[JOJO] บทความพิเศษ : เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ : Part 1 Phantom Blood" (ฉบับสมบูรณ์)

บทความนี้ผมเริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว เพราะอยากจะทำบทวิเคราะห์สิ่ง
ที่อยากจะเขียนถึงโจโจ้ตั้งแต่ภาค 1-8 และอยากจะเขียนยาวๆอย่างที่ใจคิดมา
นานแล้วนะครับ ฉะนั้นขอบอกก่อนว่าบทความนี้ยาวมาก ขอบพระคุณเพื่อนๆ
ชาวพันทิปที่คลิกเข้ามาอ่านบทความของผมจนจบทุกคนด้วยนะครับ ^ ^

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ของผมเท่านั้น และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ :
Part 1 Phantom Blood" (ฉบับสมบูรณ์)



"สิ่งที่ยิ่งใหญ่มักจะเริ่มจากจุดเล็กๆ"


ประโยคนี้นายแอนดรอยด์ เดวิด ในหนัง Prometheus ได้กล่าวเอาไว้ ...แม้แต่การ์ตูนมังงะ
เองก็เริ่มต้นขึ้นมาจากการประกอบลายเส้น หมึกดำ และไอเดียในหัวคนเขียนเหมือนกันหมด
ทุกเรื่อง แต่มันจะกลายเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้หรือเปล่านั้นมันช่างยากเย็น หากไม่
แน่จริงการ์ตูนเรื่องนั้นคงจะแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ
เรื่องนี้แน่ๆ อย่างที่เห็นอยู่ว่าตอนนี้มันดำเนินอยู่ในภาคที่ 8 แล้ว ดังนั้นผมจึงขอพูดถึงจุดเริ่มต้น
ของตำนานล่าข้ามศตวรรษเรื่องนี้กันนะครับ


ในคิ้วเล่มตอนสมัยช่วง Stone Ocean อ.อารากิ เคยพูดถึงการได้พบกับบรรณาธิการ
คนแรกที่ได้อ่านและแสดงความเห็นต่อต้นฉบับของโจโจ้ภาคแรกในตอนนั้น แนวคิด
ของของเขาคนนั้นยิ่งใหญ่และส่งผลกระทบต่อการทำงานของ อ.อารากิ มาก หากเขา
ได้พบกับคนอื่น แนวคิดที่ได้รับอาจจะไม่เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยก็ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว
ตอนสมัยแรกๆก่อนจะเขียนโจโจ้นั้น สไตส์การเล่าเรื่องของอาจารย์อารากิ ก็ใช่ว่าจะ
โดดเด่นกว่ามังงะเรื่องอื่นๆในยุคเดียวกัน ตอน Magic Boy B.T หรือ Baoh Raihosha
การดำเนินเรื่องมันก็ยังคงตามสูตรเดิมๆสไตส์มังงะในยุคนั้นอยู่ แต่พอมาถึงโจโจ้ภาคแรก
สไตส์ของ อ.อารากิ ก็ชัดเจนและมีกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในตัวอย่างเห็นได้ชัดกว่าผลงาน
ก่อนๆมาก ซึ่งคงต้องขอบคุณบรรณาธิการคนนั้นล่ะครับ


อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 1 สายเลือดมรณะ นี้
เป็นโจโจ้ภาคที่สั้นที่สุด คือมีความยาวเพียง 5 เล่มเท่านั้น และถูกเขียนขึ้นใน
ช่วงเวลาที่ อ.อารากิ ยังเป็นมือใหม่ในวงการ ที่พึ่งจะมีผลงานออกมาไม่มากนัก
โจโจ้ภาคแรกจึงเป็นเหมือน "บทพิสูจน์" ในฝีมือที่แท้จริงของ อ.อารากิ เลยที
เดียวว่าเขาจะเอาอยู่กับจุดเริ่มต้นนี้หรือไม่ เพราะตอนนั้น อ.อารากิ ได้คิดไว้ล่วง
หน้าแล้วว่ามันจะเป็นการ์ตูนเรื่องยาวที่ดำเนินเรื่องไปหลายภาค หลายยุคสมัย
พร้อมกับใส่คำว่า "ภาค 1" ลงไปในตอนแรกเสร็จสรรพ เหมือนจะบอกคนอ่าน
ไปเลยทีเดียวว่านี่เป็นเรื่องราวปฐมบทนะจ๊ะ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"The Miracle Energy"

ในโจโจ้ภาคแรกเล่าเรื่องแบบพีเรียด ใช้ยุควิคตอเรียในอังกฤษเป็นฉากหลัง เปิดเรื่อง
ด้วยเรื่องราวดราม่าในครอบครัว ผสมกับความลึกลับของตำนาน ความสยองของสิ่ง
เหนือมนุษย์ ผ่านลายเส้นขึงขังและการต่อสู้หนักแน่น ...สิ่งเหล่านี้ถูกเอามายำรวมกัน
จนออกมาเป็นโครงเรื่องหลักๆที่ใช้ในภาค 1 แม้ตัวละครหรือโครงเรื่องจะมี Reference
จากหลายสิ่ง แต่ก็พูดได้เลยว่า โจโจ้ภาคแรกนั้นมีอัตลักษณ์ที่ต่างจากมังงะในยุคเดียว
กันมากพอสมควร ซึ่งด้วยความต่างนี้ มันก็ส่งผลทั้งดีและเสียให้โจโจ้เหมือนกันนะครับ


สิ่งที่ส่งผลลบสำหรับภาคแรก คงน่าจะเป็นดังนี้ครับคือ 1) ลายเส้นของ อ.อารากิ
ในช่วงนั้นค่อนข้างรกไปด้วยเส้นหนาทึบจะการลงดำที่พรืดไปหมด มีหลายตอนที่
แบ่งช่องแบบอัดกันแน่น ..หลายคนพอเจอลายเส้นหนาสไตส์โบราณแบบนี้ ก็แทบ
จะเบือนหน้าหนี เพราะมันดูไม่สะอาดตา แต่มันก็เป็นสเน่ห์ของในภาคแรกๆนะครับ
ซึ่งในยุคนี้คงไม่มีใครมาวาดเส้นแบบนี้แล้ว


2) การดำเนินเรื่องที่เชื่องช้า ภาคแรกใช้เวลาปูเรื่องนาน ผ่านไป 1 รวมเล่มแล้วพึ่ง
จะเข้าเรื่องหลักๆเอง ซึ่งแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหากับคนอ่านในยุคนั้น แต่สำหรับวัยโจ๋
ที่คุ้นชินกับการดำเนินเรื่องฉึบฉับว่องไว คงมีน้อยคนนักที่จะอดทนอ่านไปจนถึงจุด
พลิกผันของเรื่องได้ ถ้าโจโจ้ภาคแรกเป็นการ์ตูนยุคนี้ ไม่รู้ว่ามันจะรอดจากการตัด
จบมาหรือเปล่าเนี่ยสิ? ทั้งๆที่ว่าตามจริงแล้ว บทดราม่าในช่วงแรกๆมันดีไม่น้อยเลย
(เพราะเหตุนี้พอมันมาเป็นอนิเมะ จึงถูกรวบรัดสรุปใจความในตอนเดียวไปเลย
เพื่อจะได้มีเวลาเล่าเรื่องหลักๆได้เต็มที่)


แต่พอผ่านช่วงดราม่าน้ำเน่าในช่วงแรกๆมาได้ ทีนี้ก็จะเข้าสู่การผจญภัยสนุกๆกันแล้ว
ความเนิบนาบเชื่องช้าในตอนต้นๆหายไปหมด ...แต่ก็อย่างที่ทราบนะครับว่าฉากบู๊
ในภาคแรก มันไม่ได้เป็นฉากต่อสู้ที่ผสมไหวพริบและการพลิกแพลงสถานการณ์แบบ
ในภาคหลังๆ ส่วนใหญ่ฉากต่อสู้จะตัดสินด้วยกำลัง ใครเหนือกว่าก็ชนะ ดังนั้นฉากบู๊
ในภาคนี้เลยไม่ได้มีอะไรให้เอาทึ่งเท่าไหร่ แต่ก็ชดเชยด้วยเหล่าวิชาพิสดารทั้งหลาย
ที่มาพร้อมกับคำอธิบายถึงหลักการต่างๆทำให้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในฉากต่อสู้มันน่า
สนใจไปหมด เช่น การอธิบายหลักการของพลังคลื่นมนตรา วิชาระเหยน้ำแข็งของ
ดีโอ การเปรียบเทียบผมของบราฟอร์ดกับใบไมยราพ รวมถึงบทบรรยายถึงเหตุการณ์
และหน้าประวัติศาสตร์ต่างๆให้เราเข้าใจได้ทันที ซึ่งก็นับว่าเป็นเอกลักษณ์อย่าง
หนึ่งที่ส่งผลมาถึงภาคหลังๆด้วยเช่นกัน


ที่สำคัญคือ โจโจ้ภาคแรกสามารถสร้างฉากการตายของตัวละครได้อย่างน่า
จดจำทุกตัว ทั้งการตายของเซเปลี่ซัง แม้แต่ตัวละครบทเล็กๆอย่าง ไดเออร์
ก็สามารถตายได้อย่างน่าจดจำ ...ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบทสรุปการตายของ
โจนาธาน ที่นับว่าเป็นจุดหักมุมที่น่าตกใจ และสะเทือนใจ เพราะคงไม่คิดว่าฮีโร่
อย่างโจนาธานจะต้องมาตายตอนจบแบบนี้ ..แต่ก็เป็นการจบที่ทิ้งประกายความ
หวังเอาไว้ ที่ อ.อารากิ จบลงได้อย่างทรงพลัง และน่าติดตาม จนเป็นส่วนที่
ทำให้โจโจ้ภาคแรกเป็นที่จดจำ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"Fire and Ice"

สำหรับตัวละครเอกในภาคนี้ ส่วนตัวผมไม่คิดว่าโจนาธานคือพระเอก แล้วดีโอ
จะเป็นบอสนะครับ เพราะจะว่าไปบทบาทของสองคนนี้ก็ตีคู่กันมาตั้งแต่แรก
ถ้านับเอาความดึงดูดของบทบาทแล้วดีโอดูจะโดดเด่นกว่าโจนาธานด้วยซ้ำไป
ผมเลยขอถือว่าสองคนนี้คือตัวเอกทั้งคู่ ที่มีชะตากรรมร่วมกันไปจนจบ อีกคน
เป็นแสงสว่าง ส่วนอีกคนเป็นความมืด อันเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่าง
ขาวและดำ ...ลองสมมุตรให้ดีโอ เอาหน้ากากศิลาไปใส่ให้โจนาธานได้ดูสิครับ
แน่นอนว่าเนื้อหามันคงจะกลายเป็น "บาโอ ภาค 2" ที่โจนาธานกลายเป็นปีศาจ
ที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ส่วนดีโอก็เป็นชายธรรมดาที่มีอำนาจมาต่อสู้กับโจนาธาน
แน่นอน (ดีที่ อ.อารากิ ไม่หักดิบแบบนั้น) ...ส่วนตัวละครสมทบอย่าง เซเปลี่ซัง,
สปีดวาก้อน, เอริน่า, บราฟอร์ด, ทาลูคัส ต่างก็ออกมาเพื่อส่งเสริมเรื่องราวของ
ตัวละครเอกทั้งสองได้เป็นอย่างดี ภายในระยะเวลาการผจญภัยที่สั้นแค่ 5 เล่มนี้


จะว่าไปแล้ว "ความจืดของโจนาธาน" อาจจะดูน่าเบื่อสำหรับคนอ่านวัยรุ่น แต่พอ
ลองมองย้อนกลับไป มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้โจนาธานดูโดดเด่น กว่าตัวเอกทุกคน
ไปซะแล้ว เพราะในสมัยนี้จะหาคาแรคเตอร์ที่เป็นสุภาพบุรุษโดยเนื้อแท้ ทำทุกอย่าง
เพื่อความถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตนเองแบบนี้มันยากแล้ว เพราะเราก็รู้แก่ใจดีว่าใน
โลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นสีดำหรือขาวไปเลยชัดเจน ไม่มีใครดีหรือชั่วไปซะหมด
การมีคาแรคเตอร์คนดีแสนดีแบบโจนาธานเป็นตัวเอกมันก็คงคล้ายๆกับจะบอกว่า
โลกเราใบนี้ยังไงซะ ธรรมะก็ต้องชนะอธรรมอยู่ดี ...แม้แต่ตัวดีโอเองก็ถือกำเนิด
ขึ้นมาจากความเศร้า ความเคียดแค้นต่อโชคชะตา ทำให้เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ...หลังจากได้อ่านนิยาย Over Heaven ปุ๊บจากที่ผมเคยมอง
ว่าดีโอนั้นเลวโดยสันดาน อย่างที่สปีดวาก้อนบอก ก็ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด
แทบไม่ทัน ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ดีโอจะไม่เคียดแค้นโลกใบนี้เลย เพราะมัน
ไม่คุ้มกันเลยถ้าเขาจะให้อภัยความโหดร้ายที่ตัวเองเผชิญมาทั้งชีวิตได้ง่ายๆ
...ดีโอจะเป็นคนดีก็ได้ เพราะตัวเขาเองก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีและเคารพความ
กล้าหาญของศัตรู แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะหันหลังกลับแล้ว


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"Into Oblivion"

สารภาพตามตรงว่า สมัยเด็กๆนั้นผมไม่ชอบภาค 1 เลยครับ เคยคิดว่าเป็น
ภาคที่ห่วยที่สุดด้วยซ้ำ เพราะเด็กที่โตมากับมังงะลายเส้นสะอาดๆ พอมา
เจอลายเส้นดุดันแบบนี้ ทำให้มันทำใจลำบากมากที่จะอ่านจนจบ ...แต่พอ
อายุมากขึ้น ผมก็เริ่มมีทัศนคติที่ดีกับลายเส้นและเนื้อหาโบราณแบบนี้มากขึ้น
จนพอได้ลองคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งต่างๆในภาคแรกก็ทำให้เห็นอะไรๆหลายๆ
อย่างที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องดราม่าในช่วงต้นๆที่เข้มข้น พอเข้าสู่ช่วงพลิกผัน
กลางๆเรื่อง ก็จะเข้าสู่เรื่องแนวชะตากรรมที่หลีกไม่พ้นที่สุดจะน่าติดตาม
ทำให้เริ่มชอบภาค 1 มากขึ้นไปเลย จนในที่สุดผมก็รวบรวมสิ่งที่อยากเขียน
ถึงโจโจ้ภาคนี้ออกมาเป็นบทความยาวๆอันนี้นี่เองครับ


การจะบอกว่าโจโจภาคแรกเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ไม่มีความหมายอะไรนอกจาก
การเป็น "ภาคแรก" นั้น มันคงจะเป็นการดูแคลนกันไปหน่อย เพราะในฐานะ
นักเขียนการ์ตูนมือใหม่ที่มีผลงานฮิตเงียบๆในมาก่อน นี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น
ที่สนุกและมีสเน่ห์มาก และกลายเป็นตำนานมังงะในยุคปลายๆ 80 หน้าหนึ่ง
จนทุกวันนี้ยังมีการพูดถึง หรือโดนล้ออยู่เนืองๆ ...และอย่างน้อยมันก็คือบท
พิสูจน์ว่า อ.ฮิโรฮิโกะ อารากิ เป็นนักเขียนการ์ตูนที่มีฝีมือในการเล่าเรื่องที่สนุก
และมีชั้นเชิงการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์นั่นคือ การหยิบสิ่งที่ตนเองสนใจ
และชื่นชอบ มาผสมรวมกันจนออกมาเป็นการ์ตูนโชเนนรสชาติแปลกลิ้น
ที่สนุกและมีแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเองสูง ..ถ้าเปรียบเป็นอาหารคงเป็นอาหาร
ออเดิร์ฟ ที่แม้จะไม่ได้อร่อยเลิศรส แต่ก็รสชาติดีพอจะทำให้เรารอที่จะทาน
อาหารจานต่อไปได้ล่ะครับ


เพราะการผจญภัยบทใหม่ของโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ จะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญก็
ในภาคต่อไปนี่เอง... ปฎิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าโจโจ้ได้เปลี่ยนจากการ์ตูนเนื้อ
หาง่ายๆเนิบๆไปเป็นการ์ตูนแอ็คชั่นฉับไวเปี่ยมสไตส์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
สาเหตุเพราะความสนุกและสเน่ห์ของพระเอกที่ชื่อ "โจเซฟ โจสตาร์"
ในภาคที่สองนั่นเอง...


(To Be Continued >>>)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่