หมอกควันแห่งความเกลียดชัง โรยตัวลงมาปกคลุมกรุงเทพที่รักของผมอีกรอบ
แต่รอบนี้ดูจะน่ากลัวกว่าทุกครั้ง จากความบ้าคลั่งของพวกมัน
มัน...ผู้ปลุกปั่นยุยง ที่ต้องการไปถึงเป้าหมายอย่างไม่คำนึงถึงวิธีการและความสูญเสีย
ครานี้ ดูราวกับว่า จะไม่ใช่ประชาชนกับอำนาจมืดอีกแล้ว
แต่มันกำลังจะเป็นสงครามของประชาชน กับประชาชน ต่ำช้าดีแท้
น้ำลายที่ออฟองฟูฟอดอยู่มุมปาก รวมถึงบางส่วนที่กระเด็นไปติดเยิ้มอนู่ที่ไมค์โครโฟนส่งกลิ่นคละคลุ้ง
ไอแดดเต้นริกและกลิ่นเหงื่อไคลคาวฟุ้งจัด ดวงตาที่ถทึงแต่ไร้ประกายความหวังของฝูงชนที่เหมือนสัตว์อดโซ
ยิ่งร้อน ยิ่งหิว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งสิ้นหวังปวดร้าว ย่อมต้องถูกลากจูงได้ง่าย
กฎข้อนี้ พวกมันทุกคนรู้ดี
และหากยิ่งเติมความเป็นผู้เสียสละ ผู้กล้าหาญ แล้วตบตูดด้วยคำว่าวีระบุรุษ/สตรี กู้นู่นนี่ ห่านเหวอะไรนั่นเข้าไปด้วย นั่นยิ่งทำให้โพรงสมองที่ตีบตันอยู่แล้ว หดเล็กลงไปอีก
แต่หากฝูงชนมีท่าทีเคลือบแคลงใจ ไม้ตายก็จะถูกงัดออกมาตีปิดสมองส่วนควบคุมวิจารณะส่วนสุดท้ายให้ตายสนิท
"พี่น้องครับ..." (ตอนนี้พวกกุเป็นพี่น้อง แต่พอพวกมิงเสวยอำนาจ พี่น้องมิงจะเข้าพบแต่ละทีต้องคลานเข่า)
"เราจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน..." (เลิกปราศัย มิงเข้าคอนเทนเนอร์ติดแอร์จิบไวน์บิ้วฟิวส์ พวกกุนั่งปรบมือคอแห้งผาด)
"เราจะเสียสละแม้ชีวิต" (ชีวิตใคร ชีวิตพวกกุ?)
และเพื่อความซาบซึ้ง พวกมันก็จะก้มลงคุกเข่ากระตกตูดกราบกลางเวทีอีกหนึ่งที่
เมื่อลุกขึ้นก็ทำท่าน้ำตาคลอ
เมื่อนั้นแหล่ะ พ่อแม่พี่น้องของพวกเรา ก็จะถูกพวกมันถีบเข้าสมรภูมิในทันใด....
17 พค. 35
ผมกระโจนเข้าสู่การชุมนุมอย่างไม่ต้องตัดสินใจยุ่งยาก
อาจเพราะวัย อยากเป็นนักสู้ อยากเป็นผู้เสียสละ และอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้กู้ชาติกู้แผ่นดิน
เเละการถูกกระตุ้นเร้าจากนักควบคุมฝูงชนระดับโปรเฟสชั่นแนล ที่ใช้ความสมถะและการอาบน้ำๆน้อยๆเป็นอาวุธ(ด้วยความโง่ ทำให้ผมเข้าใจเอาเองว่า มนุษย์สามารถนอนบนไม้กระดานแผ่นเดียวได้จริงๆ โดยไม่ทันคิดว่า ไอ่ไม้แผ่นนั้น มันอาจกว้าง 3 เมตรก็เป็นได้)
ก็ยิ่งทำให้อะดรีนารีนถูกฉีดออกจากสมองส่วนไฮโปทาลามัสอย่างต่อเนื่อง
ผ้าชิ้นน้อยที่ถูกฉีกแบ่งกันคาดหัว ทำให้พวกเราเชื่อว่า มันสามารถช่วยเราสู้กับอาวุธสงครามทุกชนิด รวมไปความอยุติธรรมได้
ผมและเพื่อนเลือดร้อนอีกกลุ่มใหญ่ ปวารณาทั้งหัวทั้งตัว เพื่อรับใช้ความถูกต้องดีงาม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต (แลกกับอะไร?)
อา... ความตายนั้นเล็กกระจิ๋วหลิวปานดักแด้ทอดค้างคืน
18 พค.35
และแล้ว ผู้นำทางจิตใจ(ใจง่อยๆที่แสนเหนื่อยเปลี้ย)ของเราก็โดนจับ
น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลหลั่ง ไม่หรอก ไม่ใช่ความเจ็บแค้นเสียใจ
แต่จากพายท้ายปืนที่กระแทกเข้าชายโครงผมจนตัวงอ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของเด็กและสตรี ที่เข้าฉุดลากแข้งขานักปลุกระดมที่พวกเขาศรัทธา จากทหารกลุ่มใหญ่อาวุธหนักครบมือ
นักการเมืองกระหายเลือดสงบนิ่งเมื่อถูกควบคุมตัว เสียดายที่ผมอยู่ไม่ใกล้พอที่จะเห็นรอยยิ้มมุมปากที่เปื้อนชัยชนะของเขา(บนคราบเลือดของเรา)
นั่นเป็นกลยุทธองเขา เขาต้องถูกจับ และต้องมีใครสักคนถูกยิง เขารู้ดีทุกอย่าง
ที่ไม่รู้คือพวกเรา
ให้ดิ้นตายเถอะ หากวันนั้น ผมมีเนื้อสมองเหลือสักเสี้ยวของวันนี้ ผมก็คงคิดได้ว่า
การที่ผู้เสียสละของเราให้พวกเราไปนั่งล้อมเค้าไว้ชั้นนอก ผู้หญิงชั้นใน เด็กและคนแก่ชั้นในสุด มันหมายถึงอะไร....และเค้ารักพวกเราแค่ไหน..
แต่ผีห่ าซาตานประจำราชดำเนิน ก็คงปิดตาเราอยู่ เราที่เหลือจึงสู้ต่อไป
บ่ายนั้น.. ความเป็นจริงของชีวิตก็ปรากฎตัวขึ้น
เหล่าทหารหาญของชาติ ก็เดินตบเท้าเรียงหน้ากระดานเข้ามาหาพวกเรา เขียวทะมึนสุดลูกหูลูกตา
และที่กระชากขวัญพวกเราออกจากร่าง
คือ ห่าฝนกระสุนสีแดงที่พุ่งขึ้นฟ้า พร้อมกับเสียงรัวดังติดกันยาวเป็นพรืด แยกไม่ได้แน่ๆว่านัดไหนเป็นนัดไหน
แต่เมื่อพวกเราบางคน เห็นว่าทิศทางกระสุนไม่ได้พุ่งมา จึงถลันลุกขึ้นพร้อมก้อนหินในมือ แววตาฮืดสู้แวววาว
"ปุ...." เสียงคล้ายๆแบบนี้ ตอนที่กระสุนพุ่งผ่านคอของเพื่อนใหม่ เลือดกระเซ็นเป็นฝอยเล็กๆออกมาตามแรงกระสุน
เค้าล้มลงมาตะแคงต่อหน้าผม มือยังกำก้อนหินเล็กๆนั้นอยู่แน่น
ผมกลัวหรอ...?
ไม่เลย... มันกลับทำให้ผมคลั่งมากขึ้น แน่นอน พวกเราที่เหลือก็คลั่ง
การต่อสู้ที่ไร้ทิศทาง อาวุธที่แล้วแต่จะหาได้ และศัตรูที่เราไม่มีวันรู้ว่าพวกมันเป็นใคร
ก็เริ่มขึ้น....
20 พค. 35
ด้วยพระบารมี ทุกอย่างก็สงบลง
ผมเฝ้ารออย่างใจจดจ่อและเติมเต็มไปด้วยความหวัง ว่าจะต้องมีใครบางคนต้องรับโทษจากผลแห่งการกระทำของมัน
ไม่ว่า มันจะเป็นผู้เริ่ม หรือผู้แย่งชิง
23 พค.35
รัฐบาลออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดในการชุมนุมวันที่ 17-21 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ว่า
"บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2535 และได้กระทำในระหว่างวันดังกล่าวไม่ว่าได้กระทำในฐานะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง"
ผมทรุดตัวลงในความมืด เบียดตัวเข้ามุมห้อง และเริ่มต้นร้องให้เงียบๆ
11 พย.56 13.00 น.
ผมเรียกเก็บเงินค่าชามะนาวจากร้านกาแฟเล็กๆข้างหน่วยงาน ที่ผมนิยมหอบงานมานั่งคิดเงียบๆ
คุณป้าซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม เดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกลพร้อม กระเซ้าผมด้วยเสียงหยอกเอิน
"จะรีบไปชุมนุมประท้วงนิรโทษกับเค้าหรอ..?"
"ครับ.." ผมยิ้มตอบและอำกลับ
"ไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะเดี๋ยวก็มีคนตาย และเดี๋ยวเค้าก็นิรโทษกันอีก...."
เสียงป้าเรียบเหมือนกระจก และลอยมาจากที่ไกลโพ้น...
ปล.สวัสดีเพื่อนตุ้มและเพื่อนอาร์ตที่รักครับ
ไม่ต้องรีบก็ได้... เดี๋ยวเค้าก็นิรโทษกันอีก ^^
แต่รอบนี้ดูจะน่ากลัวกว่าทุกครั้ง จากความบ้าคลั่งของพวกมัน
มัน...ผู้ปลุกปั่นยุยง ที่ต้องการไปถึงเป้าหมายอย่างไม่คำนึงถึงวิธีการและความสูญเสีย
ครานี้ ดูราวกับว่า จะไม่ใช่ประชาชนกับอำนาจมืดอีกแล้ว
แต่มันกำลังจะเป็นสงครามของประชาชน กับประชาชน ต่ำช้าดีแท้
น้ำลายที่ออฟองฟูฟอดอยู่มุมปาก รวมถึงบางส่วนที่กระเด็นไปติดเยิ้มอนู่ที่ไมค์โครโฟนส่งกลิ่นคละคลุ้ง
ไอแดดเต้นริกและกลิ่นเหงื่อไคลคาวฟุ้งจัด ดวงตาที่ถทึงแต่ไร้ประกายความหวังของฝูงชนที่เหมือนสัตว์อดโซ
ยิ่งร้อน ยิ่งหิว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งสิ้นหวังปวดร้าว ย่อมต้องถูกลากจูงได้ง่าย
กฎข้อนี้ พวกมันทุกคนรู้ดี
และหากยิ่งเติมความเป็นผู้เสียสละ ผู้กล้าหาญ แล้วตบตูดด้วยคำว่าวีระบุรุษ/สตรี กู้นู่นนี่ ห่านเหวอะไรนั่นเข้าไปด้วย นั่นยิ่งทำให้โพรงสมองที่ตีบตันอยู่แล้ว หดเล็กลงไปอีก
แต่หากฝูงชนมีท่าทีเคลือบแคลงใจ ไม้ตายก็จะถูกงัดออกมาตีปิดสมองส่วนควบคุมวิจารณะส่วนสุดท้ายให้ตายสนิท
"พี่น้องครับ..." (ตอนนี้พวกกุเป็นพี่น้อง แต่พอพวกมิงเสวยอำนาจ พี่น้องมิงจะเข้าพบแต่ละทีต้องคลานเข่า)
"เราจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน..." (เลิกปราศัย มิงเข้าคอนเทนเนอร์ติดแอร์จิบไวน์บิ้วฟิวส์ พวกกุนั่งปรบมือคอแห้งผาด)
"เราจะเสียสละแม้ชีวิต" (ชีวิตใคร ชีวิตพวกกุ?)
และเพื่อความซาบซึ้ง พวกมันก็จะก้มลงคุกเข่ากระตกตูดกราบกลางเวทีอีกหนึ่งที่
เมื่อลุกขึ้นก็ทำท่าน้ำตาคลอ
เมื่อนั้นแหล่ะ พ่อแม่พี่น้องของพวกเรา ก็จะถูกพวกมันถีบเข้าสมรภูมิในทันใด....
17 พค. 35
ผมกระโจนเข้าสู่การชุมนุมอย่างไม่ต้องตัดสินใจยุ่งยาก
อาจเพราะวัย อยากเป็นนักสู้ อยากเป็นผู้เสียสละ และอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้กู้ชาติกู้แผ่นดิน
เเละการถูกกระตุ้นเร้าจากนักควบคุมฝูงชนระดับโปรเฟสชั่นแนล ที่ใช้ความสมถะและการอาบน้ำๆน้อยๆเป็นอาวุธ(ด้วยความโง่ ทำให้ผมเข้าใจเอาเองว่า มนุษย์สามารถนอนบนไม้กระดานแผ่นเดียวได้จริงๆ โดยไม่ทันคิดว่า ไอ่ไม้แผ่นนั้น มันอาจกว้าง 3 เมตรก็เป็นได้)
ก็ยิ่งทำให้อะดรีนารีนถูกฉีดออกจากสมองส่วนไฮโปทาลามัสอย่างต่อเนื่อง
ผ้าชิ้นน้อยที่ถูกฉีกแบ่งกันคาดหัว ทำให้พวกเราเชื่อว่า มันสามารถช่วยเราสู้กับอาวุธสงครามทุกชนิด รวมไปความอยุติธรรมได้
ผมและเพื่อนเลือดร้อนอีกกลุ่มใหญ่ ปวารณาทั้งหัวทั้งตัว เพื่อรับใช้ความถูกต้องดีงาม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต (แลกกับอะไร?)
อา... ความตายนั้นเล็กกระจิ๋วหลิวปานดักแด้ทอดค้างคืน
18 พค.35
และแล้ว ผู้นำทางจิตใจ(ใจง่อยๆที่แสนเหนื่อยเปลี้ย)ของเราก็โดนจับ
น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลหลั่ง ไม่หรอก ไม่ใช่ความเจ็บแค้นเสียใจ
แต่จากพายท้ายปืนที่กระแทกเข้าชายโครงผมจนตัวงอ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของเด็กและสตรี ที่เข้าฉุดลากแข้งขานักปลุกระดมที่พวกเขาศรัทธา จากทหารกลุ่มใหญ่อาวุธหนักครบมือ
นักการเมืองกระหายเลือดสงบนิ่งเมื่อถูกควบคุมตัว เสียดายที่ผมอยู่ไม่ใกล้พอที่จะเห็นรอยยิ้มมุมปากที่เปื้อนชัยชนะของเขา(บนคราบเลือดของเรา)
นั่นเป็นกลยุทธองเขา เขาต้องถูกจับ และต้องมีใครสักคนถูกยิง เขารู้ดีทุกอย่าง ที่ไม่รู้คือพวกเรา
ให้ดิ้นตายเถอะ หากวันนั้น ผมมีเนื้อสมองเหลือสักเสี้ยวของวันนี้ ผมก็คงคิดได้ว่า
การที่ผู้เสียสละของเราให้พวกเราไปนั่งล้อมเค้าไว้ชั้นนอก ผู้หญิงชั้นใน เด็กและคนแก่ชั้นในสุด มันหมายถึงอะไร....และเค้ารักพวกเราแค่ไหน..
แต่ผีห่ าซาตานประจำราชดำเนิน ก็คงปิดตาเราอยู่ เราที่เหลือจึงสู้ต่อไป
บ่ายนั้น.. ความเป็นจริงของชีวิตก็ปรากฎตัวขึ้น
เหล่าทหารหาญของชาติ ก็เดินตบเท้าเรียงหน้ากระดานเข้ามาหาพวกเรา เขียวทะมึนสุดลูกหูลูกตา
และที่กระชากขวัญพวกเราออกจากร่าง
คือ ห่าฝนกระสุนสีแดงที่พุ่งขึ้นฟ้า พร้อมกับเสียงรัวดังติดกันยาวเป็นพรืด แยกไม่ได้แน่ๆว่านัดไหนเป็นนัดไหน
แต่เมื่อพวกเราบางคน เห็นว่าทิศทางกระสุนไม่ได้พุ่งมา จึงถลันลุกขึ้นพร้อมก้อนหินในมือ แววตาฮืดสู้แวววาว
"ปุ...." เสียงคล้ายๆแบบนี้ ตอนที่กระสุนพุ่งผ่านคอของเพื่อนใหม่ เลือดกระเซ็นเป็นฝอยเล็กๆออกมาตามแรงกระสุน
เค้าล้มลงมาตะแคงต่อหน้าผม มือยังกำก้อนหินเล็กๆนั้นอยู่แน่น
ผมกลัวหรอ...?
ไม่เลย... มันกลับทำให้ผมคลั่งมากขึ้น แน่นอน พวกเราที่เหลือก็คลั่ง
การต่อสู้ที่ไร้ทิศทาง อาวุธที่แล้วแต่จะหาได้ และศัตรูที่เราไม่มีวันรู้ว่าพวกมันเป็นใคร
ก็เริ่มขึ้น....
20 พค. 35
ด้วยพระบารมี ทุกอย่างก็สงบลง
ผมเฝ้ารออย่างใจจดจ่อและเติมเต็มไปด้วยความหวัง ว่าจะต้องมีใครบางคนต้องรับโทษจากผลแห่งการกระทำของมัน
ไม่ว่า มันจะเป็นผู้เริ่ม หรือผู้แย่งชิง
23 พค.35
รัฐบาลออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดในการชุมนุมวันที่ 17-21 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ว่า
"บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2535 และได้กระทำในระหว่างวันดังกล่าวไม่ว่าได้กระทำในฐานะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง"
ผมทรุดตัวลงในความมืด เบียดตัวเข้ามุมห้อง และเริ่มต้นร้องให้เงียบๆ
11 พย.56 13.00 น.
ผมเรียกเก็บเงินค่าชามะนาวจากร้านกาแฟเล็กๆข้างหน่วยงาน ที่ผมนิยมหอบงานมานั่งคิดเงียบๆ
คุณป้าซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม เดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกลพร้อม กระเซ้าผมด้วยเสียงหยอกเอิน
"จะรีบไปชุมนุมประท้วงนิรโทษกับเค้าหรอ..?"
"ครับ.." ผมยิ้มตอบและอำกลับ
"ไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะเดี๋ยวก็มีคนตาย และเดี๋ยวเค้าก็นิรโทษกันอีก...."
เสียงป้าเรียบเหมือนกระจก และลอยมาจากที่ไกลโพ้น...
ปล.สวัสดีเพื่อนตุ้มและเพื่อนอาร์ตที่รักครับ