน 4 แต้ม)  JC ที่มี Cut off มากที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 20แต้ม ใครสอบได้เกิน 21 แต้มมักจะไปทาง Polytechnic

หลักสูตร JC จะเตรียมให้เราเรียนรู้การสอบ 'A' Level หรือที่ประเทศเรารู้จักกันดีในนามของการสอบ Entrance  ซึ่งที่ประเทศของเค้านั้นมี Junior college ไม่ถึง 20แห่งไว้รองรับนักเรียนค่ะ ตอนที่เนตรสอบมี Junior College เพียง 14 แห่งด้วยซ้ำ แต่ละแห่งรับเด็กจำนวนจำกัด ใครสอบ 'O' Level ได้คะแนนไม่ดีไม่สามารถเข้า JC ได้ก็จะต้องแยกไปเรียน Polytechnic ( อาชีวศึกษา) เป็นเวลา 3 ปี ก่อนที่จะมีโอกาสสมัครสอบเข้ามหาลัยได้ ซึ่งโอกาสของเด็กที่จบ Polytechnic แล้วสอบเข้ามหาลัยได้นั้นจะมีเพียง 5 % เท่านั้น

% ของนักเรียนที่จะเข้ามหาลัยได้จะเป็นตามนี้ **อ้างอิงจากประสบการณ์นะคะ จากที่เห็นเพื่อนๆร่วมชั้นเค้าจบกันมา ไม่ได้เอา stats ขององกรณ์ใดๆมาวัดทั้งสิ้น

70% ของ Express stream students  จะสามารถทำคะแนนสอบดีพอที่จะเข้า Junior college ได้
20% ของ Normal stream students จะสามารถทำคะแนนสอบดีพอที่จะเข้า Junior college ได้
50% ของเด็กที่เรียน Junior College จะสามารถเข้ามหาลัยของสิงคโปร์ได้ตามผลสอบของ 'A' Level
  5% ของนักเรียนที่แยกไปเรียนสายอาชีวะศึกษาหรือ Diploma จะสามารถสอบผ่านเข้ามหาลัยได้

วันที่สอบ 'O' Level นักเรียนจะทำข้อสอบวิชาเดียวกัน เวลาเดียวกันหมด ข้อสอบทุกชุดจะถูกผนึกไว้อย่างดี ถ้าชุดไหนมีรอยฉีก seal ก่อนกำหนดจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากๆๆๆๆค่ะ  เด็กที่นั่งสอบจะถูกตัดสิทธิ์การสอบทันที ข้อสอบ 'O' Level (หรือช่วง มัธยมต้น) นั้นจะสั่งตรงมาจากอังกฤษ มาเก็บไว้ในห้องลับประจำกระทรวงศึกษาธิการของประเทศเค้า ซึ่งมีระบบป้องกันภัยที่ซับซ้อนมากกกกค่ะ ( ที่รู้เพราะเพื่อนเมื่อสมัยเรียนตอนนี้ทำงานอยู่ที่กระทรวงค่ะ เค้าเล่าให้ฟังค่ะว่าห้องนั้นผู้ไม่มีกิจห้ามเข้า แม้แต่ยามยังเข้าไม่ได้  ต้องรอคณาจารย์มาเปิดห้องพร้อมกันทั้งหมู่คณะ ก่อนที่จะเบิกข้อสอบไปแจกจ่ายตามโรงเรียนได้ ) ข้อสอบของที่นั่นจะถึงโรงเรียนตอน 6โมงเช้าของวันที่สอบค่ะ  และไม่มีอาจารย์คนไหนกล้าแอบเอาข้อสอบมาเปิดก่อนเพราะมิฉะนั้นจะถูกยึดใบประกอบวิชาชีพในทันที เพราะฉะนั้นจะไม่มีท่านได้กุมความลับกุมข้อสอบไว้ได้เลย  อาจารย์ทุกคนก็เครียดไม่แพ้นักเรียนค่ะ เพราะต่างก็อยากให้นักเรียนและโรงเรียนของตัวเองได้ดี


หลายท่านอาจจะสงสัยว่าหลักสูตรของสิงคโปร์แตกต่างกับของไทยอย่างไร  เนตรจะยกตัวอย่างแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษของ 2 ประเทศให้ดูนะคะ

โจทย์ข้อที่ 1:
A: Many happy _____________ of your holiday
B: Thank you.

a.    returns    b.    times
c.    days            d.    hours                                  

โจทย์ข้อที่ 2:
The investigator tried to uncover the truth about the incident but was faced with a/an _______task.
    
a. Downhill      b. Escalating
c. Elevating    d. Uphill                                        

ลองใช้เวลาซักนิดทำทั้งสองข้อดู แล้วลองเปรียบเทียบถึงความยาก/ง่ายของแต่ละข้อ

(คำตอบ  ข้อ 1: C      ข้อ 2: D)

โจทย์ข้อที่ 1 เนตรเอามาจากหนังสือเตรียมสอบ Entrance ของระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ( ม.6บ้านเรา) ส่วนข้อที่ 2 มาจากแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษของเด็กประถมศึกษาปีที่5 ( ป.5 ของที่สิงคโปร์ค่ะ)  จะมีใครช้อกมั๊ยคะ 555


เนื่องด้วยมหาลัยของสิงคโปร์มีอยู่แค่ 2 แห่งเท่านั้นค่ะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเรียนสิงคโปร์ทุกคนจะต้องเจอศึกหนักอยู่ตลอดเวลา แข่งขันกันสุดเหวี่ยง คนที่เก่งจริงเท่านั้นถึงจะเข้ามหาลัยได้ ไม่ได้วัดกันด้วยเงินหรือว่าใครเส้นใหญ่กว่าใคร  มหาลัยแห่งแรกของสิงคโปร์ติดอันดับ Top 25 ของโลก (2013) ซึ่งแตกต่างจากในของประเทศเราโดยสิ้นเชิงเพราะจากการจัดอันดับมหาลัยของโลกตามสถิติของ QS นั้น มหาลัยที่ดีที่สุดในไทยประจำปีนี้อยู่อันดับที่ 281 ของโลกค่ะ


ไว้คราวหน้าถ้ามีใครสนใจจะมาเขียน Part 3 ให้ได้อ่านกันต่อไปนะคะ
Edit Part 3 เขียนเสร็จแล้ว ตามลิ้งค์นี้นะคะ ppantip.com/topic/31418726

ปล : "สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านไหนที่มีคำถามหรือข้อสงสัยว่าจะสนับสนุนให้น้องไปเรียนที่สิงคโปร์ดีมั๊ย หรือใครที่รู้จักน้องๆที่เรียนอยู่แล้วเหมือนจะมีปัญหาเพราะตามเพื่อนๆเด็กสิงโปไม่ทันในห้องเรียน กลัวว่าจะสอบได้ไม่ดี ท้อแท้และผิดหวังเรื่องเรียน ก็บอกมาได้นะคะ เนตรอาจจะพอพูดให้กำลังใจน้องๆได้ค่ะ  เพราะเราก็เคยเจอวิกฤษนั้นมาก่อน ความเครียดในช่วงนั้นเป็นอย่างไรเราได้ซึมซับสัมผัสประทะกับมันมาแล้ว แต่มาถึงตอนนี้เราก็หันไปมองจุดนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และจะได้มีส่วนร่วมมาช่วยให้กำลังใจรุ่นน้องทุกคน
หรือถ้าใครอยากพูดคุยทักทายเพิ่มเติมก็เมล์กันมาได้เลยนะคะ"

email: su.cubris@gmail.com ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่