คำสั่งเสียของมหาบุรุษ
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
มหาบุรุษทุกคนมีความปรารถนาของตัวเองและทุกคนอยากให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้ยังไม่สมปรารถนาขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มหาบุรุษทั้งหลายก็อยากจะเห็นความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ดังนั้น มหาบุรุษแต่ละคนจึงมีคำสั่งเสียถึงคนที่อยู่ข้างหลังแตกต่างกันไป
ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์เชื่อว่า หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณของเขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมอีก และเขาปรารถนาที่จะกลับมาเสวยสุขในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงสะสมทรัพย์สินไว้มากมายและสั่งเสียคนของเขาให้เก็บทรัพย์สินและรักษาศพของเขาไว้ในสภาพของมัมมี่
แต่จนทุกวันนี้ วิญญาณของเขาก็ยังไม่กลับมาสู่ร่างเดิม มิหนำซ้ำทรัพย์สมบัติและมัมมี่ของเขาซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้พีระมิดยังถูกค้นพบ และถูกนำมาตั้งแสดงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของโลก
หลังสมัยฟาโรห์ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โลกก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ เพราะเขาเป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคโบราณ
แม้จะเป็นผู้พิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ในบั้นปลายของชีวิต เขาก็ถูกโรคภัยไข้เจ็บพิชิตสังขารจนต้องนอนราบคาบอยู่บนเตียงนับเดือน เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา เขารู้ว่าแสนยานุภาพของกองทหารที่เขาสร้างไว้ไม่สามารถขัดขวางทูตมรณะที่จะมากระชากวิญญาณออกไปจากร่างของเขาได้ อาจเป็นเพราะกาลเวลาหรือวุฒิภาวะก็ได้ที่ทำให้จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตมากกว่าฟาโรห์
เขาเรียกเสนาบดีและขุนศึกคู่ใจทั้งหลายมาพบและสั่งเสียคนเหล่านั้นให้ทำตามความปรารถนาของเขาสามประการ ดังนี้
-ขอให้แพทย์ผู้รักษาเขาเป็นผู้แบกแคร่หามศพของเขา
-ขณะที่แบกศพของเขาไปยังสุสาน ขอให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง และอัญมณีต่างๆที่เขาสะสมไว้ตลอดทาง
-ขอให้ปล่อยมือสองข้างของเขาห้อยไว้ข้างแคร่หามศพ
ขุนศึกคู่ใจของเขาคุกเข่าลงและดึงมือของเขามาจุมพิตด้วยความเศร้าใจอย่างสุดซึ้งพร้อมกับรับปากว่า จะทำตามที่เขาสั่งเสียไว้ทุกประการ แต่ขุนศึกผู้นั้นถามจักรพรรดิด้วยความอยากรู้ว่า มีเหตุผลอะไรที่สั่งเสียให้ทำเช่นนั้น
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเหตุผลให้ขุนศึกและเสนาบดีที่อยู่รอบข้างได้รู้ถึงความปรารถนาของเขาว่า
“ที่ฉันต้องการให้แพทย์ผู้รักษาฉันเป็นผู้แบกโลงศพของฉัน ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักว่า ไม่มีหมอคนใดสามารถรักษาคนป่วยได้จริง พวกหมอเหล่านั้นไม่มีพลังอำนาจใดๆที่จะยื้อชีวิตคนไข้ให้พ้นจากความตายได้
ฉะนั้น ขออย่ายื้อชีวิตของใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย
“เรื่องที่ฉันอยากให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง และอัญมณีบนเส้นทางไปสู่สุสานก็เพื่อจะบอกผู้คนทั้งหลายว่า...แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของแก้วแหวนเงินทองซึ่งฉันหามาได้ ฉันก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้
“ที่ฉันขอให้ปล่อยมือทั้งสองข้างของฉันห้อยไว้ข้างแคร่ ก็เพื่อบอกให้ผู้คนได้รู้ว่าฉันมามือเปล่ายังโลกนี้และฉันก็จากโลกนี้ไปอย่างมือเปล่า”
หลังคริสตกาลประมาณ 600 ปี โลกก็มีมหาบุรุษชาวอาหรับผู้พิชิตที่ชื่อว่า อุมัรฺ อิบนุลคอฏฏอบ แม้จะมีพื้นเพที่มั่งคั่งมาแต่เดิมและได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺหรือตำแหน่งประมุขรัฐอิสลามที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งทำให้ถนนทุกสายนำความมั่งคั่งสู่นครมะดีนะฮฺ
แต่อุมัรฺเลือกที่จะใช้ชีวิตสมถะตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด หากมีเวลาว่างในบางคืน เขาจะออกตรวจตราดูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วยตัวเอง
อุมัรฺปกครองรัฐอิสลามเป็นเวลา 10 ปี ในบั้นปลายชีวิต เขาถูกชาวเปอร์เซียคนหนึ่งลอบสังหาร เพราะไม่พอใจในการตัดสินของเขาเรื่องค่าจ้างและการเก็บภาษี ก่อนสิ้นใจ เขาสั่งเสียคนที่จะขึ้นมาสืบอำนาจต่อจากเขาให้คำนึงถึงสิทธิและความสำคัญของคนทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมกับท่านนบีมุฮัมมัดในการสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นชาวมักก๊ะฮฺที่ช่วยเหลือท่านนบีมาตั้งแต่ต้น และชาวมะดีนะฮฺที่ให้ความช่วยเหลือท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อท่านอพยพไปอยู่ที่นั่นต่อจากนั้น เขาก็กำชับว่า
“จงรับผิดชอบดูแลผู้ที่มิใช่มุสลิมในรัฐอิสลาม(ซิมมี) และสัญญาใดๆก็ตามที่ทำไว้กับพวกซิมมีจะต้องได้รับการปฏิบัติให้ครบถ้วน พวกเขาจะต้องได้รับการป้องกันจากศัตรูและพวกเขาจะต้องไม่ถูกขอให้ทำสิ่งใดที่เกินไปกว่ากำลังของพวกเขา”
หลังจากสั่งเสียเรื่องส่วนรวมแล้ว อุมัรฺก็สั่งเสียเรื่องส่วนตัวของเขา สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการได้อยู่เคียงข้างกับท่านนบีมุฮัมมัดผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาตลอดไป
ดังนั้น เขาจึงส่งลูกชายของเขาไปขออนุญาตท่านหญิงอาอิชะฮฺภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัดให้ฝังร่างของเขาเคียงข้างท่านนบี และเขาก็สมปรารถนาเมื่อท่านหญิงอาอิชะฮฺได้กล่าวว่า
“ฉันก็คิดที่จะกันสถานที่ตรงนี้ไว้สำหรับตัวฉันเองเหมือนกัน แต่วันนี้ฉันจะให้ความสำคัญแก่อุมัรฺมากกว่าตัวฉัน”
คำสั่งเสียของมหาบุรุษ
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
มหาบุรุษทุกคนมีความปรารถนาของตัวเองและทุกคนอยากให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้ยังไม่สมปรารถนาขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มหาบุรุษทั้งหลายก็อยากจะเห็นความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ดังนั้น มหาบุรุษแต่ละคนจึงมีคำสั่งเสียถึงคนที่อยู่ข้างหลังแตกต่างกันไป
ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์เชื่อว่า หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณของเขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมอีก และเขาปรารถนาที่จะกลับมาเสวยสุขในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงสะสมทรัพย์สินไว้มากมายและสั่งเสียคนของเขาให้เก็บทรัพย์สินและรักษาศพของเขาไว้ในสภาพของมัมมี่
แต่จนทุกวันนี้ วิญญาณของเขาก็ยังไม่กลับมาสู่ร่างเดิม มิหนำซ้ำทรัพย์สมบัติและมัมมี่ของเขาซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้พีระมิดยังถูกค้นพบ และถูกนำมาตั้งแสดงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของโลก
หลังสมัยฟาโรห์ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โลกก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ เพราะเขาเป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคโบราณ
แม้จะเป็นผู้พิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ในบั้นปลายของชีวิต เขาก็ถูกโรคภัยไข้เจ็บพิชิตสังขารจนต้องนอนราบคาบอยู่บนเตียงนับเดือน เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา เขารู้ว่าแสนยานุภาพของกองทหารที่เขาสร้างไว้ไม่สามารถขัดขวางทูตมรณะที่จะมากระชากวิญญาณออกไปจากร่างของเขาได้ อาจเป็นเพราะกาลเวลาหรือวุฒิภาวะก็ได้ที่ทำให้จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตมากกว่าฟาโรห์
เขาเรียกเสนาบดีและขุนศึกคู่ใจทั้งหลายมาพบและสั่งเสียคนเหล่านั้นให้ทำตามความปรารถนาของเขาสามประการ ดังนี้
-ขอให้แพทย์ผู้รักษาเขาเป็นผู้แบกแคร่หามศพของเขา
-ขณะที่แบกศพของเขาไปยังสุสาน ขอให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง และอัญมณีต่างๆที่เขาสะสมไว้ตลอดทาง
-ขอให้ปล่อยมือสองข้างของเขาห้อยไว้ข้างแคร่หามศพ
ขุนศึกคู่ใจของเขาคุกเข่าลงและดึงมือของเขามาจุมพิตด้วยความเศร้าใจอย่างสุดซึ้งพร้อมกับรับปากว่า จะทำตามที่เขาสั่งเสียไว้ทุกประการ แต่ขุนศึกผู้นั้นถามจักรพรรดิด้วยความอยากรู้ว่า มีเหตุผลอะไรที่สั่งเสียให้ทำเช่นนั้น
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเหตุผลให้ขุนศึกและเสนาบดีที่อยู่รอบข้างได้รู้ถึงความปรารถนาของเขาว่า
“ที่ฉันต้องการให้แพทย์ผู้รักษาฉันเป็นผู้แบกโลงศพของฉัน ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักว่า ไม่มีหมอคนใดสามารถรักษาคนป่วยได้จริง พวกหมอเหล่านั้นไม่มีพลังอำนาจใดๆที่จะยื้อชีวิตคนไข้ให้พ้นจากความตายได้
ฉะนั้น ขออย่ายื้อชีวิตของใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย
“เรื่องที่ฉันอยากให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง และอัญมณีบนเส้นทางไปสู่สุสานก็เพื่อจะบอกผู้คนทั้งหลายว่า...แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของแก้วแหวนเงินทองซึ่งฉันหามาได้ ฉันก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้
“ที่ฉันขอให้ปล่อยมือทั้งสองข้างของฉันห้อยไว้ข้างแคร่ ก็เพื่อบอกให้ผู้คนได้รู้ว่าฉันมามือเปล่ายังโลกนี้และฉันก็จากโลกนี้ไปอย่างมือเปล่า”
หลังคริสตกาลประมาณ 600 ปี โลกก็มีมหาบุรุษชาวอาหรับผู้พิชิตที่ชื่อว่า อุมัรฺ อิบนุลคอฏฏอบ แม้จะมีพื้นเพที่มั่งคั่งมาแต่เดิมและได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺหรือตำแหน่งประมุขรัฐอิสลามที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งทำให้ถนนทุกสายนำความมั่งคั่งสู่นครมะดีนะฮฺ
แต่อุมัรฺเลือกที่จะใช้ชีวิตสมถะตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด หากมีเวลาว่างในบางคืน เขาจะออกตรวจตราดูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วยตัวเอง
อุมัรฺปกครองรัฐอิสลามเป็นเวลา 10 ปี ในบั้นปลายชีวิต เขาถูกชาวเปอร์เซียคนหนึ่งลอบสังหาร เพราะไม่พอใจในการตัดสินของเขาเรื่องค่าจ้างและการเก็บภาษี ก่อนสิ้นใจ เขาสั่งเสียคนที่จะขึ้นมาสืบอำนาจต่อจากเขาให้คำนึงถึงสิทธิและความสำคัญของคนทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมกับท่านนบีมุฮัมมัดในการสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นชาวมักก๊ะฮฺที่ช่วยเหลือท่านนบีมาตั้งแต่ต้น และชาวมะดีนะฮฺที่ให้ความช่วยเหลือท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อท่านอพยพไปอยู่ที่นั่นต่อจากนั้น เขาก็กำชับว่า
“จงรับผิดชอบดูแลผู้ที่มิใช่มุสลิมในรัฐอิสลาม(ซิมมี) และสัญญาใดๆก็ตามที่ทำไว้กับพวกซิมมีจะต้องได้รับการปฏิบัติให้ครบถ้วน พวกเขาจะต้องได้รับการป้องกันจากศัตรูและพวกเขาจะต้องไม่ถูกขอให้ทำสิ่งใดที่เกินไปกว่ากำลังของพวกเขา”
หลังจากสั่งเสียเรื่องส่วนรวมแล้ว อุมัรฺก็สั่งเสียเรื่องส่วนตัวของเขา สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการได้อยู่เคียงข้างกับท่านนบีมุฮัมมัดผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาตลอดไป
ดังนั้น เขาจึงส่งลูกชายของเขาไปขออนุญาตท่านหญิงอาอิชะฮฺภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัดให้ฝังร่างของเขาเคียงข้างท่านนบี และเขาก็สมปรารถนาเมื่อท่านหญิงอาอิชะฮฺได้กล่าวว่า
“ฉันก็คิดที่จะกันสถานที่ตรงนี้ไว้สำหรับตัวฉันเองเหมือนกัน แต่วันนี้ฉันจะให้ความสำคัญแก่อุมัรฺมากกว่าตัวฉัน”