เราจะเปลี่ยนใจคนในครอบครัวได้อย่างไร

คนในครอบครัวชอบดูถูกและพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ
เวลาเราทำอะไรดีๆได้ แล้วแสดงออกว่าดีใจ ก็จะหาว่าเหลิง
ไม่มีคำชื่นชมยินดี.

พอเราเหนื่อยและแสดงออกถึงความอ่อนแอ ก็จะซ้ำ
แม้จะไม่ใช่ถ้อยคำที่รุนแรง แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเหยียดหยาม
เช่น เราบ่นว่าเมื่อวานไปสอบมา ง่วงนอนมาก ก็จะพูดว่า
"แล้วอย่างนี้จะเรียนจบมั้ย" "แล้วทำไมไม่ตื่นแต่เช้ามากินกาแฟ"
คือเราก็บ่นไปอย่างนั้น เราง่วงแต่เราก็ทำเสร็จ แค่เล่าให้ฟังว่าง่วง...

แม้แต่เรื่องดีๆที่เราคิดว่าเออ เราดีใจและอยากแชร์ให้รู้
อย่างเราประกวดงานได้เข้ารอบ
"งานห่วยอย่างนั้นเข้ารอบได้ยังไง"
"อย่าเพิ่งดีใจไป" "เออดีไม่ต้องทำทีสิสกันพอดี"

เราเสียใจ.
เราไม่ใช่คนเพื่อนเยอะและเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง
ทำไมครอบครัวจึงเป็นที่พึ่งไม่ได้ ทำไมเราต้องถูกตัดสินแม้แต่จากคนในครอบครัว

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นมาเรื่อยๆตั้งแต่เรายังเด็ก
โชคดีที่ตอนเด็กเราเรียนได้ดี จึงยังพอมีความมั่นใจในตัวเองบ้าง
พอเข้ามหาลัย เราเริ่มมีปัญหาการเรียน และชีวิตหลายๆอย่าง
เราสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เซไปหลายปี
ตอนนั้นยิ่งแย่ ทุกคนตัดสินว่าเราเป็นคนห่วย

เราพึ่งกลับมาตั้งหลักได้ เริ่มมีสิ่งดีๆเข้ามา
แต่ชีวิตมันก็ยากขึ้น และครอบครัวก็ยังไม่เข้าใจเราเหมือนเดิม
เราเริ่มท้อ แต่ก็พูดไม่ได้ ต้องโดนซ้ำอยู่เรื่อยไป
จะสู้ไปทำไมในเมื่อคนที่เราแคร์ที่สุดไม่เห็นค่าเลย.
สู้กับข้างนอกก็เหนื่อยแล้ว ทำไมเราต้องสร้างภาพกับคนในบ้านอีกเหรอ?

เรารักคนในครอบครัว ไม่อยากตัดพวกเขาทิ้งไป
เราต้องทำยังไงพวกเขาจึงจะปฏิบัติกับเราดีๆ เลิกทำร้ายกันแบบนี้
ร้องไห้เกือบทุกวัน เล่าให้เพื่อนฟังจนกลัวเขาจะรำคาญแล้ว
ใจเราแย่มาก และชีวิตกำลังจะพุ่งลงต่ำอีกครั้ง

ถึงเราฆ่าตัวตายไป พวกเขาก็คงจะทำใจได้อย่างรวดเร็ว และบอกว่าโลกนี้ไม่ใช่ที่ของคนอ่อนแอ.

เราจะเปลี่ยนใจคนในครอบครัวได้ยังไงคะ
เราแสดงออกแล้วว่าเราเสียใจ (เคยนั่งร้องไห้เป็นวันๆ)
แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่จะดุด่าซ้ำเติม.
เราท้อจังเลย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
เข้าใจและเห็นใจคุณจขกท.ค่ะเพราะแม่ของดิชั้นก็เป็นคนพูดแรงๆ,ถากถาง,ดูแคลน,เสียดสีและอีกสารพัดเหมือนกัน ดีหน่อยตรงที่พ่อดิชั้นเป็นตรงข้ามกับแม่ทุกอย่างเวลาดิชั้นเถียงกับแม่จึงมีพ่อเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยและอธิบายว่าเพราะแม่รักแม่จึงทำเช่นนั้น...  จนเมื่อดิชั้นอายุ 28 จึงได้แต่งงานออกไปและนับจากวันนั้นเองทำให้ดิชั้นรู้ว่าแม่คือคนที่รักดิชั้นมากที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่การแสดงออกของแม่มันไม่ได้อ่อนโยนในแบบที่เราต้องการ และเมื่อดิชั้นอายุมากขึ้น(40ปีแล้วค่ะ)ศึกษาธรรมมากขึ้นจึงเข้าใจในสิ่งที่แม่แสดงออกมานั้นคือการที่แม่มีปมตั้งแต่เด็กๆ แม่ดิชั้นเป็นคนตจว.มีพี่น้อง8คน แม่เป็นพี่คนที่2 ต้องเลี้ยงดูน้องๆถัดมา แม่เล่าว่าแม่ลำบากมากเพราะตาดุและไม่รักลูกผู้หญิง ตาบอกว่ามีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านและถ้าแม่อยากกินขนมแม่ก็ต้องเก็บผักจากสวนไปขายเองเพราะตาไม่ให้เงิน นี่คือบางสาเหตุที่ทำให้แม่ดิชั้นเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย(มาก)จนทำให้แม่เป็นโรคเครียดและเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ทุกวันนี้ดิชั้นพยายามพูดสอดแทรกธรรมเป็นข้อคิดเตือนใจเวลาคุยเรื่องต่างๆกับแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะทำตามไม่ได้หมดและยังมีเถียงบ้างตามประสา แต่เท่าที่สังเกตุมาเรื่อยๆทุกวันนี้แม่ปลงและเข้าใจในชีวิตมากขึ้นไม่ตีโพยตีพาย ค่อยพูดค่อยคิดบางทีแม่ก็พูดแทรกธรรมบ้างแบบสอนตัวเองให้ปลงชีวิต เห็นมั้ยคะว่าธรรมช่วยได้
ที่เล่ามานี่ก็เพราะอยากจะบอกคุณว่าเราทุกคนมีกรรมมาแต่กำเนิดไม่ว่าจะกรรมดีกรรมชั่วล้วนติดตัวเรามา และกรรมนั่นเองที่ส่งผลให้เราต้องมาเจอมาพบมารู้จักมาใกล้ชิดมาชดใช้ ขอให้คุณทราบว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดหรือเปลี่ยนใจใครได้เลยนอกจากเปลี่ยนใจและความคิดของตัวเราเอง
อย่าเพิ่งท้อค่ะและอย่าคิดเรื่องฆ่าตัวตายเพราะชาติหน้าคุณจะได้เกิดมาเป็นคนอีกมั้ย?ก็ไม่รู้ได้... หมั่นศึกษาธรรมจะได้เข้าใจว่าคนเราเกิดมาได้อย่างไร?เกิดมาเพื่ออะไร?และจะเอาอะไรไปได้บ้าง? ขอให้คุณทำหน้าที่และบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของลูก,หน้าที่ของภรรยา,หน้าที่ของลูกน้องหรือหัวหน้าฯลฯ
เมื่อพบปัญหาหรือเผชิญกับความทุกข์จงหายใจลึกๆแล้วบอกกับตัวเองว่า เราจะผ่านความทุกข์นี้ไปให้ได้เราจะไม่แบกมันไว้
ขอให้คุณพบกับทางออกของปัญหาให้เร็วที่สุดนะคะ ดิชั้นเป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งคนค่ะ ถ้าวันนี้คุณผ่านมันไปได้วันข้างหน้าคุณจะมองกลับมาแล้วยิ้มกับมัน...
*จงใช้ปัญญามองแต่อย่าใช้ใจมองพวกเขาเหล่านั้นแล้วคุณจะรู้สึกสงสารและเห็นใจคนในบ้านที่พวกเค้าปฏิบัติเช่นนั้นกับคุณพาพันไฟท์ติ้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่