พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่าพระโสดาบัน มีศีล5บริสุทธิ์ ไม่ได้บอกว่า "ขอแค่มีศีล5"
คุณต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง "ขอแค่มีศีล5" กับ "มีศีล5บริสุทธิ์"
ทั้ง2อย่างนี้ไม่เหมือนกัน (โปรดพิจารณาตรงนี้ให้ดี)
คำว่า "ขอแค่มีศีล5" หมายถึง ขอแค่ศีล5ข้อของคุณไม่ขาดเป็นพอ
แต่คำว่า "มีศีล5บริสุทธิ์" นี่คือขั้นสูงกว่าของการถือศีล5แบบธรรมดาๆ
(คือ การยอมรับในศีล จึงถือศีลโดยเต็มใจ,ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเต็มใจ
และไม่ลังเลในการถือศีลโดยเต็มใจ)
ถ้าคิดว่า "แค่ไม่ทำศีล5ขาด ก็จะได้เป็นพระโสดาบันแน่นอน" อันนี้ไม่ถูกต้อง
เพราะคนธรรมดาๆทั่วไป แม้ศีล5จะไม่ขาด แต่ใจยังไม่ได้เป็น "พระ"
ศีล5ของคนธรรมดาๆ เป็นแค่การเลี่ยงทำผิด เพราะกลัวบาป (จึงเป็นศีลหยาบ ไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์)
ไม่ใช่การถือศีลบริสุทธิ์แบบพระอริยะเจ้า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยกตัวอย่างเช่น....
มีผู้ชายคนนึงถือศีล5มาตลอด คิดว่าตัวเองมีศีลบริสุทธิ์ แต่!
อยู่มาวันนึง.... มีผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีเซ็กซี่มากๆ ที่มีครอบครัวแล้ว มาให้ท่า
เธอชวนผู้ชายคนนี้ไปที่ห้องนอนของเธอ ตอนที่สามีเธอไม่อยู่
ผู้ชายก็ไม่ปฏิเสธ เพราะทนความยั่วยวนไม่ไหว
พอเดินเข้าไปในบ้านนั้น แต่ยังไม่ทันมีอะไรกัน สามีเธอก็วกกลับมาเสียก่อน
ผู้ชายคนนี้จึงต้องรีบหนีออกมาจากบ้านนั้น
กรณีนี้ ศีลข้อ3 ไม่ขาด แต่ศีลพร้อย เพราะผู้ชายคนนี้มีเจตนา และพยายามแล้ว
เพียงแต่ยังไม่ครบองค์ประกอบของการศีลขาด
ในเมื่อผู้ชายคนนี้ศีลทั้ง5ข้อเค้ายังอยู่ครบ ยังไม่ได้ขาด
คุณคิดว่าการถือศีลผลุบๆโผล่ๆแบบนี้ ไปจนหมดอายุขัยของเขา
จะทำให้ผู้ชายคนนี้มีโอกาสได้เป็นพระอริยะเจ้า เช่น พระโสดาบัน หรือไม่?
คำตอบคือ "ไม่ได้"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ชายคนนี้เป็นได้แค่คนธรรมดาๆ ที่บังเอิญยังไม่มีโอกาสได้ทำผิดศีลเท่านั้น
เพราะเจตนาอยากกระทำผิดล่วงศีลผู้อื่นยังมีซ่อนอยู่ในใจอยู่ตลอด (ใจยังไม่ได้เป็น "พระ" )
ใจยังไม่มั่นคงในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบถึงที่สุดจริง ถ้าถึงที่สุดแล้วจะไม่ทำ
(จึงละสังโยชน์ข้อ "วิจิกิจฉา" ไม่ได้)
ใจยังไม่มั่นคงในศีลจริง ยังถือศีลแบบลังเล เพียงแต่ยังไม่สบโอกาส
(จึงยังละสังโยชน์ข้อ "สีลัพพตปรามาส" ไม่ได้)
เพราะฉนั้นศีลที่ผู้ชายคนนี้ถืออยู่ จึงยังไม่เป็นศีล5บริสุทธิ์ จึงเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การถือศีล5บริสุทธิ์ของพระอริยะเจ้า นอกจากศีลจะต้องไม่ขาดแล้ว ใจยังต้องถึง ใจยังต้องสะอาด
-จะเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบไม่ถอยหลัง
(จึงยอมรับในศีล ถือศีลโดยเต็มใจ)
-จิตจึงไม่คิดที่จะเบียดเบียนทั้งผู้อื่นและตนเอง
ถ้าผิดศีล5จะไม่เอาเลย ไม่ว่าทางตรงหรือว่าทางอ้อม ถือว่าเป็นโทษหมดเลย จะไม่ทำเด็ดขาด
เพราะฉนั้นจึง ไม่ทำผิดศีลด้วยตนเอง, ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศีล, และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศีล
(ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเต็มใจ)
-จึงมีความคิดเด็ดขาดในเรื่องการถือศีล จึงไม่มีความลังเลในการถือศีล
(ไม่ลังเลในการถือศีลโดยเต็มใจ)
เป็นการถือศีล5แบบละเอียด หรือ "ศีลบริสุทธิ์" จิตจึงสะอาดกว่าศีล5ของคนธรรมดาๆ
จึงสามารถยกระดับจิตเป็นพระอริยะเจ้าได้
ถ้าในใจของคุณถือศีล5แบบหยาบๆ แค่พอให้ไม่มีโทษกับตัวเอง คุณจะหวังความเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้เลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพราะฉนั้น อย่าคิดว่าแค่ไม่ทำศีล5ขาด คุณก็จะได้เป็นพระอริยะเจ้า
ในใจของคุณจะต้องเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบเต็มที่ และไม่สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
จึงยอมรับการมีศีลอยู่ในจิต แบบเต็มจิต-เต็มใจ
จึงถือศีลบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด ไม่มีความลังเลในการถือศีลเหลืออยู่ในจิตเลย จิตจึงสะอาด
นั่นถึงจะเรียกได้ว่าใจของคุณเป็น "พระ" แล้ว (ละสังโยชน์3ข้อแรกได้จริง)
อย่าคิดว่าแค่ไม่ทำศีล5ขาด คุณก็จะได้เป็นพระอริยะเจ้า
คุณต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง "ขอแค่มีศีล5" กับ "มีศีล5บริสุทธิ์"
ทั้ง2อย่างนี้ไม่เหมือนกัน (โปรดพิจารณาตรงนี้ให้ดี)
คำว่า "ขอแค่มีศีล5" หมายถึง ขอแค่ศีล5ข้อของคุณไม่ขาดเป็นพอ
แต่คำว่า "มีศีล5บริสุทธิ์" นี่คือขั้นสูงกว่าของการถือศีล5แบบธรรมดาๆ
(คือ การยอมรับในศีล จึงถือศีลโดยเต็มใจ,ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเต็มใจ
และไม่ลังเลในการถือศีลโดยเต็มใจ)
ถ้าคิดว่า "แค่ไม่ทำศีล5ขาด ก็จะได้เป็นพระโสดาบันแน่นอน" อันนี้ไม่ถูกต้อง
เพราะคนธรรมดาๆทั่วไป แม้ศีล5จะไม่ขาด แต่ใจยังไม่ได้เป็น "พระ"
ศีล5ของคนธรรมดาๆ เป็นแค่การเลี่ยงทำผิด เพราะกลัวบาป (จึงเป็นศีลหยาบ ไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์)
ไม่ใช่การถือศีลบริสุทธิ์แบบพระอริยะเจ้า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยกตัวอย่างเช่น....
มีผู้ชายคนนึงถือศีล5มาตลอด คิดว่าตัวเองมีศีลบริสุทธิ์ แต่!
อยู่มาวันนึง.... มีผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีเซ็กซี่มากๆ ที่มีครอบครัวแล้ว มาให้ท่า
เธอชวนผู้ชายคนนี้ไปที่ห้องนอนของเธอ ตอนที่สามีเธอไม่อยู่
ผู้ชายก็ไม่ปฏิเสธ เพราะทนความยั่วยวนไม่ไหว
พอเดินเข้าไปในบ้านนั้น แต่ยังไม่ทันมีอะไรกัน สามีเธอก็วกกลับมาเสียก่อน
ผู้ชายคนนี้จึงต้องรีบหนีออกมาจากบ้านนั้น
กรณีนี้ ศีลข้อ3 ไม่ขาด แต่ศีลพร้อย เพราะผู้ชายคนนี้มีเจตนา และพยายามแล้ว
เพียงแต่ยังไม่ครบองค์ประกอบของการศีลขาด
ในเมื่อผู้ชายคนนี้ศีลทั้ง5ข้อเค้ายังอยู่ครบ ยังไม่ได้ขาด
คุณคิดว่าการถือศีลผลุบๆโผล่ๆแบบนี้ ไปจนหมดอายุขัยของเขา
จะทำให้ผู้ชายคนนี้มีโอกาสได้เป็นพระอริยะเจ้า เช่น พระโสดาบัน หรือไม่?
คำตอบคือ "ไม่ได้"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ชายคนนี้เป็นได้แค่คนธรรมดาๆ ที่บังเอิญยังไม่มีโอกาสได้ทำผิดศีลเท่านั้น
เพราะเจตนาอยากกระทำผิดล่วงศีลผู้อื่นยังมีซ่อนอยู่ในใจอยู่ตลอด (ใจยังไม่ได้เป็น "พระ" )
ใจยังไม่มั่นคงในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบถึงที่สุดจริง ถ้าถึงที่สุดแล้วจะไม่ทำ
(จึงละสังโยชน์ข้อ "วิจิกิจฉา" ไม่ได้)
ใจยังไม่มั่นคงในศีลจริง ยังถือศีลแบบลังเล เพียงแต่ยังไม่สบโอกาส
(จึงยังละสังโยชน์ข้อ "สีลัพพตปรามาส" ไม่ได้)
เพราะฉนั้นศีลที่ผู้ชายคนนี้ถืออยู่ จึงยังไม่เป็นศีล5บริสุทธิ์ จึงเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การถือศีล5บริสุทธิ์ของพระอริยะเจ้า นอกจากศีลจะต้องไม่ขาดแล้ว ใจยังต้องถึง ใจยังต้องสะอาด
-จะเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบไม่ถอยหลัง
(จึงยอมรับในศีล ถือศีลโดยเต็มใจ)
-จิตจึงไม่คิดที่จะเบียดเบียนทั้งผู้อื่นและตนเอง
ถ้าผิดศีล5จะไม่เอาเลย ไม่ว่าทางตรงหรือว่าทางอ้อม ถือว่าเป็นโทษหมดเลย จะไม่ทำเด็ดขาด
เพราะฉนั้นจึง ไม่ทำผิดศีลด้วยตนเอง, ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศีล, และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศีล
(ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเต็มใจ)
-จึงมีความคิดเด็ดขาดในเรื่องการถือศีล จึงไม่มีความลังเลในการถือศีล
(ไม่ลังเลในการถือศีลโดยเต็มใจ)
เป็นการถือศีล5แบบละเอียด หรือ "ศีลบริสุทธิ์" จิตจึงสะอาดกว่าศีล5ของคนธรรมดาๆ
จึงสามารถยกระดับจิตเป็นพระอริยะเจ้าได้
ถ้าในใจของคุณถือศีล5แบบหยาบๆ แค่พอให้ไม่มีโทษกับตัวเอง คุณจะหวังความเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้เลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพราะฉนั้น อย่าคิดว่าแค่ไม่ทำศีล5ขาด คุณก็จะได้เป็นพระอริยะเจ้า
ในใจของคุณจะต้องเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบเต็มที่ และไม่สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
จึงยอมรับการมีศีลอยู่ในจิต แบบเต็มจิต-เต็มใจ
จึงถือศีลบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด ไม่มีความลังเลในการถือศีลเหลืออยู่ในจิตเลย จิตจึงสะอาด
นั่นถึงจะเรียกได้ว่าใจของคุณเป็น "พระ" แล้ว (ละสังโยชน์3ข้อแรกได้จริง)