ยิ่งลักษณ์ชอบท่องเที่ยว
เดือนกันยายน 2554 – สิงหาคม 2556 โดย 2 ปีผ่านมา ยิ่งลักษณ์เดินทางไปนอก 42 ครั้ง เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและจากประชาชนทั่วไปยิ่งดังกระหึ่มในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างสถิติใหม่ว่าเดินทางเยือนต่างประเทศมากที่สุดในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยเดินทางไปต่างประเทศเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณหลายร้อยล้านบาทโดยไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน และเหนืออื่นใด มีการตั้งข้อสังเกตว่าจุดประสงค์ของการเยือนต่างประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น ส่วนหนึ่งเพื่อลอยตัวหนีปัญหาการเมืองภายในประเทศ อีกส่วนหนึ่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งมักจะไปกรุยทางไว้ล่วงหน้า หรือใช้เป็นเวทีทำลายภาพพจน์ประเทศและโจมตีฝ่ายค้าน ดังเช่นคราวไปปราศรัยเรื่องประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่มีชิ้นดีว่าบิดเบือนความเป็นจริงและปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มา
http://thaipublica.org/2013/09/leaders-trip-abroad/
แต่ยิ่งลักษณ์ขายของไม่เป็น
สศช.ได้ปรับจีดีพีมาหลายรอบ จนล่าสุด ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากสุด คือ การส่งออกที่คาดว่าปีนี้จะไม่เติบโต หรือ โตแค่ 0%
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 56 นี้ จะเติบโตได้แค่ 3% จากปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 6.4%
สศช.ได้ปรับจีดีพีมาหลายรอบ จนล่าสุด ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากสุด คือ การส่งออกที่คาดว่าปีนี้จะไม่เติบโต หรือ โตแค่ 0%
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์บอกว่า ส่งออกน่าจะโตได้ 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7-7.5% ก็ยังรู้สึกสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมส่งออกได้น้อยกว่าเป้าหมายมากมายขนาดนั้นแต่พอ สศช.ออกมาระบุว่า ส่งออกไม่เติบโต ส่งผลให้ จีดีพี น่าจะขยายตัวแค่ 3% นั่นก็แสดงว่าทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวอย่างชัดเจน
จะเห็นว่าสินค้าหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ยางพารา ยอดส่งออกลดลง ข้าวเคยได้ปีละ 2 แสนล้านบาท แต่ลดลงฮวบฮาบเหลือแค่แสนล้านบาทยิ่งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อต้นปี ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ลำบาก เพราะสินค้าไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน ทำให้ไม่ได้รับความสนใจ
ส่งออกปีนี้ไม่กระเตื้อง แต่ก็มีการมองไปถึงปีหน้า ว่าจะเป็นความหวังได้ เนื่องจากเศรษฐกิจหลายประเทศน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้คนอเมริกันมีเงินในกระเป๋าที่จะจับจ่ายใช้สอย จึงมองว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมาในปีหน้า และน่าจะส่งอานิสงส์ให้ส่งออกของไทยกลับมาบวกมากขึ้น
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และบริหารจัดการน้ำ ทั้ง 2 โครงการเป็นความหวังของรัฐบาล ที่หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเพิ่ม ได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1% ตลอด 7 ปีที่ดำเนินโครงการ
แต่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองก่อนหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรเสียงส่งออกก็ยังเป็นพระเอก ที่มีผลต่อการเติบโตของประเทศอันดับแรก ที่รัฐบาลจะต้องเร่งทั้งตลาดหลัก และตลาดใหม่ควบคู่กันไป
ปีนี้ส่งออกไม่ติดลบก็ถือว่าดีแล้ว ที่สามารถประคับประคองตัวได้ แต่หากกำลังซื้อชะลอพร้อมกันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เหมือนที่ผ่านมาอีก คงต้องเหนื่อยกันอีกหลายยก.
ที่มา
http://dailynews.co.th/Content.do?contentId=196418
ยิ่งลักษณ์เดินทางบ่อยๆ แต่ขายของให้ใครไม่ได้ ไม่รู้ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศไปขายอะไร
2 ปี ยิ่งลักษณ์เดินทางไปนอกมากกว่า 42 ครั้ง แต่ไม่ช่วยให้ส่งออกขยายตัว(ขายของไม่ได้)แบบนี้เรียกไปเที่ยวผลาญงบได้ไหมครับ
เดือนกันยายน 2554 – สิงหาคม 2556 โดย 2 ปีผ่านมา ยิ่งลักษณ์เดินทางไปนอก 42 ครั้ง เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและจากประชาชนทั่วไปยิ่งดังกระหึ่มในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างสถิติใหม่ว่าเดินทางเยือนต่างประเทศมากที่สุดในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยเดินทางไปต่างประเทศเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณหลายร้อยล้านบาทโดยไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน และเหนืออื่นใด มีการตั้งข้อสังเกตว่าจุดประสงค์ของการเยือนต่างประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น ส่วนหนึ่งเพื่อลอยตัวหนีปัญหาการเมืองภายในประเทศ อีกส่วนหนึ่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งมักจะไปกรุยทางไว้ล่วงหน้า หรือใช้เป็นเวทีทำลายภาพพจน์ประเทศและโจมตีฝ่ายค้าน ดังเช่นคราวไปปราศรัยเรื่องประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่มีชิ้นดีว่าบิดเบือนความเป็นจริงและปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มา http://thaipublica.org/2013/09/leaders-trip-abroad/
แต่ยิ่งลักษณ์ขายของไม่เป็น
สศช.ได้ปรับจีดีพีมาหลายรอบ จนล่าสุด ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากสุด คือ การส่งออกที่คาดว่าปีนี้จะไม่เติบโต หรือ โตแค่ 0%
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 56 นี้ จะเติบโตได้แค่ 3% จากปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 6.4%
สศช.ได้ปรับจีดีพีมาหลายรอบ จนล่าสุด ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากสุด คือ การส่งออกที่คาดว่าปีนี้จะไม่เติบโต หรือ โตแค่ 0%
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์บอกว่า ส่งออกน่าจะโตได้ 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7-7.5% ก็ยังรู้สึกสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมส่งออกได้น้อยกว่าเป้าหมายมากมายขนาดนั้นแต่พอ สศช.ออกมาระบุว่า ส่งออกไม่เติบโต ส่งผลให้ จีดีพี น่าจะขยายตัวแค่ 3% นั่นก็แสดงว่าทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวอย่างชัดเจน
จะเห็นว่าสินค้าหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ยางพารา ยอดส่งออกลดลง ข้าวเคยได้ปีละ 2 แสนล้านบาท แต่ลดลงฮวบฮาบเหลือแค่แสนล้านบาทยิ่งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อต้นปี ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ลำบาก เพราะสินค้าไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน ทำให้ไม่ได้รับความสนใจ
ส่งออกปีนี้ไม่กระเตื้อง แต่ก็มีการมองไปถึงปีหน้า ว่าจะเป็นความหวังได้ เนื่องจากเศรษฐกิจหลายประเทศน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้คนอเมริกันมีเงินในกระเป๋าที่จะจับจ่ายใช้สอย จึงมองว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมาในปีหน้า และน่าจะส่งอานิสงส์ให้ส่งออกของไทยกลับมาบวกมากขึ้น
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และบริหารจัดการน้ำ ทั้ง 2 โครงการเป็นความหวังของรัฐบาล ที่หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเพิ่ม ได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1% ตลอด 7 ปีที่ดำเนินโครงการ
แต่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองก่อนหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรเสียงส่งออกก็ยังเป็นพระเอก ที่มีผลต่อการเติบโตของประเทศอันดับแรก ที่รัฐบาลจะต้องเร่งทั้งตลาดหลัก และตลาดใหม่ควบคู่กันไป
ปีนี้ส่งออกไม่ติดลบก็ถือว่าดีแล้ว ที่สามารถประคับประคองตัวได้ แต่หากกำลังซื้อชะลอพร้อมกันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เหมือนที่ผ่านมาอีก คงต้องเหนื่อยกันอีกหลายยก.
ที่มา http://dailynews.co.th/Content.do?contentId=196418
ยิ่งลักษณ์เดินทางบ่อยๆ แต่ขายของให้ใครไม่ได้ ไม่รู้ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศไปขายอะไร