จากกระทู้แรก
http://ppantip.com/topic/30439046 ยังอยู่ที่
นครมาดีนะฮ์ อัลมูเนาวเราะฮ์ครับ
งดดราม่าและขอความกรุณามีมารยาทในการแสดงความคิดเห็นเหมือนเช่นเคยครับ
ขอลงรายละเอียดเกี่ยวกับมัสยิดนาบาวีย์สักหน่อย
มัสยิดนาบาวีย์ เป็นมัสยิดที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) สร้างกับบรรดาซอฮาบะห์(สหาย)ของท่าน เมื่อตอนที่ท่านฮฺจเราะฮ์(อพยพ)
จากนครมักกะฮ์มาสู่นครมาดีนะฮ์ใหม่ๆ เป็นมัสยิดที่เกิดขึ้นบนรากฐานของความตั๊กวา (ยำเกรง) มีความสำคัญเป็นอันดับสอง
รองจากมัสยิดฮารอมที่มักกะฮ์ เป็นมัสยิดที่โอ่อ่าอลังการณ์มาก เสามีอยู่ 2,104 ต้น แต่ละต้นตกแต่ง ประดับประดาไปด้วยทอง
ดูแล้วตื่นตาตื่นใจมาก ภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ มีหลังคาส่วนที่เรียกว่าโดมเป็นรูปลูกปิงปองครึ่งซีกครอบอยู่ 27 โดม เขียนลวดลายสวยงามมาก แต่ละโดมมีพื้นที่ประมาณ 10x10 เมตร หนัก 80 ตัน เลื่อนปิดเปิดด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีส่วนที่เป็นร่มเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าเช่นกันอีก 12 ร่ม (เฉพาะตัวมัสยิดไม่เกี่ยวกับรอบอาคารมัสยิดซึ่งมีจำนวนมาก) ชั้นจอดรถใต้ดินมีสองชั้น จอดได้สี่พันกว่าคัน บนดาดฟ้าจุคนประมาณเก้าหมื่นกว่าคน ทั้งหมดรวมบริเวณลานด้านนอกจุคนได้เจ็ดแสนกว่าคน ในเทศกาลฮัจย์ที่มีผู้คนหนาแหน่นสามารถได้ทั้งหมดในคราวเดียวกันประมาณ 1 ล้านคน
ถ้าฝนตกหรือแดดออกโดมจะปิด เวลาอากาศดีๆ โดมจะถูกเปิด นั่งแล้วโล่งสบาย ตกตอนเย็นจะมีคนชอบไปนั่งใต้โดมเพื่อคอยดูเวลาโดมเลื่อนเปิด พื้นภายในเป็นหินอ่อนแต่เขาจะปูพรมเต็มเกือบตลอด ถ้าเป็นวันศุกร์จะมีชาวเมืองมาดีนะฮ์มาร่วมละหมาดวันศุกร์ด้วย
บนลานด้านนอกเขาก็จะปูพรมเต็มพื้นที่เลย ที่นี่สถาปนิกเขาออกแบบได้เนี้ยบมาก ในอาคารไม่เห็นหลอดไฟเลย
นอกจากโคมไฟประดับเท่านั้น ช่องแอร์จะหลบอยู่ในเสาทุกต้นดูไม่ออก จะทราบก็ต่อเมื่อเอามือไปอังตรงลวดลายที่ประดับอยู่ที่เสา
ภายในมัสยิดมีคูลเลอร์ใส่น้ำซัมซัมเย็นๆตั้งเป็นจุดๆไว้บริการ
ท่านนบีได้กล่าวไว้ว่า การละหมาดในมัสญิดของฉัน(ที่มาดีนะฮ์)นั้นดีกว่าการละหมาดที่อื่นถึงหนึ่งพันเท่ายกเว้นที่
มัสญิดอัลฮารอม(ในมักกะฮ์) และการละหมาเในมัสญิดฮารอมนั้นดีกว่าแสนเท่าของการละหมาดในที่อื่น
โดมสีเขียวเหนือมัสยิดนาบาวีย์
เป็นตำแหน่งที่ระบุหลุมฝังศพของมหาบุรุษของโลกนามว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) ซึ่งถูกฝังไว้ด้านล่าง
ประตูทางเข้าสู่มัสยิดบาวีย์
ที่นี้จะมีการแยกประตูเข้าออก แยกสถานที่ละหมาด ระหว่างชายหญิงเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน จะไม่มีการละหมาดประปนกัน
ภายในมัสยิด
บรรยากาศในมัสยิดเงียบสงบ เย็นสบาย สามารถนั่งอ่านอัลกุรอาน หรือนั่งซิกรุลลอฮ์(รำลึกถึงพระเจ้า) ได้ทุกมุม หากไม่มีที่กั้น ห้ามนั่ง
ชั้นวางคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์อัลกุรอาน พบเห็นได้ทั่วไปในมัสยิด หยิบอ่านได้ตามสะดวก
ที่วางคัมภีร์อัลกุรอานตามเสามัสยิด
เขตเราเฎาะฮ์
ภายในมัสยิดนาบาวีย์จะมีเขตพิเศษอยู่เขตนึงเรียกว่า เราเฎาะฮ์ คือ สถานที่อยู่ระหว่างมิมบัร (แท่นอ่านบทธรรมเทศนา)
กับบ้านของท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.) ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ มีพื้นที่ประมาณ 330 ตารางเมตร
(ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า "พื้นระหว่างบ้านของฉันกับมิมบัรมันเป็นสวนหนึ่งแห่งสวนสวรรค์ บันทึกโดยบุคคอรี/มุสลิม)
เป็นบริเวณที่ท่านนบีพำนักพักพิงอาศัยเป็นเนืองนิจขณะท่านมีชีวิต โดยเป็นที่ชุมนุมในการละหมาดญามาอะห์,อบรมตักเตือน
วางแผนกิจการต่างๆพร้อมกับบรรดาซอฮาบะห์(สหายของท่าน)
ในบริเวณที่เป็นเราเฎาะฮ์ถูกปูด้วยพรมสีเขียวและมีเสาหินอ่อนสีขาวขอบทองเป็นการแยกออกอย่างชัดเจนกับบริเวณอื่นที่ไม่ใช่เราเฎาะฮ์
ซึ่งจะปูด้วยพรมสีแดงมีเสาเป็นปูนสีครีม ซึ่งบริเวณทางเข้านี้ มีผู้คนออกันอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อหาทางเข้าไปละหมาดที่เราเฎาะฮ์ให้ได้
แม้จะเพียงสักครั้งหนึ่งในชีวิต และเป็นความใฝ่ฝันของบรรดาฮูจยาดที่หวังว่าจะได้มีโอกาศ ได้เข้ามาละหมาดและขอพร
ในเขตสวนหนึ่งแห่งสวนสววรค์
เมียะฮ์รอบ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
เป็นสถานที่ ที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)ยืนละหมาดและเป็นอีหม่ามนำแก่บรรดาซอฮาบะห์
กูบุร(สุสาน)ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
ถัดจากเขตเราเฎาะฮ์มาสักเล็กน้อย จะเป็นสถานที่ฝังศพของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) กับบรรดาสหายของท่าน คือ
ท่านอบูบักร อัฎศิ๊ดดิ๊ก และท่านอุมัร อิบนิค๊อบฎ๊อบ(ร.ฎ) คอลีฟะฮ์(กาหลิบ) คนที่1และ2 ในอิสลาม ใต้โดมที่เขียวนั้นเอง
ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า (ผู้ใดเยี่ยมสุสานของฉัน เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากฉัน)
ขณะเดินเข้าไปที่กูบุรนบีให้กล่าวสลามแด่ท่านนบี จากนั้นก็กล่าวสลามกับท่านอบูบักรและท่านอุมัร และศอลาวาต(ประสาทพร)แด่ท่านศาสดา
หน้ากูบุรท่านนบี
สุสานท่านนบีถูกฝังอยู่ในห้องนอนของท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ฎ) ภรรยาของท่าน
และสหายทั้ง2ของท่านก็เช่นกัน อบูบักร,อุมัร ถูกฝังอยู่ในห้อง ภรรยาท่านนบี เคียงข้างศาสนทูตคนสุดท้ายแห่งพระผู้เป็นเจ้า
ด้านหน้าของกูบุรมีทางเดินที่พาดผ่านมาจากทางเข้าประตูบาบุสลาม – ประตูทางด้านกุบูรญันนาตุ้ลบาเกียะฮ์
จะเห็นได้ว่าสุสาน มีอยู่3ช่อง ช่องกลาง เป็นสุสานของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) และด้านขวาและซ้าย
จะเป็นสุสานของท่านอบูบักรและท่านอุมัร (ร.ฎ)
ทางออกมัสยิดหลังจากเยี่ยมเยือนท่านศาสดา(ซ.ล)
กุบุรญันนาตุ้ลบาเกียะฮ์
กุบุร(สุสาน) ที่มีมาตั่งแต่สมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) เป็นสุสานที่ฝังศพบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(วงศ์วานเครือญาติ)ที่ใกล้ชิด
และบรรดาซอฮาบะห์(สหาย)ของท่านนบีมากกว่า 10,000 คนถูกฝังอยู่ ณ ที่นี่
ในนครมาดีนะฮนอกจากจะมีมัสยิดที่สำคัญแล้ว ยังมีสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย เช่น
สมรภูมิอูฮุด
สงครามอูฮุดเกิดขึ้น หลังจากที่พวกกุฟฟ๊ารชาวกุเรชได้ประสบกับความพ่ายแพ้และมีความหวาดกลัวอย่างหนักในสงครามบะดัร
(สงครามบะดัรมุสลิมชนะ) พวกเขาจึงมีเป้าหมายที่จะล้างแค้น และเรียกความน่าเชื่อถือในหมู่ชาวอาหรับกลับคืนมา
ดังนั้นพวกเขาจึงชักชวนกันให้ออกไปสู้รบกับบรรดามุสลิม และได้เอาสินค้าที่รอดพ้นมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อทำสงคราม
แล้วพวกเขาได้ออกไปยังเมืองมาดีนะฮ์ โดยมีเผ่าอื่นที่ร่วมออกไปด้วย มีจำนวนทั้งสิ้นสามพันคน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 3
ในขณะที่การสู้รบได้เริ่มขึ้น ด้วยพลังศรัทธาของบรรดามุสลิมพร้อมกับการวางแผนอย่างดีเยี่ยม จึงสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่กองกำลังของมุชริกีนทั้งๆที่มีจำนวนมากกว่า ทหารมุสลิมได้ทำให้พวกเขาต้องหนีกระเจิดกระเจิงจากสมรภูมิ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด ได้เตือนเอาไว้แล้ว ขณะที่บรรดานักแม่นธนูเห็นชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และกองกำลังของมุชริกีน
กำลังเผ่นหนี พวกเขาใช้ความเห็นส่วนตัวลงจากที่มั่นเพื่อร่วมเก็บทรัพย์สงครามนั้น ทั้งๆที่ผู้นำ คือ อับดุลลอฮ์ ได้ห้ามปรามและเตือนถึงอันตรายของการกระทำเช่นนั้น และย้ำเตือนคำสั่งของท่านนบี ที่ให้ไว้ แต่พวกเขาได้ขัดคำสั่งและลงจากที่มั่น โดยเหลือไม่ถึงสิบคนที่อยู่กับผู้นำ ผลจากการฝ่าฝืนของทหารแม่นธนูส่งผลให้ทิศทางของสงครามเปลี่ยนไป ในขณะที่ คอลิด บินวะลีด ซึ่งอยู่ทางปีกขวาของ
กองกำลังฝ่ายกุเรช ได้เห็นบรรดานักแม่นธนูลงจากเนินเขา จึงรีบเคลื่อนกำลังอ้อมไปทางด้านหลังของภูเขาอูฮุดทันที และนำกองกำลังเข้าสังหารนักแม่นธนูที่ยังเหลืออยู่จนตายหมดสิ้น และจู่โจมกองทัพมุสลิมทางด้านหลัง เมื่อกลุ่มมุชริกีนที่ยังเหลืออยู่ได้เห็นสิ่งที่คอลิดกระทำ พวกเขาจึงกลับเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง ทำให้กองทัพมุสลิมตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย กองทัพมุชริกีนจึงบุกอย่างหนัก มุสลิมถูกสังหารตายซะฮีดไปถึง 70 คน รวมถึงท่านฮัมซะฮ์ ลุงของท่านนบีด้วย ท่านนบีมุฮัมมัด ถูกบุกจนมีบาดแผล ฟันหน้าหักและมีเสียงดังออกมาว่าท่านนบี ถูกสังหารเสียแล้ว ทำให้มุสลิมบางส่วนเสียขวัญหมดกำลังใจ แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม บรรดามุสลิมที่อยู่ในเหตุการณ์ยังคงสู้รบต่อไปจนกระทั่งเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่าท่านนบียังมีชีวิตอยู่ พวกมุชริกีนจึงยุติการรบเมื่อพวกเขาได้รับชัยชนะ นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งศาสนาอิสลาม
เนินเขาที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ให้นักแม่นธนู 50 คนขึ้นไปประจำการจุดยุธศาสตร์ในสงครามอูฮุด
สุสานท่านฮัมซะฮ์ บินอับดุลมุฏฏอลิบ
ลุงของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) หนึ่งในบรรดาผู้ชะฮีด ณ สมรภูมิอูฮุด
ปิดท้ายด้วยผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของนครมาดีนะฮ์ คือ อินทผลัม
อินทผลัมนั้น มีหลายชนิดมาก มีตั้งแต่ราคากิโลละร้อยถึงกิโลละพัน
อินทผลัมของมาดีนะห์ชนิดหนึ่งที่ดีที่สุด คือพันธุ์อัจวะห์ ดูสีดูขนาดแล้วไม่ค่อยน่ากินเท่าไร สีออกน้ำตาลเข้มๆ เกือบจะเป็นสีดำ ผิวย่นๆ
แต่ มีรสชาติอร่อย ไม่หวานมาก และที่สำคัญ ราคาแพงมาก กิโลละ 800-1000 บาท ถ้าขายในเมืองไทยประมาณ 1,400-1,600 บาท
ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) กล่าวว่า “ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะห์ 7 เม็ดในยามเช้า พิษต่างๆและไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอันตราย
แก่เขาได้ในวันนั้น (บันทึกโดยบุคอรี,มุสลิม)
และยังมีฮาดิษรายงานอีกว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) กล่าวว่า อินทผลัมอัจวะห์ นั้นมาจากสวนสวรรค์
และมันเป็นยาบำบัดพิษต่างๆ” (นะซาอีย์,อิบนุมาญะฮฺ)
นอกจากอินทผลัมธรรมดาแล้ว ยังมีแบบเอาเม็ดอินทผลัมออกแล้วใส่เมล็ดถั่วอัลมอนด์ นอกจากนี้ก็มีแบบแปรรูปเป็นขนม
บางทีก็เคลือบด้วยช็อคโกแลตอีกมากมาย
จะเป็นที่ไหนต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
มัสยิดสำคัญและสถานที่ประวัติศาสตร์ในโลกอิสลาม1/1
งดดราม่าและขอความกรุณามีมารยาทในการแสดงความคิดเห็นเหมือนเช่นเคยครับ
ขอลงรายละเอียดเกี่ยวกับมัสยิดนาบาวีย์สักหน่อย
มัสยิดนาบาวีย์ เป็นมัสยิดที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) สร้างกับบรรดาซอฮาบะห์(สหาย)ของท่าน เมื่อตอนที่ท่านฮฺจเราะฮ์(อพยพ)
จากนครมักกะฮ์มาสู่นครมาดีนะฮ์ใหม่ๆ เป็นมัสยิดที่เกิดขึ้นบนรากฐานของความตั๊กวา (ยำเกรง) มีความสำคัญเป็นอันดับสอง
รองจากมัสยิดฮารอมที่มักกะฮ์ เป็นมัสยิดที่โอ่อ่าอลังการณ์มาก เสามีอยู่ 2,104 ต้น แต่ละต้นตกแต่ง ประดับประดาไปด้วยทอง
ดูแล้วตื่นตาตื่นใจมาก ภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ มีหลังคาส่วนที่เรียกว่าโดมเป็นรูปลูกปิงปองครึ่งซีกครอบอยู่ 27 โดม เขียนลวดลายสวยงามมาก แต่ละโดมมีพื้นที่ประมาณ 10x10 เมตร หนัก 80 ตัน เลื่อนปิดเปิดด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีส่วนที่เป็นร่มเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าเช่นกันอีก 12 ร่ม (เฉพาะตัวมัสยิดไม่เกี่ยวกับรอบอาคารมัสยิดซึ่งมีจำนวนมาก) ชั้นจอดรถใต้ดินมีสองชั้น จอดได้สี่พันกว่าคัน บนดาดฟ้าจุคนประมาณเก้าหมื่นกว่าคน ทั้งหมดรวมบริเวณลานด้านนอกจุคนได้เจ็ดแสนกว่าคน ในเทศกาลฮัจย์ที่มีผู้คนหนาแหน่นสามารถได้ทั้งหมดในคราวเดียวกันประมาณ 1 ล้านคน
ถ้าฝนตกหรือแดดออกโดมจะปิด เวลาอากาศดีๆ โดมจะถูกเปิด นั่งแล้วโล่งสบาย ตกตอนเย็นจะมีคนชอบไปนั่งใต้โดมเพื่อคอยดูเวลาโดมเลื่อนเปิด พื้นภายในเป็นหินอ่อนแต่เขาจะปูพรมเต็มเกือบตลอด ถ้าเป็นวันศุกร์จะมีชาวเมืองมาดีนะฮ์มาร่วมละหมาดวันศุกร์ด้วย
บนลานด้านนอกเขาก็จะปูพรมเต็มพื้นที่เลย ที่นี่สถาปนิกเขาออกแบบได้เนี้ยบมาก ในอาคารไม่เห็นหลอดไฟเลย
นอกจากโคมไฟประดับเท่านั้น ช่องแอร์จะหลบอยู่ในเสาทุกต้นดูไม่ออก จะทราบก็ต่อเมื่อเอามือไปอังตรงลวดลายที่ประดับอยู่ที่เสา
ภายในมัสยิดมีคูลเลอร์ใส่น้ำซัมซัมเย็นๆตั้งเป็นจุดๆไว้บริการ
ท่านนบีได้กล่าวไว้ว่า การละหมาดในมัสญิดของฉัน(ที่มาดีนะฮ์)นั้นดีกว่าการละหมาดที่อื่นถึงหนึ่งพันเท่ายกเว้นที่
มัสญิดอัลฮารอม(ในมักกะฮ์) และการละหมาเในมัสญิดฮารอมนั้นดีกว่าแสนเท่าของการละหมาดในที่อื่น
โดมสีเขียวเหนือมัสยิดนาบาวีย์
เป็นตำแหน่งที่ระบุหลุมฝังศพของมหาบุรุษของโลกนามว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) ซึ่งถูกฝังไว้ด้านล่าง
ประตูทางเข้าสู่มัสยิดบาวีย์
ที่นี้จะมีการแยกประตูเข้าออก แยกสถานที่ละหมาด ระหว่างชายหญิงเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน จะไม่มีการละหมาดประปนกัน
ภายในมัสยิด
บรรยากาศในมัสยิดเงียบสงบ เย็นสบาย สามารถนั่งอ่านอัลกุรอาน หรือนั่งซิกรุลลอฮ์(รำลึกถึงพระเจ้า) ได้ทุกมุม หากไม่มีที่กั้น ห้ามนั่ง
ชั้นวางคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์อัลกุรอาน พบเห็นได้ทั่วไปในมัสยิด หยิบอ่านได้ตามสะดวก
ที่วางคัมภีร์อัลกุรอานตามเสามัสยิด
เขตเราเฎาะฮ์
ภายในมัสยิดนาบาวีย์จะมีเขตพิเศษอยู่เขตนึงเรียกว่า เราเฎาะฮ์ คือ สถานที่อยู่ระหว่างมิมบัร (แท่นอ่านบทธรรมเทศนา)
กับบ้านของท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.) ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ มีพื้นที่ประมาณ 330 ตารางเมตร
(ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า "พื้นระหว่างบ้านของฉันกับมิมบัรมันเป็นสวนหนึ่งแห่งสวนสวรรค์ บันทึกโดยบุคคอรี/มุสลิม)
เป็นบริเวณที่ท่านนบีพำนักพักพิงอาศัยเป็นเนืองนิจขณะท่านมีชีวิต โดยเป็นที่ชุมนุมในการละหมาดญามาอะห์,อบรมตักเตือน
วางแผนกิจการต่างๆพร้อมกับบรรดาซอฮาบะห์(สหายของท่าน)
ในบริเวณที่เป็นเราเฎาะฮ์ถูกปูด้วยพรมสีเขียวและมีเสาหินอ่อนสีขาวขอบทองเป็นการแยกออกอย่างชัดเจนกับบริเวณอื่นที่ไม่ใช่เราเฎาะฮ์
ซึ่งจะปูด้วยพรมสีแดงมีเสาเป็นปูนสีครีม ซึ่งบริเวณทางเข้านี้ มีผู้คนออกันอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อหาทางเข้าไปละหมาดที่เราเฎาะฮ์ให้ได้
แม้จะเพียงสักครั้งหนึ่งในชีวิต และเป็นความใฝ่ฝันของบรรดาฮูจยาดที่หวังว่าจะได้มีโอกาศ ได้เข้ามาละหมาดและขอพร
ในเขตสวนหนึ่งแห่งสวนสววรค์
เมียะฮ์รอบ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
เป็นสถานที่ ที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)ยืนละหมาดและเป็นอีหม่ามนำแก่บรรดาซอฮาบะห์
กูบุร(สุสาน)ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล)
ถัดจากเขตเราเฎาะฮ์มาสักเล็กน้อย จะเป็นสถานที่ฝังศพของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) กับบรรดาสหายของท่าน คือ
ท่านอบูบักร อัฎศิ๊ดดิ๊ก และท่านอุมัร อิบนิค๊อบฎ๊อบ(ร.ฎ) คอลีฟะฮ์(กาหลิบ) คนที่1และ2 ในอิสลาม ใต้โดมที่เขียวนั้นเอง
ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า (ผู้ใดเยี่ยมสุสานของฉัน เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากฉัน)
ขณะเดินเข้าไปที่กูบุรนบีให้กล่าวสลามแด่ท่านนบี จากนั้นก็กล่าวสลามกับท่านอบูบักรและท่านอุมัร และศอลาวาต(ประสาทพร)แด่ท่านศาสดา
หน้ากูบุรท่านนบี
สุสานท่านนบีถูกฝังอยู่ในห้องนอนของท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ฎ) ภรรยาของท่าน
และสหายทั้ง2ของท่านก็เช่นกัน อบูบักร,อุมัร ถูกฝังอยู่ในห้อง ภรรยาท่านนบี เคียงข้างศาสนทูตคนสุดท้ายแห่งพระผู้เป็นเจ้า
ด้านหน้าของกูบุรมีทางเดินที่พาดผ่านมาจากทางเข้าประตูบาบุสลาม – ประตูทางด้านกุบูรญันนาตุ้ลบาเกียะฮ์
จะเห็นได้ว่าสุสาน มีอยู่3ช่อง ช่องกลาง เป็นสุสานของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) และด้านขวาและซ้าย
จะเป็นสุสานของท่านอบูบักรและท่านอุมัร (ร.ฎ)
ทางออกมัสยิดหลังจากเยี่ยมเยือนท่านศาสดา(ซ.ล)
กุบุรญันนาตุ้ลบาเกียะฮ์
กุบุร(สุสาน) ที่มีมาตั่งแต่สมัยท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) เป็นสุสานที่ฝังศพบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(วงศ์วานเครือญาติ)ที่ใกล้ชิด
และบรรดาซอฮาบะห์(สหาย)ของท่านนบีมากกว่า 10,000 คนถูกฝังอยู่ ณ ที่นี่
ในนครมาดีนะฮนอกจากจะมีมัสยิดที่สำคัญแล้ว ยังมีสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย เช่น
สมรภูมิอูฮุด
สงครามอูฮุดเกิดขึ้น หลังจากที่พวกกุฟฟ๊ารชาวกุเรชได้ประสบกับความพ่ายแพ้และมีความหวาดกลัวอย่างหนักในสงครามบะดัร
(สงครามบะดัรมุสลิมชนะ) พวกเขาจึงมีเป้าหมายที่จะล้างแค้น และเรียกความน่าเชื่อถือในหมู่ชาวอาหรับกลับคืนมา
ดังนั้นพวกเขาจึงชักชวนกันให้ออกไปสู้รบกับบรรดามุสลิม และได้เอาสินค้าที่รอดพ้นมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อทำสงคราม
แล้วพวกเขาได้ออกไปยังเมืองมาดีนะฮ์ โดยมีเผ่าอื่นที่ร่วมออกไปด้วย มีจำนวนทั้งสิ้นสามพันคน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 3
ในขณะที่การสู้รบได้เริ่มขึ้น ด้วยพลังศรัทธาของบรรดามุสลิมพร้อมกับการวางแผนอย่างดีเยี่ยม จึงสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่กองกำลังของมุชริกีนทั้งๆที่มีจำนวนมากกว่า ทหารมุสลิมได้ทำให้พวกเขาต้องหนีกระเจิดกระเจิงจากสมรภูมิ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด ได้เตือนเอาไว้แล้ว ขณะที่บรรดานักแม่นธนูเห็นชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และกองกำลังของมุชริกีน
กำลังเผ่นหนี พวกเขาใช้ความเห็นส่วนตัวลงจากที่มั่นเพื่อร่วมเก็บทรัพย์สงครามนั้น ทั้งๆที่ผู้นำ คือ อับดุลลอฮ์ ได้ห้ามปรามและเตือนถึงอันตรายของการกระทำเช่นนั้น และย้ำเตือนคำสั่งของท่านนบี ที่ให้ไว้ แต่พวกเขาได้ขัดคำสั่งและลงจากที่มั่น โดยเหลือไม่ถึงสิบคนที่อยู่กับผู้นำ ผลจากการฝ่าฝืนของทหารแม่นธนูส่งผลให้ทิศทางของสงครามเปลี่ยนไป ในขณะที่ คอลิด บินวะลีด ซึ่งอยู่ทางปีกขวาของ
กองกำลังฝ่ายกุเรช ได้เห็นบรรดานักแม่นธนูลงจากเนินเขา จึงรีบเคลื่อนกำลังอ้อมไปทางด้านหลังของภูเขาอูฮุดทันที และนำกองกำลังเข้าสังหารนักแม่นธนูที่ยังเหลืออยู่จนตายหมดสิ้น และจู่โจมกองทัพมุสลิมทางด้านหลัง เมื่อกลุ่มมุชริกีนที่ยังเหลืออยู่ได้เห็นสิ่งที่คอลิดกระทำ พวกเขาจึงกลับเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง ทำให้กองทัพมุสลิมตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย กองทัพมุชริกีนจึงบุกอย่างหนัก มุสลิมถูกสังหารตายซะฮีดไปถึง 70 คน รวมถึงท่านฮัมซะฮ์ ลุงของท่านนบีด้วย ท่านนบีมุฮัมมัด ถูกบุกจนมีบาดแผล ฟันหน้าหักและมีเสียงดังออกมาว่าท่านนบี ถูกสังหารเสียแล้ว ทำให้มุสลิมบางส่วนเสียขวัญหมดกำลังใจ แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม บรรดามุสลิมที่อยู่ในเหตุการณ์ยังคงสู้รบต่อไปจนกระทั่งเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่าท่านนบียังมีชีวิตอยู่ พวกมุชริกีนจึงยุติการรบเมื่อพวกเขาได้รับชัยชนะ นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งศาสนาอิสลาม
เนินเขาที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ให้นักแม่นธนู 50 คนขึ้นไปประจำการจุดยุธศาสตร์ในสงครามอูฮุด
สุสานท่านฮัมซะฮ์ บินอับดุลมุฏฏอลิบ
ลุงของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล) หนึ่งในบรรดาผู้ชะฮีด ณ สมรภูมิอูฮุด
ปิดท้ายด้วยผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของนครมาดีนะฮ์ คือ อินทผลัม
อินทผลัมนั้น มีหลายชนิดมาก มีตั้งแต่ราคากิโลละร้อยถึงกิโลละพัน
อินทผลัมของมาดีนะห์ชนิดหนึ่งที่ดีที่สุด คือพันธุ์อัจวะห์ ดูสีดูขนาดแล้วไม่ค่อยน่ากินเท่าไร สีออกน้ำตาลเข้มๆ เกือบจะเป็นสีดำ ผิวย่นๆ
แต่ มีรสชาติอร่อย ไม่หวานมาก และที่สำคัญ ราคาแพงมาก กิโลละ 800-1000 บาท ถ้าขายในเมืองไทยประมาณ 1,400-1,600 บาท
ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) กล่าวว่า “ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะห์ 7 เม็ดในยามเช้า พิษต่างๆและไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอันตราย
แก่เขาได้ในวันนั้น (บันทึกโดยบุคอรี,มุสลิม)
และยังมีฮาดิษรายงานอีกว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) กล่าวว่า อินทผลัมอัจวะห์ นั้นมาจากสวนสวรรค์
และมันเป็นยาบำบัดพิษต่างๆ” (นะซาอีย์,อิบนุมาญะฮฺ)
นอกจากอินทผลัมธรรมดาแล้ว ยังมีแบบเอาเม็ดอินทผลัมออกแล้วใส่เมล็ดถั่วอัลมอนด์ นอกจากนี้ก็มีแบบแปรรูปเป็นขนม
บางทีก็เคลือบด้วยช็อคโกแลตอีกมากมาย
จะเป็นที่ไหนต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ