อิสลามุอะลัยกุม.......หล่า...
ซัวสะไดครับ.....กลับมาพบกันใหม่.....เมื่อวานผมเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดแบบคร่าวๆของศิลปบายน ที่เราเรียกกันว่าปราสาทนครวัตร....แล้วก็บังเอิญให้มีสมาชิกท่านหนึ่งเข้ามาเม้นต์ว่า ผมไม่ควรเขียนเนื่องเรื่องหลายๆอย่างปนเปกัน.....ผมก็เลยขอความเห็นจากเพื่อนพ้องน้องหลานว่า จะให้ผมเขียนแบบไหนก็แนะนำมา......หลายเสียงบอกให้ผมเขียนไปแบบเดิมแหละ......ทุกคน "เก็ต"ในสิ่งที่ผมกล่าวถึง...และมีอีกเสียงหนึ่ง อยากให้ผมเขียนกึ่งนำเที่ยว
ลองอ่านดูนะครับ....."ดีนะคะ เพราะเห็นภาพแล้วก็อยากรู้ประวัติด้วยเหมือนกัน......อยากให้เป็นแบบ"ไกด์นำเที่ยว"อะไรอย่างนั้น >//<"
ผมก็ตอบสนองไปดังนี้ครับ...."ได้เล้ย......ผมล่ะชอบซอกแซกและค้นคว้าเรื่องที่แปลกๆตามาฝากอยู่แล้ว.....ขออย่างเดียว "คนเสพ" ....ต้อง"ตีความ"ให้เข้าใจว่า ใครกำลังทำหน้าที่อะไรกันอยู่......และอีกประการก็คือ นี่คือการแบ่งประสบการณ์ในชีวิตของคนชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวคนหนึ่ง.....ที่ไม่ได้มีผลได้(กำไร)จากการเขียนแต่อย่างใดในทุกกรณี.....(ในทางตรงกันข้าม ผมกลับเสียเงินไปอัดรูปในอดีตที่เคยเดินทางผ่านไปมาประกอบการเขียน)
ส่วนผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร.....ถือเสียว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเอามาเขียนให้คุณอ่าน.....ให้ได้พบประสบการณ์ในทางลัด เท่าที่สมองจะอำนวยให้สร้างภาพและแง่มุมในการคิด เท่าที่จะทำได้อย่างเต็มสติกำลัง.....หากคุณยินดีอ่าน ผมก็ยังยินดีเล่าให้ฟังนะครับ.....แล้วผมจะขอเอาคำอธิบายนี้แยกออกไปเขียนให้น้องๆคนอื่นเข้าใจในเจตนารมย์ของการเข้ามาเขียนให้ทราบทั่วกัน
(ซึ่งมันมีสาเหตลึกๆเกี่ยวกับความห่วงใยในความ"เป็นตัวตน" ของเพื่อนร่วมชาติของเราอีกแง่มุมหนึ่ง...ซึ่งผมจะขยายความให้ทราบกันอีกชั้นหนึ่ง.....แล้วคุณอาจจะงงในความรู้สึกของผม-ที่เข้ามาเขียนกระทู้เหล่านี้)
........คราวนี้ก็ต่อจากสิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มความในใจ......
..."ย้อนหลังไปก่อนที่ผมจะเข้ามาเขียนกระทู้ในช่วงปี51-52นะครับ......ตอนนั้นผมไปทำหน้าที่เป็นประธานเครือข่ายผู้ปกครองในโรงเรียนที่เด็กที่ผมดูแลอยู่.....เป็นการเสวนากึ่งวิชาการฯลฯ......ช่วงหนึ่งของการแนะนำตัวที่มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน.....มีครูหญิงคนหนึ่ง(มาจากโรงเรียนแถวๆเตาปูน).....เธอแนะนำตัวไปตามขั้นตอน...แต่มีตัวแปรที่ทำให้ผมช็อคในคำอธิบาย....เกี่ยวกับการสะกดชื่อของเธอว่า....
(สมุติว่าเธอชื่อ รังษิมา......)....เธอบอกว่าชื่อเธอตรงคำว่า "ษิ".....สะกดด้วยคำว่า สอ-บอ-รือสี.....เธอสอนอยู่รร.ฯลฯ.....สำเร็จปริญญาตรี-เอกภาษาไทย.......ผมฟังแล้วช็อคจริงๆครับ.....ขนาดเธอเป็นครูสอนภาษาไทยและจบเอกภาษาไทยมาอีกต่างหากด้วย.....
โดยทั่วไปแล้ว....คุณอาจจะไม่รู้สึกตรงคำว่า "สอ-บอ-รือสี".....ตรงนี้ขอขยายความให้คุณเข้าใจกันเสียก่อนว่า....อักษรไทยเรามีเสียงพ้องกัน3ตัว คือ"สอ".....และมีรูปอักษรที่ต่างกัน 3 ตัวคือ ส.ษ.และศ....ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว......ซึ่งปกติแล้ว ตัวส.....มันมีรูปทรงคล้ายตัว ล.ลิง.....นักเลงภาษาไทยในยุคก่อน(นักแต่กลอนหรือร้อยแก้ว)....จะแสดงลักษณะของการเขียน สอเสือ.ให้ต่างไปจากเด็กนักเรียนเป็นการบอกใบ้ว่า สอลอ.(หมายถึงส.ที่มีรูปละม้ายกับล.ลิง)
และ ษ.ฤาษี......มีรูปทรงเหมือน บ.ใบไม้.....เขาก็จะบอกไบ้กันว่า สอ-บอ......และ ศ.ศาลา......มีรูปทรงเหมือนค.ควาย....เขาก็จะบอกใบ้กันว่า ศอ-คอ......สรุปแล้ว คำว่า"สอ"....จะมีคำย่อว่า สอ-ลอ(ส)..........สอ-บอ(ษ)....และสอ-คอ(ศ)....
ส่วนครูภาษาไทยคนที่กล่าว(และปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นใหม่ก็จะนิยมพูดคำว่า สอ-บอ-ลือ-สี.....) แทนที่จะแสดงภูมิรู้แบบเซียนภาษาไทยจริงๆ....เด็กรุ่นใหม่(แม้แต่คนอ่านข่าวในTV...ก็อ่านสอ-บอ-ลือ-สี)......โหย...ไงภาษาไทยเราถึงได้วิบัติกันไปถึงเพียงนี้ได้....หากจะอ่านว่า สอ-บอ-ลือ-สี........พอถึงคำว่า ศ...เรามิต้องอ่านกันว่า สอ-คอ-สา-ลาหรือไงล่ะ...และส......ก็ไม่ต้องอ่านเป็นสอ-ลอ-เสือ หรือไงล่ะครับ
ทำความเข้าใจในคำอธิบายของผมให้ดีนะครับ.....จะเห็นว่ามันปนมั่วกันไปหมด....และเด็กๆรุ่นใหม่ๆก็มีแนวโน้มไปรับความรู้ผิดๆมาพูดกันโดยไม่ได้พิจารณา.....มิน่าล่ะ......นักวิจัยเขาถึงระบุว่าคนไทยเราอ่านหนังสือกันโดยเฉลี่ยแค่วันละ8บรรทัดเท่านั้นเอง(และก็น่าจะจริง เพราะเด็กที่ผมเลี้ยงอยู่...ตอนนี้อยู่ม.4.....ยังอ่านหนังสือไทยตะกุกตะกักอยู่เลย...(ผมต้องให้เขามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ให้ผมฟังวันละ1/4หน้าจนถึงปัจจุบันนี้)
อยากให้กระทู้มีสาระ(มาฟังความในใจผมกันบ้าง)
ซัวสะไดครับ.....กลับมาพบกันใหม่.....เมื่อวานผมเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดแบบคร่าวๆของศิลปบายน ที่เราเรียกกันว่าปราสาทนครวัตร....แล้วก็บังเอิญให้มีสมาชิกท่านหนึ่งเข้ามาเม้นต์ว่า ผมไม่ควรเขียนเนื่องเรื่องหลายๆอย่างปนเปกัน.....ผมก็เลยขอความเห็นจากเพื่อนพ้องน้องหลานว่า จะให้ผมเขียนแบบไหนก็แนะนำมา......หลายเสียงบอกให้ผมเขียนไปแบบเดิมแหละ......ทุกคน "เก็ต"ในสิ่งที่ผมกล่าวถึง...และมีอีกเสียงหนึ่ง อยากให้ผมเขียนกึ่งนำเที่ยว
ลองอ่านดูนะครับ....."ดีนะคะ เพราะเห็นภาพแล้วก็อยากรู้ประวัติด้วยเหมือนกัน......อยากให้เป็นแบบ"ไกด์นำเที่ยว"อะไรอย่างนั้น >//<"
ผมก็ตอบสนองไปดังนี้ครับ...."ได้เล้ย......ผมล่ะชอบซอกแซกและค้นคว้าเรื่องที่แปลกๆตามาฝากอยู่แล้ว.....ขออย่างเดียว "คนเสพ" ....ต้อง"ตีความ"ให้เข้าใจว่า ใครกำลังทำหน้าที่อะไรกันอยู่......และอีกประการก็คือ นี่คือการแบ่งประสบการณ์ในชีวิตของคนชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวคนหนึ่ง.....ที่ไม่ได้มีผลได้(กำไร)จากการเขียนแต่อย่างใดในทุกกรณี.....(ในทางตรงกันข้าม ผมกลับเสียเงินไปอัดรูปในอดีตที่เคยเดินทางผ่านไปมาประกอบการเขียน)
ส่วนผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร.....ถือเสียว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเอามาเขียนให้คุณอ่าน.....ให้ได้พบประสบการณ์ในทางลัด เท่าที่สมองจะอำนวยให้สร้างภาพและแง่มุมในการคิด เท่าที่จะทำได้อย่างเต็มสติกำลัง.....หากคุณยินดีอ่าน ผมก็ยังยินดีเล่าให้ฟังนะครับ.....แล้วผมจะขอเอาคำอธิบายนี้แยกออกไปเขียนให้น้องๆคนอื่นเข้าใจในเจตนารมย์ของการเข้ามาเขียนให้ทราบทั่วกัน
(ซึ่งมันมีสาเหตลึกๆเกี่ยวกับความห่วงใยในความ"เป็นตัวตน" ของเพื่อนร่วมชาติของเราอีกแง่มุมหนึ่ง...ซึ่งผมจะขยายความให้ทราบกันอีกชั้นหนึ่ง.....แล้วคุณอาจจะงงในความรู้สึกของผม-ที่เข้ามาเขียนกระทู้เหล่านี้)
........คราวนี้ก็ต่อจากสิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มความในใจ......
..."ย้อนหลังไปก่อนที่ผมจะเข้ามาเขียนกระทู้ในช่วงปี51-52นะครับ......ตอนนั้นผมไปทำหน้าที่เป็นประธานเครือข่ายผู้ปกครองในโรงเรียนที่เด็กที่ผมดูแลอยู่.....เป็นการเสวนากึ่งวิชาการฯลฯ......ช่วงหนึ่งของการแนะนำตัวที่มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน.....มีครูหญิงคนหนึ่ง(มาจากโรงเรียนแถวๆเตาปูน).....เธอแนะนำตัวไปตามขั้นตอน...แต่มีตัวแปรที่ทำให้ผมช็อคในคำอธิบาย....เกี่ยวกับการสะกดชื่อของเธอว่า....
(สมุติว่าเธอชื่อ รังษิมา......)....เธอบอกว่าชื่อเธอตรงคำว่า "ษิ".....สะกดด้วยคำว่า สอ-บอ-รือสี.....เธอสอนอยู่รร.ฯลฯ.....สำเร็จปริญญาตรี-เอกภาษาไทย.......ผมฟังแล้วช็อคจริงๆครับ.....ขนาดเธอเป็นครูสอนภาษาไทยและจบเอกภาษาไทยมาอีกต่างหากด้วย.....
โดยทั่วไปแล้ว....คุณอาจจะไม่รู้สึกตรงคำว่า "สอ-บอ-รือสี".....ตรงนี้ขอขยายความให้คุณเข้าใจกันเสียก่อนว่า....อักษรไทยเรามีเสียงพ้องกัน3ตัว คือ"สอ".....และมีรูปอักษรที่ต่างกัน 3 ตัวคือ ส.ษ.และศ....ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว......ซึ่งปกติแล้ว ตัวส.....มันมีรูปทรงคล้ายตัว ล.ลิง.....นักเลงภาษาไทยในยุคก่อน(นักแต่กลอนหรือร้อยแก้ว)....จะแสดงลักษณะของการเขียน สอเสือ.ให้ต่างไปจากเด็กนักเรียนเป็นการบอกใบ้ว่า สอลอ.(หมายถึงส.ที่มีรูปละม้ายกับล.ลิง)
และ ษ.ฤาษี......มีรูปทรงเหมือน บ.ใบไม้.....เขาก็จะบอกไบ้กันว่า สอ-บอ......และ ศ.ศาลา......มีรูปทรงเหมือนค.ควาย....เขาก็จะบอกใบ้กันว่า ศอ-คอ......สรุปแล้ว คำว่า"สอ"....จะมีคำย่อว่า สอ-ลอ(ส)..........สอ-บอ(ษ)....และสอ-คอ(ศ)....
ส่วนครูภาษาไทยคนที่กล่าว(และปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นใหม่ก็จะนิยมพูดคำว่า สอ-บอ-ลือ-สี.....) แทนที่จะแสดงภูมิรู้แบบเซียนภาษาไทยจริงๆ....เด็กรุ่นใหม่(แม้แต่คนอ่านข่าวในTV...ก็อ่านสอ-บอ-ลือ-สี)......โหย...ไงภาษาไทยเราถึงได้วิบัติกันไปถึงเพียงนี้ได้....หากจะอ่านว่า สอ-บอ-ลือ-สี........พอถึงคำว่า ศ...เรามิต้องอ่านกันว่า สอ-คอ-สา-ลาหรือไงล่ะ...และส......ก็ไม่ต้องอ่านเป็นสอ-ลอ-เสือ หรือไงล่ะครับ
ทำความเข้าใจในคำอธิบายของผมให้ดีนะครับ.....จะเห็นว่ามันปนมั่วกันไปหมด....และเด็กๆรุ่นใหม่ๆก็มีแนวโน้มไปรับความรู้ผิดๆมาพูดกันโดยไม่ได้พิจารณา.....มิน่าล่ะ......นักวิจัยเขาถึงระบุว่าคนไทยเราอ่านหนังสือกันโดยเฉลี่ยแค่วันละ8บรรทัดเท่านั้นเอง(และก็น่าจะจริง เพราะเด็กที่ผมเลี้ยงอยู่...ตอนนี้อยู่ม.4.....ยังอ่านหนังสือไทยตะกุกตะกักอยู่เลย...(ผมต้องให้เขามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ให้ผมฟังวันละ1/4หน้าจนถึงปัจจุบันนี้)