.............สืบเนื่องจากเมื่อวานได้อ่านกะทู้ของคุณ Think4223 เปรียบเทียบ หมู่บ้าน เป็น ประเทศ เนื้อหาเป็นการเปรียบเทียบประเทศเป็นหมู่บ้าน
http://ppantip.com/topic/31242685/comment13 ประเด็นมีอยู่ประมาณว่า คนกรุงเทพเสียภาษีเยอะกว่าคนต่างจังหวัด แต่คนต่างจังหวัดมีจำนวนมากกว่า เวลาเลือกตั้ง คนต่างจังหวัดเลือกคนโกงมาคอรัปชั่นเอาเงินภาษีที่คนกรุงเทพเสียมากกว่าไป (ส่วนคนกรุงเทพเลือกคนดีแล้วแพ้มั้ง เขาไม่ได้บอกไว้ แต่ผมคิดเอง) แล้วคุณ Think4223 ก็ทิ้งคำถามไว้ว่า ถ้าคุณ คือ คนจ่ายค่าภาษีมากกว่า คุณจะรู้สึกยังไงกับคนที่จ่ายภาษีน้อยกว่าแต่ไปเลือกลงคะแนน ให้คนที่มาโกงเงินส่วนกลาง ไปใช้สุขสบาย (ผมแปลความหมายให้ตรงประเด็นเลย เพราะจริงๆคุณ Think4223 ถามในเชิงเปรียบเทียบ)
ไอ้คนต่างจังหวัดอย่างผม ที่มาทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ ก็อดที่จะคิดชิงชังแนวความคิดคุณ Think4223 ไม่ได้ ไม่รู้คิดได้ยังไง อยู่ในบ้านเมืองประชาธิปไตย แล้วคิดแบบนี้กับเพื่อนร่วมชาติได้หรือ ใจอยากจะตอบไปเลย ณ.ตอนนั้น แต่ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะข้อมูลอ้างอิงก็ไม่มีสักอย่าง เลยบอกให้เขารอผมหาข้อมูลมายืนยันก่อน วันนี้ผมก็เลยตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูลมายืนยัน ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่ มันเป็นการกระทำที่น่าละอาย
ผมจะจับประเด็นของกะทู้คุณ Think4223 แล้วแยกออกมาเป็นคำถาม
คนกรุงเทพเสียภาษีมากกว่าคนต่างจังหวัดจริงหรือ ?
คำตอบคือ จริงครับ ปี 2554 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพพากร กทม. 989,968.88 ล้านบาท ปี 2555 1,037,317.61 ล้านบาท
ในขณะที่ ปี 2554 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพพากร ต่างจังหวัด 526,602.81 ล้านบาท ปี 2555 579,975.67 ล้านบาท
*เกร็ดความรู้ ภาษีสรรพากร มีอะไรบ้าง มี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ รายได้อื่น ๆ*
(ข้อมูลตามตารางที่รวบรวมมาจากแหล่งอ้างอิงของทางราชการ ตรวจสอบได้ครับ)
แต่ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลการกระจายตัวของเงินงบประมาณไปยังภูมิภาคในเชิงเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่นๆดังนี้
*หมายเหตุ World Bank จัดให้ภาคตะวันออกอยู่ในส่วนของภาคกลาง *
*ตัวเลขที่ World Bank ใช้ เป็นตัวเลขประมาณการใช้ค่าเฉลี่ยประชากร รายได้ งบประมาณ เทียบกับ GDP ของประเทศไทยในตอนที่เสนอรายงาน
*ข้อมูลผมเอาตัวเลขมาใส่ฟอร์มแล้วเซฟเป็นภาพมาประกอบ แต่ที่มาจริงๆตามนี้ครับ (ภาษาอังกฤษล้วนๆ 58 หน้า ข้อมูลที่เอามาประกอบ อยู่ตั้งแต่หน้า31ขึ้นไปครับ)
http://www-wds.worldbank.org/external/default/WDSContentServer/WDSP/IB/2012/06/20/000333038_20120620014639/Rendered/PDF/674860ESW0P1180019006020120RB0EDITS.pdf
(หน้า 32) หากพิจารณาส่วนของงบประมาณจากภาครัฐแล้ว จะพบว่าถึงแม้กรุงเทพฯ จะมีประชากร 17% ของประเทศ ทำรายได้ 26% ของ GDP ประเทศ แต่กลับได้รับงบประมาณถึงกว่า 72% ในทางกลับกันภาคอีสานที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศถึง 34% ทำรายได้ 11% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 6% ของงบประมาณใช้จ่าย นั่นแปลว่าไม่ว่าจะมองจากมิติของ GDP หรือมิติด้านจำนวนประชากร การจัดสรรงบประมาณรัฐยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก ซึ่งหลักการจัดสรรงบประมาณอย่าง“เป็นธรรม” นั้นขึ้นกับหลักคิดพื้นฐานว่าอะไรคือความเท่าเทียม/ยุติธรรม
และคนกรุงเทพอาจโวยวายเมื่อเห็นรายงานจาก World Bank
"ฉันไม่เห็นว่ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณกรุงเทพเยอะแยะอย่างที่ World Bank บอกเลย" ก็โปรดอย่าลืมว่า แต่ล่ะโครงการที่ทำในกรุงเทพ ไม่นับรวมซ่อมถนน ขุดท่อกระจอกงอกง่อย เอาเฉพาะที่ใช้งบประมาณการทำสูงหน่อย แต่ละโครงการใช้เงินมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น สนาม แบงค็อกฟุตซอลอารีนา ที่เดิมคิดจะใช้จัดแข่งขันฟุตซอลโลก แต่แล้วก็เสร็จไม่ได้ทัน ต้องย้ายไปจัดที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมากนั้น ก็ถูกๆเอง แค่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งโครงการเดียวก็มากกว่างบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมกันเสียอีก
ผมเอง เมื่อได้หาข้อมูลอย่างจริงจังแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ Think4223 ว่าคนที่เสียภาษีมากควรมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น คุณ Think4223 อาจแย้งว่า คุณไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเลย ผมก็จะพูดใหม่ให้ตรงกับคำถามที่คุณถามไว้
ว่าในการเลือกตัวแทนของตนเองในระบอบประชาธิปไตย คนที่เสียภาษีน้อยกว่าไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคนที่เสียภาษีมากกว่าเลย เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนการจ่ายภาษีกับการได้รับงบประมาณเพื่อพัฒนานั้น เทียบกันตามสัดส่วนแล้ว คนต่างจังหวัดต่างหาก ที่ควักค่าส่วนกลางมาพัฒนากรุงเทพ ให้กรุงเทพมีความเจริญด้านวัตถุสูงล้ำกว่าจังหวัดอื่น แต่จิตใจกลับพุ่งสวนทางกับความเจริญทางด้านวัตถุ
แต่นั้นก็แรงไปหน่อย ถ้าจะให้พูดใหม่ให้รื่นหู ผมจะบอกว่า เพราะ กทม. เป็นเมืองหลวง จึงถูกสร้างและกำหนดให้เป็นแหล่งการเงินการลงทุน จึงมีคนจากที่ต่างๆเข้ามาลงทุน จึงเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงดึงดูดคนทั่วประเทศเข้ามาทำงาน เงินจึงสะพัดมากกว่าที่อื่น จึงเก็บภาษีตามพื้นที่ได้มากกว่า ก็แค่นั้น ไม่ใช่คนกรุงเทพเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่เป็นไปตามที่มาและกลไกลของมัน
ขออีกสักข้อแล้วกัน ผมจะบอกว่า กรุงเทพเป็นเพียงเมืองพ่อค้า ข้าราชการและงานบริการเท่านั้น ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ไม่มีเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นเพียงเมืองนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นศูนย์รวมธุรกรรมทางการเงิน การจ้างงานจึงมากกว่า ตำแหน่งงานจึงมากกว่า รายได้จากภาษีจึงมากกว่า แต่ถ้าพูดจริงๆ ก็คนต่างจังหวัดนั่นแหละที่ทำงานใน กทม. แล้วเสียภาษี แล้วถูกส่งออกไปหล่อเลี้ยงต่างจังหวัดภูมิลำเนาของตนเองในรูปของงบประมาณซึ่งได้น้อยกว่ากรุงเทพเยอะโดยองค์รวม ยืนยันเหตุผลข้อนี้ง่ายๆ ดูได้จากเทศกาลหยุดยาว ปีใหม่ สงกรานต์ กรุงเทพนี้เงียบจนหมาเหงา มีแต่คนต่างจังหวัดกลับภูมิลำเนากันทั้งนั้น
ในขณะที่ต่างจังหวัดเป็นภาคเศรษฐกิจจริง คือภาคการผลิต มีสินค้า มีทรัพยากร ซึ่งพวกเหล่านี้แหละที่เป็นตัวค้ำหรือหนุนหลังเศรษฐกิจแบบปลอมๆ ของกรุงเทพ ถ้าไม่มีสินค้าและทรัพยากรจากต่างจังหวัด เมืองพ่อค้าก็ไม่มีอะไรไปขาย เมื่อไม่มีสินค้าไปขายเศรษฐกิจก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะกลายเป็น"เศรษฐกิจกลวง" ดังนั้นรายได้หลักของประเทศจึงมากจาก 3 ส่วนใหญ่คือ
1. ภาคการเกษตรอุตสาหกรรม ซึ่งก็คือผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา สิ่งทอ สินค้าเกษตร อาหารหมูเห็ดเป็นไก่ อาหารทะเล สินค้าแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตจากโรงงาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์
2. ภาคการส่งออก ซึ่งก็คือสินค้าจากต่างจังหวัด ในข้อแรกที่ประเทศไทยส่งออกไปขาย กรุงเทพกินหัวคิวตรงนี้ เพราะบริษัทแม่ของอุตสาหกรรมต่างๆล้วนแต่อยู่ในเมืองหลวง
3. ภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งก็คือทรัพยากรจากต่างจังหวัดอีกนั่นแหละ
จะเห็นได้ว่า กรุงเทพแทบไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยที่เป็นเศรษฐกิจจริงดังกล่าว มีเพียงการท่องเที่ยวอันน้อยนิดใน กทม. นอกนั้นมาจากความเป็น "พ่อค้าคนกลางทั้งสิ้น" แล้วฉกฉวยโอกาสทำกำไรจนเป็นที่มาของรายได้ที่มากกว่าภาคการผลิต
ราชดำเนินในสมัยก่อน เขาถกเถียงกันด้วยข้อมูลเหตุผล แต่เมื่อการเมืองแบ่งคนออกเป็นสองฝั่ง ข้อมูลเหตุผลก็เหมือนจะไม่มีความสำคัญ เพราะทุกวันนี้ใช้แค่อารมณ์ความรู้สึกมาโต้เถียงกัน ซึ่งไม่เห็นจะช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้นเลย แน่นอนในกะทู้นี้ของผมก็เขียนหลายคำที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึก ซึ่งผมก็ต้องขออภัย คุณ Think4223 ไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่ก็อยากให้พิจารณาดูว่า ข้อมูลเหตุผลของผม พอจะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดใหม่ได้รึเปล่า
คนกรุงเสียภาษีเยอะกว่าคนต่างจังหวัด ควรได้สิทธิมากกว่าจริงหรือ?
ไอ้คนต่างจังหวัดอย่างผม ที่มาทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ ก็อดที่จะคิดชิงชังแนวความคิดคุณ Think4223 ไม่ได้ ไม่รู้คิดได้ยังไง อยู่ในบ้านเมืองประชาธิปไตย แล้วคิดแบบนี้กับเพื่อนร่วมชาติได้หรือ ใจอยากจะตอบไปเลย ณ.ตอนนั้น แต่ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะข้อมูลอ้างอิงก็ไม่มีสักอย่าง เลยบอกให้เขารอผมหาข้อมูลมายืนยันก่อน วันนี้ผมก็เลยตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูลมายืนยัน ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่ มันเป็นการกระทำที่น่าละอาย
ผมจะจับประเด็นของกะทู้คุณ Think4223 แล้วแยกออกมาเป็นคำถาม
คนกรุงเทพเสียภาษีมากกว่าคนต่างจังหวัดจริงหรือ ?
คำตอบคือ จริงครับ ปี 2554 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพพากร กทม. 989,968.88 ล้านบาท ปี 2555 1,037,317.61 ล้านบาท
ในขณะที่ ปี 2554 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพพากร ต่างจังหวัด 526,602.81 ล้านบาท ปี 2555 579,975.67 ล้านบาท
*เกร็ดความรู้ ภาษีสรรพากร มีอะไรบ้าง มี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ รายได้อื่น ๆ*
(ข้อมูลตามตารางที่รวบรวมมาจากแหล่งอ้างอิงของทางราชการ ตรวจสอบได้ครับ)
แต่ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลการกระจายตัวของเงินงบประมาณไปยังภูมิภาคในเชิงเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่นๆดังนี้
*หมายเหตุ World Bank จัดให้ภาคตะวันออกอยู่ในส่วนของภาคกลาง *
*ตัวเลขที่ World Bank ใช้ เป็นตัวเลขประมาณการใช้ค่าเฉลี่ยประชากร รายได้ งบประมาณ เทียบกับ GDP ของประเทศไทยในตอนที่เสนอรายงาน
*ข้อมูลผมเอาตัวเลขมาใส่ฟอร์มแล้วเซฟเป็นภาพมาประกอบ แต่ที่มาจริงๆตามนี้ครับ (ภาษาอังกฤษล้วนๆ 58 หน้า ข้อมูลที่เอามาประกอบ อยู่ตั้งแต่หน้า31ขึ้นไปครับ) http://www-wds.worldbank.org/external/default/WDSContentServer/WDSP/IB/2012/06/20/000333038_20120620014639/Rendered/PDF/674860ESW0P1180019006020120RB0EDITS.pdf
(หน้า 32) หากพิจารณาส่วนของงบประมาณจากภาครัฐแล้ว จะพบว่าถึงแม้กรุงเทพฯ จะมีประชากร 17% ของประเทศ ทำรายได้ 26% ของ GDP ประเทศ แต่กลับได้รับงบประมาณถึงกว่า 72% ในทางกลับกันภาคอีสานที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศถึง 34% ทำรายได้ 11% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 6% ของงบประมาณใช้จ่าย นั่นแปลว่าไม่ว่าจะมองจากมิติของ GDP หรือมิติด้านจำนวนประชากร การจัดสรรงบประมาณรัฐยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก ซึ่งหลักการจัดสรรงบประมาณอย่าง“เป็นธรรม” นั้นขึ้นกับหลักคิดพื้นฐานว่าอะไรคือความเท่าเทียม/ยุติธรรม
และคนกรุงเทพอาจโวยวายเมื่อเห็นรายงานจาก World Bank "ฉันไม่เห็นว่ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณกรุงเทพเยอะแยะอย่างที่ World Bank บอกเลย" ก็โปรดอย่าลืมว่า แต่ล่ะโครงการที่ทำในกรุงเทพ ไม่นับรวมซ่อมถนน ขุดท่อกระจอกงอกง่อย เอาเฉพาะที่ใช้งบประมาณการทำสูงหน่อย แต่ละโครงการใช้เงินมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น สนาม แบงค็อกฟุตซอลอารีนา ที่เดิมคิดจะใช้จัดแข่งขันฟุตซอลโลก แต่แล้วก็เสร็จไม่ได้ทัน ต้องย้ายไปจัดที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมากนั้น ก็ถูกๆเอง แค่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งโครงการเดียวก็มากกว่างบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมกันเสียอีก
ผมเอง เมื่อได้หาข้อมูลอย่างจริงจังแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ Think4223 ว่าคนที่เสียภาษีมากควรมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น คุณ Think4223 อาจแย้งว่า คุณไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเลย ผมก็จะพูดใหม่ให้ตรงกับคำถามที่คุณถามไว้
ว่าในการเลือกตัวแทนของตนเองในระบอบประชาธิปไตย คนที่เสียภาษีน้อยกว่าไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคนที่เสียภาษีมากกว่าเลย เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนการจ่ายภาษีกับการได้รับงบประมาณเพื่อพัฒนานั้น เทียบกันตามสัดส่วนแล้ว คนต่างจังหวัดต่างหาก ที่ควักค่าส่วนกลางมาพัฒนากรุงเทพ ให้กรุงเทพมีความเจริญด้านวัตถุสูงล้ำกว่าจังหวัดอื่น แต่จิตใจกลับพุ่งสวนทางกับความเจริญทางด้านวัตถุ
แต่นั้นก็แรงไปหน่อย ถ้าจะให้พูดใหม่ให้รื่นหู ผมจะบอกว่า เพราะ กทม. เป็นเมืองหลวง จึงถูกสร้างและกำหนดให้เป็นแหล่งการเงินการลงทุน จึงมีคนจากที่ต่างๆเข้ามาลงทุน จึงเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงดึงดูดคนทั่วประเทศเข้ามาทำงาน เงินจึงสะพัดมากกว่าที่อื่น จึงเก็บภาษีตามพื้นที่ได้มากกว่า ก็แค่นั้น ไม่ใช่คนกรุงเทพเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่เป็นไปตามที่มาและกลไกลของมัน
ขออีกสักข้อแล้วกัน ผมจะบอกว่า กรุงเทพเป็นเพียงเมืองพ่อค้า ข้าราชการและงานบริการเท่านั้น ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ไม่มีเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นเพียงเมืองนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นศูนย์รวมธุรกรรมทางการเงิน การจ้างงานจึงมากกว่า ตำแหน่งงานจึงมากกว่า รายได้จากภาษีจึงมากกว่า แต่ถ้าพูดจริงๆ ก็คนต่างจังหวัดนั่นแหละที่ทำงานใน กทม. แล้วเสียภาษี แล้วถูกส่งออกไปหล่อเลี้ยงต่างจังหวัดภูมิลำเนาของตนเองในรูปของงบประมาณซึ่งได้น้อยกว่ากรุงเทพเยอะโดยองค์รวม ยืนยันเหตุผลข้อนี้ง่ายๆ ดูได้จากเทศกาลหยุดยาว ปีใหม่ สงกรานต์ กรุงเทพนี้เงียบจนหมาเหงา มีแต่คนต่างจังหวัดกลับภูมิลำเนากันทั้งนั้น
ในขณะที่ต่างจังหวัดเป็นภาคเศรษฐกิจจริง คือภาคการผลิต มีสินค้า มีทรัพยากร ซึ่งพวกเหล่านี้แหละที่เป็นตัวค้ำหรือหนุนหลังเศรษฐกิจแบบปลอมๆ ของกรุงเทพ ถ้าไม่มีสินค้าและทรัพยากรจากต่างจังหวัด เมืองพ่อค้าก็ไม่มีอะไรไปขาย เมื่อไม่มีสินค้าไปขายเศรษฐกิจก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะกลายเป็น"เศรษฐกิจกลวง" ดังนั้นรายได้หลักของประเทศจึงมากจาก 3 ส่วนใหญ่คือ
1. ภาคการเกษตรอุตสาหกรรม ซึ่งก็คือผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา สิ่งทอ สินค้าเกษตร อาหารหมูเห็ดเป็นไก่ อาหารทะเล สินค้าแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตจากโรงงาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์
2. ภาคการส่งออก ซึ่งก็คือสินค้าจากต่างจังหวัด ในข้อแรกที่ประเทศไทยส่งออกไปขาย กรุงเทพกินหัวคิวตรงนี้ เพราะบริษัทแม่ของอุตสาหกรรมต่างๆล้วนแต่อยู่ในเมืองหลวง
3. ภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งก็คือทรัพยากรจากต่างจังหวัดอีกนั่นแหละ
จะเห็นได้ว่า กรุงเทพแทบไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยที่เป็นเศรษฐกิจจริงดังกล่าว มีเพียงการท่องเที่ยวอันน้อยนิดใน กทม. นอกนั้นมาจากความเป็น "พ่อค้าคนกลางทั้งสิ้น" แล้วฉกฉวยโอกาสทำกำไรจนเป็นที่มาของรายได้ที่มากกว่าภาคการผลิต
ราชดำเนินในสมัยก่อน เขาถกเถียงกันด้วยข้อมูลเหตุผล แต่เมื่อการเมืองแบ่งคนออกเป็นสองฝั่ง ข้อมูลเหตุผลก็เหมือนจะไม่มีความสำคัญ เพราะทุกวันนี้ใช้แค่อารมณ์ความรู้สึกมาโต้เถียงกัน ซึ่งไม่เห็นจะช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้นเลย แน่นอนในกะทู้นี้ของผมก็เขียนหลายคำที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึก ซึ่งผมก็ต้องขออภัย คุณ Think4223 ไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่ก็อยากให้พิจารณาดูว่า ข้อมูลเหตุผลของผม พอจะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดใหม่ได้รึเปล่า