ต่อจากกระทู้ที่เเล้วนะคะ หลังจากที่เราตั้งคำถามไป เราก็ได้รู้ว่า มีไม่กี่คนที่มีต้นทุนเเบบนี้เเละก้าวไปสู่อีกจุดของชีวิตได้ (เราดูจากจำนวนคนที่เข้ามายืนยันว่ามีจริง ซึ่งมีน้อยเอามากๆ)
เรื่องจริงๆก็คือพ่อเเม่ยังเชื่อว่าต้องเคี่ยวเข็ญให้ลูกได้เรียนตั้งเเต่อายุยังน้อย บางคนเข้าเรียนเตรียมอนุบาลตั้งเเต่สองสามขวบ เพราะความที่อยากให้ลูกอ่านออกเขียนได้ ทั้งๆที่ในวัยนั้น เด็กไม่ต้องการอะไรเลย นอกจากความรักความอบอุ่นจากพ่อเเม่ (ขอเว้นคนที่ให้ลูกเข้าเพราะไม่มีเวลาดูเเลเองนะคะ)
ยังมีพ่อเเม่อีกมากมาย ที่เคี่ยวเข็ญให้ลูกเรียนพิเศษ ทั้งหลังเลิกเรียน วันเสาร์อาทิตย์ วันปิดเทอม อีกทั้งยังยอมเสียเงินติวเข้มเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าถ้าลูกไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น ลูกจะก้าวไปไม่ถึงดวงดาว ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การเรียนห้าวันต่ออาทิตย์นั้น มันก็เพียงพอเเล้วสำหรับเด็ก พ่อเเม่ไม่ได้เน้นความรู้รอบตัว เเต่เน้นการศึกษาล้วนๆ มีใครเคยคิดบ้างไหมคะว่า จริงๆเเล้วสถานเหล่านั้นมันทำให้เราตกอยู่ในวงเวียนของการเเข่งขันที่ไม่มีความจำเป็นเลย มันคือธุรกิจ เเละเราก็ตกเป็นเหยื่อของมันโดยไม่รู้ตัว
หรือเเม้เเต่การยอมเสียเงินบริจาคมากมาย (ซึ่งจริงๆเเล้ว มันก็คือเงินใต้โต๊ะดีๆนี่เอง จะมีจิตที่จะบริจาคจริงๆ ทำหลังเข้าเรียนเเล้วก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องดูจำนวนเงินก่อนเข้า) พ่อเเม่หลายคนยอมให้ลูกเสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเพื่อไปเรียน ไม่เลือกโรงเรียนไกล้บ้าน เพียงเพราะชื่อเสียงที่ริบหรี่ของโรงเรียนนั้น พ่อเเม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของโรงเรียนจนลืมคิดไปว่า โรงเรียนเหล่านั้น เค้าดีจริง สอนเด็กให้เรียนดีขึ้นจริง หรือเค้ารับเด็กที่เก่งอยู่เเล้วเข้าไปเรียนกันเเน่
เราอาจจะเป็นเเม่ที่โง่ คิดไม่ทันกระเเสโลก อะไรที่ใครๆต่างก็ทำกัน เราทำสวนทางทั้งหมด เรามีทางเลือกที่จะทำตามๆคนอื่น เเต่เราก็เลือกที่ทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง
เราไม่ให้ลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาล เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นเเค่สถานรับเลี้ยงเด็ก เค้าไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่จะต้องอ่านออกเขียนได้ในวัยนั้น เราให้ลูกเข้าเรียนอนุบาลตอนอายุห้าขวบ ปีเเรกของการศึกษา ลูกเราอ่าน A-Z ไม่จบ พูดภาษาอังกฤษเเทบจะไม่ได้เลย ที่บ้านใช้ภาษาไทยเเละจีนเท่านั้น
เรามองการว่าการเรียนพิเศษคือธุรกิจอย่างนึงที่หากินกับเด็ก เราไม่สนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น เราคิดเเค่เพียงว่า ให้มันรู้ไปว่า โรงเรียนจะส่งเด็กไปไม่ถึงฝั่ง เราไม่เเยกเเยะโรงเรียนที่ชื่อเสียง เราไม่เห็นความสำคัญที่ชื่อเสียงของโรงเรียนในการยกระดับให้ลูก เเต่เราสอนให้ลูกรู้จักการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน สอนให้เค้าได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ยกระดับโรงเรียนของตัวเองให้ดีขึ้น
เราเลี้ยงเค้ามาเเบบนี้ ส่วนอนาคตเค้าจะเป็นยังไงนั้น เวลาจะช่วยเป็นคำตอบให้เป็นอย่างดีค่ะ เราก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาโดยตลอดจริงๆหรือ ที่เราติดต่างจากพ่อเเม่อีกหลายๆคน
ถ้าคุณมองว่ามันผิด เเล้วเพราะอะไรคุณถึงยอมทำตามๆกันไปโดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนเเปลงความเชื่อเหล่านั้นละคะ??? การสร้างคนที่มีคุณภาพนั้น ไม่ได้อยู่ที่การเเข่งขันตั้งเเต่เล็กเเต่น้อย เเต่อยู่ที่การปลูกฝังจิตใต้สำนึกตั้งเเต่เล็กเเต่น้อย มันควรจะเป็นเเบบนั้นไม่ใช่หรือคะ?
เเละคำถามถัดมา.......สำหรับคนที่มีทางเลือก
คุณกล้าเลือกเเบบที่เราเลือกให้ลูกหรือปล่าวคะ??
ต้นทุนต่ำ ความฝันสูง สมัครเข้าเรียนมหาลัยระดับโลก (ภาคถัดมา)
เรื่องจริงๆก็คือพ่อเเม่ยังเชื่อว่าต้องเคี่ยวเข็ญให้ลูกได้เรียนตั้งเเต่อายุยังน้อย บางคนเข้าเรียนเตรียมอนุบาลตั้งเเต่สองสามขวบ เพราะความที่อยากให้ลูกอ่านออกเขียนได้ ทั้งๆที่ในวัยนั้น เด็กไม่ต้องการอะไรเลย นอกจากความรักความอบอุ่นจากพ่อเเม่ (ขอเว้นคนที่ให้ลูกเข้าเพราะไม่มีเวลาดูเเลเองนะคะ)
ยังมีพ่อเเม่อีกมากมาย ที่เคี่ยวเข็ญให้ลูกเรียนพิเศษ ทั้งหลังเลิกเรียน วันเสาร์อาทิตย์ วันปิดเทอม อีกทั้งยังยอมเสียเงินติวเข้มเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าถ้าลูกไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น ลูกจะก้าวไปไม่ถึงดวงดาว ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การเรียนห้าวันต่ออาทิตย์นั้น มันก็เพียงพอเเล้วสำหรับเด็ก พ่อเเม่ไม่ได้เน้นความรู้รอบตัว เเต่เน้นการศึกษาล้วนๆ มีใครเคยคิดบ้างไหมคะว่า จริงๆเเล้วสถานเหล่านั้นมันทำให้เราตกอยู่ในวงเวียนของการเเข่งขันที่ไม่มีความจำเป็นเลย มันคือธุรกิจ เเละเราก็ตกเป็นเหยื่อของมันโดยไม่รู้ตัว
หรือเเม้เเต่การยอมเสียเงินบริจาคมากมาย (ซึ่งจริงๆเเล้ว มันก็คือเงินใต้โต๊ะดีๆนี่เอง จะมีจิตที่จะบริจาคจริงๆ ทำหลังเข้าเรียนเเล้วก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องดูจำนวนเงินก่อนเข้า) พ่อเเม่หลายคนยอมให้ลูกเสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเพื่อไปเรียน ไม่เลือกโรงเรียนไกล้บ้าน เพียงเพราะชื่อเสียงที่ริบหรี่ของโรงเรียนนั้น พ่อเเม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของโรงเรียนจนลืมคิดไปว่า โรงเรียนเหล่านั้น เค้าดีจริง สอนเด็กให้เรียนดีขึ้นจริง หรือเค้ารับเด็กที่เก่งอยู่เเล้วเข้าไปเรียนกันเเน่
เราอาจจะเป็นเเม่ที่โง่ คิดไม่ทันกระเเสโลก อะไรที่ใครๆต่างก็ทำกัน เราทำสวนทางทั้งหมด เรามีทางเลือกที่จะทำตามๆคนอื่น เเต่เราก็เลือกที่ทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง
เราไม่ให้ลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาล เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นเเค่สถานรับเลี้ยงเด็ก เค้าไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่จะต้องอ่านออกเขียนได้ในวัยนั้น เราให้ลูกเข้าเรียนอนุบาลตอนอายุห้าขวบ ปีเเรกของการศึกษา ลูกเราอ่าน A-Z ไม่จบ พูดภาษาอังกฤษเเทบจะไม่ได้เลย ที่บ้านใช้ภาษาไทยเเละจีนเท่านั้น
เรามองการว่าการเรียนพิเศษคือธุรกิจอย่างนึงที่หากินกับเด็ก เราไม่สนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น เราคิดเเค่เพียงว่า ให้มันรู้ไปว่า โรงเรียนจะส่งเด็กไปไม่ถึงฝั่ง เราไม่เเยกเเยะโรงเรียนที่ชื่อเสียง เราไม่เห็นความสำคัญที่ชื่อเสียงของโรงเรียนในการยกระดับให้ลูก เเต่เราสอนให้ลูกรู้จักการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน สอนให้เค้าได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ยกระดับโรงเรียนของตัวเองให้ดีขึ้น
เราเลี้ยงเค้ามาเเบบนี้ ส่วนอนาคตเค้าจะเป็นยังไงนั้น เวลาจะช่วยเป็นคำตอบให้เป็นอย่างดีค่ะ เราก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาโดยตลอดจริงๆหรือ ที่เราติดต่างจากพ่อเเม่อีกหลายๆคน
ถ้าคุณมองว่ามันผิด เเล้วเพราะอะไรคุณถึงยอมทำตามๆกันไปโดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนเเปลงความเชื่อเหล่านั้นละคะ??? การสร้างคนที่มีคุณภาพนั้น ไม่ได้อยู่ที่การเเข่งขันตั้งเเต่เล็กเเต่น้อย เเต่อยู่ที่การปลูกฝังจิตใต้สำนึกตั้งเเต่เล็กเเต่น้อย มันควรจะเป็นเเบบนั้นไม่ใช่หรือคะ?
เเละคำถามถัดมา.......สำหรับคนที่มีทางเลือก
คุณกล้าเลือกเเบบที่เราเลือกให้ลูกหรือปล่าวคะ??