ลิงค์ตอนที่แล้ว (ภาค 1) :
http://ppantip.com/topic/31292528
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ :
Part 2 Battle Tendency" (ฉบับสมบูรณ์)
แอบคิดเหมือนนะครับว่า ที่ อ.อารากิ เขียนโจโจ้ภาค 1 ออกมาสั้นและดูไม่ค่อยมีอะไร
เพราะแกกะจะเก็บทีเด็ดเอาไว้ใช้กับภาค 2 กระแสสงคราม นี่หรือเปล่า? เพราะทุกคนที่
อ่านเรียงจาก 1 มา 2 จะพบความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในด้านความสนุกและชั้นเชิง
ในการนำเสนอจนอย่างกะเป็นการ์ตูนคนละเรื่องเลย ...คนส่วนใหญ่ชอบบอกว่าโจโจ้ถึง
จุดเปลี่ยนตอนภาค 3 แต่ผมกลับคิดว่าโจโจ้มาถึงจุดมั่นคงและมีเอกภาพในตัวเองมา
ตั้งแต่ภาค 2 แล้วครับ อะไรหลายๆอย่างในภาค 2 ได้สร้างรากฐานอันเป็นมาตรฐานให้
กับโจโจ้ภาคต่อๆมา รวมทั้งสไตส์การเขียนในยุค 90 ของ อ.อารากิ ที่กลายเป็นหนึ่ง
ในการ์ตูนที่อยู่คู่กับโชเนนจัมป์ไปอีกเรื่อง
ในภาค 1 อ.อารากิ พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าแม้ผลงานจะไม่ได้ฮิตถล่มทลาย แต่ก็มีคนอ่าน
ติดตามมากพอที่จะสานต่อเรื่องราวไปได้ ดังนั้นถ้าภาค 3 คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ภาค
2 ก็คือกระโดดช่วงแรก (คืออาจจะยังไม่ถึงกับกระโดด แต่เขย่งเบาๆ - ฮา) ของการ์ตูน
เรื่องนี้ เพราะมีหลายอย่างที่น่าประทับใจและสร้างฉากคลาสสิคในแบบที่ภาคหลังๆทำ
ซ้ำไม่ได้อีกแล้วด้วย แถมอนิเมะภาค 2 ก็ฮิตในหมู่วัยรุ่นพอสมควร ผมถือว่าเป็นสเน่ห์
ที่ถือว่าโจโจ้ภาค 2 นี้ ยังมีสเน่ห์อยู่เสมอ สนุกแบบที่ไม่ต้องมีสแตนด์ในเรื่องเลย (ดีใจ
ครับที่โจโจ้เข้าถึงเด็กๆได้ นึกว่าพออนิเมะออกฉาย จะมีแต่แฟนๆรุ่นเก่าเท่านั้นที่ดูกัน)
ที่ว่าทำไมภาคนี้ถึงชื่อว่า Battle Tendency นั้น น่าจะเพราะเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับการต่อสู้
จากหลายๆฝ่ายทั้งจากอดีตกับปัจจุบัน ทั้งนักรบพลังคลื่นมนตรา, บุรุษเสาหิน,
ทหารเยอรมัน, แวมไพร์ ฯลฯ ...เป็นกระแสสงครามที่มีผลกับยุคสมัยด้วย
...ฟังดูอีพิคจริงๆเลยแหม่
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"Qualification of a Hero"
ในภาคนี้ใช้โครงเรื่องสูตรเดียวกับหนังหรือการ์ตูนแนวผจญภัยแบบคลาสสิคแบบเป๊ะๆ
คือ 1) เปิดเรื่องด้วยการค้นพบซากโบราณในโบราณสถาน 2) เปิดตัวด้วยวีรกรรมแสบๆ
ของพระเอก 3) พระเอกจำเป็นต้องเดินทางไปที่ห่างไกลเพื่อนช่วยพรรคพวก บลาๆๆๆ
....ใครที่คุ้นเคยกับการ์ตูนยุคนั้นคงจะคุ้นเคยกับพล็อตแนวๆนี้กันดีนะครับ ซึ่ง อ.อารากิ
ก็ใช้เอกลักษณ์การนำเสนอในแนวทางแบบที่ตัวเองชอบใช้คือ "การยำ" มาใช้เช่นเดิม
...เพียงแต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนกับงานที่ผ่านๆมาของ อ.อารากิ อีกแล้ว ผมเคยสังเกต
ว่าในผลงานก่อนๆทั้ง Gorgeuos Irene, Baoh หรือแม้แต่โจโจ้ภาคแรก บทสนทนา
และเนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างราบเรียบ จนแทบจะจืดชืด ที่ทำให้สนุกได้น่าจะเป็นเพราะ
ลูกเล่นต่างๆในเรื่อง ที่สามารถทำให้อ่านสนุกกลบเนื้อเรื่องจืดๆไปได้ แต่ในโจโจ้ภาค 2
นี้ ในที่สุด อ.อารากิ ก็สามารถสร้างสมดุลให้กับเนื้อเรื่องสนุกๆและลูกเล่นแนวๆตามแบบ
ฉบับของตนเองได้แล้ว ...และภาค 2 สไตส์การวาดแบบแอ่นๆของ อ.อารากิ ก็ชัดเจนขึ้น
แบบเต็มๆแล้ว เป็นการตอกย้ำถึงความมหัศจรรย์ในลายเส้นของ อ.อารากิ อีกอย่างหนึ่ง
นะครับ ในการวาดตัวละครบิดแขนบิดเอว ผู้ชายใส่เสื้อโชว์ดือ บุรุษเสาหินใส่ผ้าเตี่ยว
โชว์แก้มก้น ให้ออกมาดูเรียลแมนได้นี่ นอกจากลายเส้นแบบ อ.อารากิ แล้วก็ไม่มีใคร
ทำได้เลยจริงๆ
จำบทสนทนาอันนี้ของ วามู ได้มั๊ยครับ
ว่า "พวกนักรบพลังคลื่นมนตราชอบเห่าคำเดียว
กันเลย ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน "แค่แขนข้างเดียว" ไม่ก็ "หรือตามองไม่เห็นอย่านึกว่า
จะเอาฉันอยู่นะ" ...อ่านดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่นี่ถือเป็นบทสนทนาที่แสดงให้เห็นว่า
อ.อารากิ เริ่มจะมองเห็นถึง
"ความซ้ำซาก" ของการ์ตูนโชเนนบู๊แหลกในยุคนั้นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของพระเอกในหลายๆเรื่อง หรือการเดินเรื่องในแนวๆเดียวกัน ..ฉะนั้น
จึงไม่แปลกที่โจโจ้ภาคนี้จะค่อนข้าง
"แหกสูตร" การ์ตูนจัมป์ไปพอสมควร (แต่ก็ยังไม่ได้
แหกไปซะทีเดียว เพราะยังมีความเป็นการ์ตูนจัมป์อยู่ คือแนวแต่ยังแนวไม่สุดเหมือน
ภาคหลังๆ ที่พอมีสแตนด์ปุ๊บ ก็ไม่ต้องใส่ใจความเป็นโชเนนสูตรสำเร็จอะไรอีกแล้ว
สามารถใส่ไอเดียแนวๆแปลกๆลงไปได้มากมาย)
โจโจ้ภาค 2 เลยดำเนินเรื่องในโทนที่เบากว่าภาคแรก มีอารมณ์มากขึ้น สนุกสนานแบบขำๆ
มากขึ้น แต่บทจะดราม่าก็เอาซะซาบซึ้งสะเทือนใจเช่นกัน ที่แน่ๆเลยคือ 2 ฉากซึ้งใหญ่ๆอย่าง
การตายของซีซ่าร์ กับ การเล่าถึงชะตากรรมที่น่าเศร้าของครอบครัวโจสตาร์ ที่ อ.อารากิ
วางเรื่องได้น่าสนใจและสะเทือนอารมณ์มาก (และถูกตอกย้ำความเศร้าในอนิเมะอีกที TT_TT)
จนแทบจะบอกได้เลยว่าภาคนี้เป็นภาคที่ค่อนข้าง
"ครบรสชาติ" มากๆภาคหนึ่ง เหมือนกับ
การดูหนังของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ผสมการ์ตูนบู๊ฮ่องกง ที่บันเทิง น่าประทับใจและบู๊แหลกลาญไปพร้อมกัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"New York's JoJo"
อย่างที่ได้ทิ้งท้ายในตอนที่แล้วว่า เหตุผลหลักๆเลยที่โจโจ้ภาค 2 สนุก เพราะตัวเอก
จอมกะล่อนอย่างนาย
"โจเซฟ โจสตาร์" นี่เอง ...ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าโจเซฟเป็น
พระเอกแนวที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก (แต่ถ้าเป็นสมัยนี้นี่เต็มไปหมด XD พระเอกแบบ
โจนาธานสิที่ล้าสมัยไปแล้ว) พระเอกที่หนีได้เป็นหนี และคอยหาวิธีที่ทำให้การต่อสู้ง่าย
ที่สุด และสรรหาเทคนิคกลโกงมาให้ประโยชน์ในการต่อสู้ ฉากต่อสู้ของโจเซฟนั้นทำให้
เราทึ่งได้เสมอเลยทีเดียว ใครที่อ่านภาค 3 มาก่อนคงจะไม่ทราบสรรพคุณของโจเซฟ
ว่าสมัยหนุ่มๆนั้นแกมีกลโกงขั้นเทพขนาดไหนนะครับถ้าไม่ได้มาอ่านภาค 2 จนไม่แปลก
ใจเลยที่โจเซฟจะเป็นตัวเอกที่มีแฟนๆชื่นชอบมากๆคนหนึ่ง
ผมมองโจเซฟ เป็นตัวแทนของ
"ความสุดยอดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์" อย่างที่
อ.อารากิ เคยบอกเอาไว้ในคิ้วเล่ม.. เล่มอะไรจำไม่ได้นะครับ ที่ อ.อารากิ บอกว่าสิ่งมี
ชีวิตอย่างมนุษย์นี่แหละ ที่ทะเยอทะยานและอันตรายที่สุด เพราะปกติในทุกๆภาคนั้น
โจโจ้จะมีแกนเรื่องที่เกี่ยวกับการต่อสู้ของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ในภาคนี้จะเป็นการต่อสู้
ของของมนุษย์กับสัตว์ประหลาดอย่างพวกบุรุษเสาหิน ที่ใครก็รู้สึกว่านี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่เรา
ไม่มีทางเอาชนะได้แน่ๆ แต่ก็อย่างที่เห็นว่า โจเซฟสามารถเอาชนะบุรุษเสาหินได้ทั้ง 4
คนเลย ด้วยสิ่งเดียวที่โจเซฟมีนอกจากพลังคลื่นมนตราคือ
"ความเป็นมนุษย์" ของเขานี่ล่ะ
เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าแม้จะเจอพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ก็สามารถเอาชนะมัน
ได้ด้วยสติปัญญาและความมุ่งมั่นแน่นอน ผมเลยชอบภาค 2 ในแง่ที่บุคลิกแบบโจเซฟ
มีปฏิสัมพันธุ์กับตัวละครโดยรอบได้สนุกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นกับซีซ่าร์ ลิซ่าลิซ่า
หรือพวกบุรุษเสาหินทั้งหมด
เหล่าบุรุษเสาหิน (ไม่รวมซันตาน่าสุนัขเฝ้าบ้านนะครับ XD) ก็เป็นคาแรคเตอร์ที่แม้
จะไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็แสดงถึงมนุษย์ในแบบต่างๆได้ดีทีเดียวครับ อย่างวามูก็คือนักรบ
ที่ต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ ขาวสะอาดและไร้กลโกงใดๆ, เอซิดิสเป็นพวกหัวรุนแรงที่มุ่ง
มั่นและทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายลุล่วง, และคาร์ซนั้นก็คือนักปฏิวัตรที่แม้จะเป็น
มนุษย์โบราณเมื่อหมื่นปีก่อน แต่ก็มีแนวคิดก้าวล้ำหน้าในการเปลี่ยนแปลงและเอา
ชนะยุคสมัย แม้แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง ...ซึ่งความคิดของคาร์ซนั้นก็เหมาะ
กับพื้นหลังของภาคพอสมควรนะครับ ว่าการจะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยนั้น มันจะต้องแลก
กับการก่อสงครามและการสูญเสียอะไรมาบ้าง? เช่นเดียวกับนาซีที่กระทำสิ่งรุนแรง
และเผด็จการมากมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถทำในสิ่ง
ที่หวังได้ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของ อ.อารากิ ที่ฉากหลังของภาคนี้
จะเป็นช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เพราะมันเหมาะเจาะ กับแกนของเรื่องเป็นอย่างมาก)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
An Ensured Victory
แม้ลายเส้นหนาถมดำพรืดเต็มทั้งช่องจะทำให้เป็นของแสลงสำหรับคนที่ไม่ถูกกับลายเส้น
เข้มๆแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่ขาจรที่มาอ่านภาค 2 เสียงจะออกไปทางชอบมากกว่าไม่ชอบ
ซึ่งผมก็ดีใจนะครับที่หลายๆคนมองข้ามเรื่องความโบราณของลายเส้นแล้วสนุกไปกับ
เนื้อหาสนุกๆได้ ทั้งฉากบู๊และดราม่า รวมทั้งสิ่งที่ในภาค 1 ไม่ค่อยมีอย่างอารมณ์คอเมดี้
ด้วย เรียกได้ว่าสนุกครบรสชาติแบบกระทัดรัดเพียงแค่ 8 เล่มเท่านั้น เป็นการ์ตูนโชเนนที่
ฉีกกรอบการ์ตูนตลาดออกไปนิดๆ คือเป็นก้าวที่ อ.อารากิ กำลังถอยผลงานของตัวเอง
ออกจากความเป็นโชเนนมานิดๆ ...ที่ผมเซอร์ไพรส์คือความนิยมของอนิเมะภาค 2
ในหมู่เด็กๆนั่นเอง เพราะอนิเมะนั้นไม่ได้ดัดแปลงอะไรเพื่อเอาใจวัยรุ่นซักนิดเดียว ทำตาม
ต้นฉบับอย่างเคร่งครัดทุกอย่าง แต่ก็สามารถทำให้เด็กที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยอ่านโจโจ้
มาติดตามดูได้เฉยเลย
ถ้าเปรียบโจโจ้ภาคแรกเป็นกาแฟดำ ภาค 2 ก็คือการเอากาแฟดำแก้วเดิมมาใส่ครีม
กับน้ำตาลลงไปนี่เองครับ ...เพราะในภาค 1 นั้นมีการเล่าเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ในภาค 2
ก็คือการเพิ่มพลังให้กับเรื่องจนออกมาสนุกกว่าเดิมมากๆ จนแทบจะกลายเป็นการ์ตูน
คนละเรื่องไปเลย และแน่นอนว่าหลายๆอย่างในภาค 2 ได้เป็นมาตรฐานให้กับภาค
ต่อๆไปในที่สุด และเป็นบทโหมโรงสำหรับภาค 3 ภาคที่ทำให้โจโจ้กลายเป็น
ตำนานได้เป็นอย่างดี..
(To Be Continued >>>)
[JOJO] บทความพิเศษ : เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ : Part 2 Battle Tendency" (ฉบับสมบูรณ์)
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Part 2 Battle Tendency" (ฉบับสมบูรณ์)
แอบคิดเหมือนนะครับว่า ที่ อ.อารากิ เขียนโจโจ้ภาค 1 ออกมาสั้นและดูไม่ค่อยมีอะไร
เพราะแกกะจะเก็บทีเด็ดเอาไว้ใช้กับภาค 2 กระแสสงคราม นี่หรือเปล่า? เพราะทุกคนที่
อ่านเรียงจาก 1 มา 2 จะพบความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในด้านความสนุกและชั้นเชิง
ในการนำเสนอจนอย่างกะเป็นการ์ตูนคนละเรื่องเลย ...คนส่วนใหญ่ชอบบอกว่าโจโจ้ถึง
จุดเปลี่ยนตอนภาค 3 แต่ผมกลับคิดว่าโจโจ้มาถึงจุดมั่นคงและมีเอกภาพในตัวเองมา
ตั้งแต่ภาค 2 แล้วครับ อะไรหลายๆอย่างในภาค 2 ได้สร้างรากฐานอันเป็นมาตรฐานให้
กับโจโจ้ภาคต่อๆมา รวมทั้งสไตส์การเขียนในยุค 90 ของ อ.อารากิ ที่กลายเป็นหนึ่ง
ในการ์ตูนที่อยู่คู่กับโชเนนจัมป์ไปอีกเรื่อง
ในภาค 1 อ.อารากิ พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าแม้ผลงานจะไม่ได้ฮิตถล่มทลาย แต่ก็มีคนอ่าน
ติดตามมากพอที่จะสานต่อเรื่องราวไปได้ ดังนั้นถ้าภาค 3 คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ภาค
2 ก็คือกระโดดช่วงแรก (คืออาจจะยังไม่ถึงกับกระโดด แต่เขย่งเบาๆ - ฮา) ของการ์ตูน
เรื่องนี้ เพราะมีหลายอย่างที่น่าประทับใจและสร้างฉากคลาสสิคในแบบที่ภาคหลังๆทำ
ซ้ำไม่ได้อีกแล้วด้วย แถมอนิเมะภาค 2 ก็ฮิตในหมู่วัยรุ่นพอสมควร ผมถือว่าเป็นสเน่ห์
ที่ถือว่าโจโจ้ภาค 2 นี้ ยังมีสเน่ห์อยู่เสมอ สนุกแบบที่ไม่ต้องมีสแตนด์ในเรื่องเลย (ดีใจ
ครับที่โจโจ้เข้าถึงเด็กๆได้ นึกว่าพออนิเมะออกฉาย จะมีแต่แฟนๆรุ่นเก่าเท่านั้นที่ดูกัน)
ที่ว่าทำไมภาคนี้ถึงชื่อว่า Battle Tendency นั้น น่าจะเพราะเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับการต่อสู้
จากหลายๆฝ่ายทั้งจากอดีตกับปัจจุบัน ทั้งนักรบพลังคลื่นมนตรา, บุรุษเสาหิน,
ทหารเยอรมัน, แวมไพร์ ฯลฯ ...เป็นกระแสสงครามที่มีผลกับยุคสมัยด้วย
...ฟังดูอีพิคจริงๆเลยแหม่
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"Qualification of a Hero"
ในภาคนี้ใช้โครงเรื่องสูตรเดียวกับหนังหรือการ์ตูนแนวผจญภัยแบบคลาสสิคแบบเป๊ะๆ
คือ 1) เปิดเรื่องด้วยการค้นพบซากโบราณในโบราณสถาน 2) เปิดตัวด้วยวีรกรรมแสบๆ
ของพระเอก 3) พระเอกจำเป็นต้องเดินทางไปที่ห่างไกลเพื่อนช่วยพรรคพวก บลาๆๆๆ
....ใครที่คุ้นเคยกับการ์ตูนยุคนั้นคงจะคุ้นเคยกับพล็อตแนวๆนี้กันดีนะครับ ซึ่ง อ.อารากิ
ก็ใช้เอกลักษณ์การนำเสนอในแนวทางแบบที่ตัวเองชอบใช้คือ "การยำ" มาใช้เช่นเดิม
...เพียงแต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนกับงานที่ผ่านๆมาของ อ.อารากิ อีกแล้ว ผมเคยสังเกต
ว่าในผลงานก่อนๆทั้ง Gorgeuos Irene, Baoh หรือแม้แต่โจโจ้ภาคแรก บทสนทนา
และเนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างราบเรียบ จนแทบจะจืดชืด ที่ทำให้สนุกได้น่าจะเป็นเพราะ
ลูกเล่นต่างๆในเรื่อง ที่สามารถทำให้อ่านสนุกกลบเนื้อเรื่องจืดๆไปได้ แต่ในโจโจ้ภาค 2
นี้ ในที่สุด อ.อารากิ ก็สามารถสร้างสมดุลให้กับเนื้อเรื่องสนุกๆและลูกเล่นแนวๆตามแบบ
ฉบับของตนเองได้แล้ว ...และภาค 2 สไตส์การวาดแบบแอ่นๆของ อ.อารากิ ก็ชัดเจนขึ้น
แบบเต็มๆแล้ว เป็นการตอกย้ำถึงความมหัศจรรย์ในลายเส้นของ อ.อารากิ อีกอย่างหนึ่ง
นะครับ ในการวาดตัวละครบิดแขนบิดเอว ผู้ชายใส่เสื้อโชว์ดือ บุรุษเสาหินใส่ผ้าเตี่ยว
โชว์แก้มก้น ให้ออกมาดูเรียลแมนได้นี่ นอกจากลายเส้นแบบ อ.อารากิ แล้วก็ไม่มีใคร
ทำได้เลยจริงๆ
จำบทสนทนาอันนี้ของ วามู ได้มั๊ยครับ ว่า "พวกนักรบพลังคลื่นมนตราชอบเห่าคำเดียว
กันเลย ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน "แค่แขนข้างเดียว" ไม่ก็ "หรือตามองไม่เห็นอย่านึกว่า
จะเอาฉันอยู่นะ" ...อ่านดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่นี่ถือเป็นบทสนทนาที่แสดงให้เห็นว่า
อ.อารากิ เริ่มจะมองเห็นถึง "ความซ้ำซาก" ของการ์ตูนโชเนนบู๊แหลกในยุคนั้นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของพระเอกในหลายๆเรื่อง หรือการเดินเรื่องในแนวๆเดียวกัน ..ฉะนั้น
จึงไม่แปลกที่โจโจ้ภาคนี้จะค่อนข้าง "แหกสูตร" การ์ตูนจัมป์ไปพอสมควร (แต่ก็ยังไม่ได้
แหกไปซะทีเดียว เพราะยังมีความเป็นการ์ตูนจัมป์อยู่ คือแนวแต่ยังแนวไม่สุดเหมือน
ภาคหลังๆ ที่พอมีสแตนด์ปุ๊บ ก็ไม่ต้องใส่ใจความเป็นโชเนนสูตรสำเร็จอะไรอีกแล้ว
สามารถใส่ไอเดียแนวๆแปลกๆลงไปได้มากมาย)
โจโจ้ภาค 2 เลยดำเนินเรื่องในโทนที่เบากว่าภาคแรก มีอารมณ์มากขึ้น สนุกสนานแบบขำๆ
มากขึ้น แต่บทจะดราม่าก็เอาซะซาบซึ้งสะเทือนใจเช่นกัน ที่แน่ๆเลยคือ 2 ฉากซึ้งใหญ่ๆอย่าง
การตายของซีซ่าร์ กับ การเล่าถึงชะตากรรมที่น่าเศร้าของครอบครัวโจสตาร์ ที่ อ.อารากิ
วางเรื่องได้น่าสนใจและสะเทือนอารมณ์มาก (และถูกตอกย้ำความเศร้าในอนิเมะอีกที TT_TT)
จนแทบจะบอกได้เลยว่าภาคนี้เป็นภาคที่ค่อนข้าง "ครบรสชาติ" มากๆภาคหนึ่ง เหมือนกับ
การดูหนังของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ผสมการ์ตูนบู๊ฮ่องกง ที่บันเทิง น่าประทับใจและบู๊แหลกลาญไปพร้อมกัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"New York's JoJo"
อย่างที่ได้ทิ้งท้ายในตอนที่แล้วว่า เหตุผลหลักๆเลยที่โจโจ้ภาค 2 สนุก เพราะตัวเอก
จอมกะล่อนอย่างนาย "โจเซฟ โจสตาร์" นี่เอง ...ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าโจเซฟเป็น
พระเอกแนวที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก (แต่ถ้าเป็นสมัยนี้นี่เต็มไปหมด XD พระเอกแบบ
โจนาธานสิที่ล้าสมัยไปแล้ว) พระเอกที่หนีได้เป็นหนี และคอยหาวิธีที่ทำให้การต่อสู้ง่าย
ที่สุด และสรรหาเทคนิคกลโกงมาให้ประโยชน์ในการต่อสู้ ฉากต่อสู้ของโจเซฟนั้นทำให้
เราทึ่งได้เสมอเลยทีเดียว ใครที่อ่านภาค 3 มาก่อนคงจะไม่ทราบสรรพคุณของโจเซฟ
ว่าสมัยหนุ่มๆนั้นแกมีกลโกงขั้นเทพขนาดไหนนะครับถ้าไม่ได้มาอ่านภาค 2 จนไม่แปลก
ใจเลยที่โจเซฟจะเป็นตัวเอกที่มีแฟนๆชื่นชอบมากๆคนหนึ่ง
ผมมองโจเซฟ เป็นตัวแทนของ "ความสุดยอดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์" อย่างที่
อ.อารากิ เคยบอกเอาไว้ในคิ้วเล่ม.. เล่มอะไรจำไม่ได้นะครับ ที่ อ.อารากิ บอกว่าสิ่งมี
ชีวิตอย่างมนุษย์นี่แหละ ที่ทะเยอทะยานและอันตรายที่สุด เพราะปกติในทุกๆภาคนั้น
โจโจ้จะมีแกนเรื่องที่เกี่ยวกับการต่อสู้ของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ในภาคนี้จะเป็นการต่อสู้
ของของมนุษย์กับสัตว์ประหลาดอย่างพวกบุรุษเสาหิน ที่ใครก็รู้สึกว่านี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่เรา
ไม่มีทางเอาชนะได้แน่ๆ แต่ก็อย่างที่เห็นว่า โจเซฟสามารถเอาชนะบุรุษเสาหินได้ทั้ง 4
คนเลย ด้วยสิ่งเดียวที่โจเซฟมีนอกจากพลังคลื่นมนตราคือ "ความเป็นมนุษย์" ของเขานี่ล่ะ
เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าแม้จะเจอพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ก็สามารถเอาชนะมัน
ได้ด้วยสติปัญญาและความมุ่งมั่นแน่นอน ผมเลยชอบภาค 2 ในแง่ที่บุคลิกแบบโจเซฟ
มีปฏิสัมพันธุ์กับตัวละครโดยรอบได้สนุกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นกับซีซ่าร์ ลิซ่าลิซ่า
หรือพวกบุรุษเสาหินทั้งหมด
เหล่าบุรุษเสาหิน (ไม่รวมซันตาน่าสุนัขเฝ้าบ้านนะครับ XD) ก็เป็นคาแรคเตอร์ที่แม้
จะไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็แสดงถึงมนุษย์ในแบบต่างๆได้ดีทีเดียวครับ อย่างวามูก็คือนักรบ
ที่ต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ ขาวสะอาดและไร้กลโกงใดๆ, เอซิดิสเป็นพวกหัวรุนแรงที่มุ่ง
มั่นและทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายลุล่วง, และคาร์ซนั้นก็คือนักปฏิวัตรที่แม้จะเป็น
มนุษย์โบราณเมื่อหมื่นปีก่อน แต่ก็มีแนวคิดก้าวล้ำหน้าในการเปลี่ยนแปลงและเอา
ชนะยุคสมัย แม้แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง ...ซึ่งความคิดของคาร์ซนั้นก็เหมาะ
กับพื้นหลังของภาคพอสมควรนะครับ ว่าการจะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยนั้น มันจะต้องแลก
กับการก่อสงครามและการสูญเสียอะไรมาบ้าง? เช่นเดียวกับนาซีที่กระทำสิ่งรุนแรง
และเผด็จการมากมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถทำในสิ่ง
ที่หวังได้ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของ อ.อารากิ ที่ฉากหลังของภาคนี้
จะเป็นช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เพราะมันเหมาะเจาะ กับแกนของเรื่องเป็นอย่างมาก)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
An Ensured Victory
แม้ลายเส้นหนาถมดำพรืดเต็มทั้งช่องจะทำให้เป็นของแสลงสำหรับคนที่ไม่ถูกกับลายเส้น
เข้มๆแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่ขาจรที่มาอ่านภาค 2 เสียงจะออกไปทางชอบมากกว่าไม่ชอบ
ซึ่งผมก็ดีใจนะครับที่หลายๆคนมองข้ามเรื่องความโบราณของลายเส้นแล้วสนุกไปกับ
เนื้อหาสนุกๆได้ ทั้งฉากบู๊และดราม่า รวมทั้งสิ่งที่ในภาค 1 ไม่ค่อยมีอย่างอารมณ์คอเมดี้
ด้วย เรียกได้ว่าสนุกครบรสชาติแบบกระทัดรัดเพียงแค่ 8 เล่มเท่านั้น เป็นการ์ตูนโชเนนที่
ฉีกกรอบการ์ตูนตลาดออกไปนิดๆ คือเป็นก้าวที่ อ.อารากิ กำลังถอยผลงานของตัวเอง
ออกจากความเป็นโชเนนมานิดๆ ...ที่ผมเซอร์ไพรส์คือความนิยมของอนิเมะภาค 2
ในหมู่เด็กๆนั่นเอง เพราะอนิเมะนั้นไม่ได้ดัดแปลงอะไรเพื่อเอาใจวัยรุ่นซักนิดเดียว ทำตาม
ต้นฉบับอย่างเคร่งครัดทุกอย่าง แต่ก็สามารถทำให้เด็กที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยอ่านโจโจ้
มาติดตามดูได้เฉยเลย
ถ้าเปรียบโจโจ้ภาคแรกเป็นกาแฟดำ ภาค 2 ก็คือการเอากาแฟดำแก้วเดิมมาใส่ครีม
กับน้ำตาลลงไปนี่เองครับ ...เพราะในภาค 1 นั้นมีการเล่าเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ในภาค 2
ก็คือการเพิ่มพลังให้กับเรื่องจนออกมาสนุกกว่าเดิมมากๆ จนแทบจะกลายเป็นการ์ตูน
คนละเรื่องไปเลย และแน่นอนว่าหลายๆอย่างในภาค 2 ได้เป็นมาตรฐานให้กับภาค
ต่อๆไปในที่สุด และเป็นบทโหมโรงสำหรับภาค 3 ภาคที่ทำให้โจโจ้กลายเป็น
ตำนานได้เป็นอย่างดี..
(To Be Continued >>>)