(Fantasy) :: Melancholy Wings อนธการนิรันดร :: บทที่ 2 - เห็นครั้งแรก

กระทู้สนทนา
ฝากติชมด้วยนะครับ

บทนำ - เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง : http://ppantip.com/topic/30287360
บทที่ 1 - เด็กอุปถัมภ์ : http://ppantip.com/topic/31180468

เห็นครั้งแรก


     เช้านี้น่าจะเป็นเช้าที่อากาศดีที่สุด หากเซเทอเรียสไม่ถูกรบกวนด้วยอากาศปวดขมับทั้งสองข้าง เขาพลิกตะแคงก่อนจะแหงนมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงอย่างสงบนิ่ง เพื่อจะพบว่าเขาตื่นก่อนเวลาด้วยซ้ำ แน่ล่ะ เมื่อคืนแทบจะกลายเป็นคืนที่น่าพะอืดพะอมที่สุดเพราะเขาต้องนอนเบิกตาโพลงในความมืด จ้องมองเพดานสีเทาระหว่างที่เสียงคร่ำครวญของวิญญาณต่างถิ่นดังแทรกเข้ามา มันทำให้เขาหงุดหงิด เซเทอเรียสมักฉุนขาดโดยง่ายเสมอเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังจะไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง อย่างเช่นก่อนเข้านอน ระหว่างนั่งมองแม็กซ์ที่ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ใช้พยายามม้วนเสื้อผ้าของตนลงในกระเป๋า ปลุกปล้ำจนปิดล็อกได้ในที่สุด คุยกันอีกเล็กน้อยถึงเรื่องที่ไม่สลักสำคัญสองสามเรื่องโดยที่แม็กซ์ไม่ได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเดินทางไปยังคฤหาสน์เวสตันในวันรุ่งขึ้นอีกต่อไป เซเทอเรียสก็ใจชื้นเพราะเห็นว่าอย่างน้อยถึงเพื่อนของเขาจะไม่เห็นด้วย แต่การตัดสินใจของแต่ละคนนั้นยังเป็นเรื่องสำคัญที่ยังต้องเว้นที่ว่างให้กัน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะหลับให้สนิทที่สุด แต่ละความคิดที่ผุดขึ้นในหัวนั้นมีเพียงความกังวลเล็กน้อยอย่างเช่น เขาควรจะต้องทำตัวอย่างไรเมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเหมาะสมที่สุด รู้เพียงว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่านั้น เริ่มต้นตั้งแต่การนอนหลับให้สนิท จนเมื่อพวกเขาปิดไฟและแม็กซ์เวลปาหมอนอัดกลางลำตัวเขาอย่างแรงเพื่อเป็นการกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้ว พวกเขาก็หลับไป

    อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม็กซ์ เขาเริ่มกรนหลังจากผ่านไปแค่ห้านาทีเท่านั้น เซเทอเรียสหลับตา แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะเสียงกรนจากเตียงด้านข้าง เขาอยู่กับเสียงนั้นมาเกือบจะครึ่งชีวิตและมันก็ทำให้เขารำคาญได้เท่ากับแมลงวันตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นอีกเสียงหนึ่งต่างหาก เสียงที่เจาะจงรบกวนเขาแต่เพียงผู้เดียว

    ฟลินน์เตือนเขาแล้วเรื่องวิญญาณที่กรีดร้องอยู่หน้าโรงเรียน ตอนนั้นเซเทอเรียสไม่ได้ใส่ใจมากนัก วิญญาณที่รู้ว่ามีมนุษย์ที่สามารถรับรู้การมีอยู่ของพวกเขาจะคอยก่อกวนไปจนถึงกระทั่งขอความช่วยเหลือ เพื่อพยายามเหนี่ยวรั้งวิญญาณของตนกับโลกของคนเป็นให้ได้นานที่สุดอย่างน่าเวทนา เซเทอเรียสพบเจอมามากเสียจนบางครั้งเขาก็แสร้งทำตัวให้เป็นปกติที่สุด มองเมินวิญญาณตนหนึ่งบนบาทวิถีที่กำลังจ้องมองไปยังจุดที่ตนถูกรถชนตายด้วยดวงตาว่างเปล่า หรือแม้กระทั่งเสี่ยงเดินทะลุผ่านวิญญาณอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ดังนั้นการที่มีวิญญาณตนหนึ่งแวะเวียนมาหาอยู่เสมอจึงถือเป็นเรื่องปกติที่สุดที่เขาจะพบเจอได้ หรืออาจจะบ่อยกว่าการเห็นแม็กซ์ยอมทำการบ้านด้วยตัวเองด้วยซ้ำ วิญญาณที่ถูกเขาเมินเฉยใส่จะดูเศร้าสร้อยขณะยอมจากไปในที่สุด แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเสียงกรีดร้องที่ดังก้องจะสะท้อนอยู่อย่างนั้นไปตลอดกาลเลยทีเดียว

    เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาเหมือนสายลมที่พัดผ่านกิ่งไม้ตอนฤดูหนาว โศกเศร้าและทำให้ขนลุก เซเทอเรียสพลิกตัวนอนหงาย ดึงผ้าห่มขึ้นจดปลายคาง มันทำให้เขานึกถึงเสียงร้องไห้ฟูมฟายที่เคยได้ยินมามากมายเมื่อยังเป็นเด็ก ชวนให้คนฟังอึดอัดและยากจะจับคำพูดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความบ้าคลั่ง แต่เซเทอเรียสก็พอจะฟังออก เขากลืนน้ำลายขณะเงี่ยหูฟัง

    “เซเทอเรียส วิงส์" นั่นคือสิ่งที่เขาได้ยิน ชื่อของเขา จากนั้นเขาก็เริ่มสับสนกับถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมา ความมืดเล่นตลกกับดวงตาทำให้เงาเล็กเงาน้อยบนผนังกลายเป็นตัวอักษรวิ่งวนไปทั่วเพดาน "ช่วยฉัน...ฉันรู้ว่านายได้ยิน...ออกมาพบฉัน...วิงส์...นาย...กับพวกเราทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย"

    นี่เป็นเรื่องประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน "ช่วยฉัน" คือคำพูดสามัญติดปากโปร่งแสงของพวกวิญญาณ "แต่พวกเราทุกคน" นี่หมายถึงอะไรกันแน่ ทำไมเธอถึงรวมเอาเขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิญญาณด้วย เซเทอเรียสกะพริบตาไล่อาการพร่าลาย ทำให้เงาต่างๆ กลับมาอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของพวกมัน วิญญาณต้องการหลอกล่อเขา แน่ล่ะ แผนการร้ายขึ้นทุกวัน พอเขาโผล่ออกไปที่นั่น วิญญาณตัวแสบก็จะขอให้เขาช่วยบางอย่างเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นและไปจากที่นี่เสียที

    กระทั่งเสียงนั้นเงียบไปในที่สุด ซึ่งอารมณ์ของเซเทอเรียสก็ฉุนขาดเสียจนเขาคิดว่าคงต้องออกไปวิ่งตอนกลางดึกเพื่อให้เหนื่อยพอจะกลับมานอนต่อได้ แต่เซเทอเรียสก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขายังนอนเบิกตาโพลงโดยไม่พยายามข่มตาให้หลับด้วยซ้ำ เขารู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ยิ่งหลับตาแล้วพบว่าตนเองไม่สามารถหลับลงได้ก็จะยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เด็กหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นหนุนศีรษะ พาความคิดกลับมาที่ความสงสัยว่าเหตุใดวิญญาณมากมายจึงยังวนเวียนอยู่บนโลกคนเป็น แน่นอนว่าเขาคิดไปเองเรื่องทำให้ตัวเองหลุดพ้น แต่นั่นก็เป็นอย่างเดียวที่เขานึกออก พวกเขาคงต้องอยากจะทำบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต เป็นสิ่งที่ผูกชีวิตหลังความตายของพวกเขาไว้กับห้วงเวลานี้อย่างไม่สมเหตุผล กระนั้นเมื่อเขานอนคิดดูอีกที การที่เขาเห็นวิญญาณได้นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับวิญญาณมากกว่าหมอผีจอมปลอมคนหนึ่งเลย เขาไม่สนใจ ไม่หาเหตุผล ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันคือความผิดปกติของยีนหนึ่งในดวงตา หู จมูก และผิวหนัง ก็เท่านั้น ทำให้เขาเป็นคนเดียวในโลกที่รู้ว่าเรื่องหลายเรื่องของศาสนานั้นเป็นเรื่องจริง

    อย่างน้อยก็เท่าที่เขารู้

    เซเทอเรียสประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองง่วงนอนจนผล็อยหลับไปในที่สุดเมื่อถึงตีสาม เวลาน้อยเกินกว่าจะทำให้เขามีเช้าที่สดใสเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้

    เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ลืมหยิบนาฬิกาปลุกของตนไปวางไว้ข้างหมอนของแม็กซ์เวล จนเมื่อมันดังขึ้นเมื่อสามสิบนาทีต่อมา แม็กซ์เวลก็สะดุ้งสุดตัวเหมือนได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย เซเทอเรียสหัวเราะตัวงอจนล้มลงเพราะสะดุดเข้ากับกระเป๋าเดินทางที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบบนพื้น เสียงเยาะเย้ยของแม็กซ์เวลที่ยังงัวเงียอยู่จึงฟังดูเหมือนเสียงคำรามมากกว่า กระทั่งเขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงในที่สุด เซเทอเรียสจัดแจงตัวเองมานั่งบนเตียงของตนบ้าง แม็กซ์เวลจ้องหน้าเขา นานผิดปกติ จนเซเทอเรียสต้องกระแอมขึ้นอย่างอึดอัด

    “อะไร" แม็กซ์ถาม

    “นายนั่นแหละ จ้องหน้าฉันอยู่ได้"

    “ฉันแค่คิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้มองหน้านายตอนมีชีวิตน่ะสิ" เขาพูดเสียงจริงจังเกินเหตุ "เพราะค่ำนี้เมื่อนายไปถึง พวกเขาก็จะจับนายมัดมือมัดเท้าแล้วก็จับโยนทะเลเหมือนที่ทำกับหลานสาวของตัวเอง"

    เซเทอเรียสขำไม่ออก แต่ก็ยิ้มออกมาจนได้ เขาหันไปที่หน้าต่าง โรงเรียนดูเงียบเหงากว่าวันอื่นทั้งที่ยังมีนักเรียนอยู่เต็มโรงเรียน ส่วนที่เป็นหอพักตั้งอยู่อีกฟากของรั้วซึ่งแบ่งกั้นตึกอาคารที่พวกเขาใช้เรียน มันอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเห็นผ่านหน้าต่าง โรงเรียนดูเก่าแก่อย่างที่มันเป็นมา อาคารทั้งหมดก่อด้วยอิฐสีเทาและน้ำตาล ดูเหมือนปราสาทในพระราชวัง หลังคามุงกระเบื้องเป็นยอดแหลมแบบโกธิค พุ่งสูงขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนปลายหอกของทหารที่เคยพักอยู่ใต้ชายคาอาคารเหล่านี้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว (แคล์มตันจึงเป็นสถานที่ที่เขาเห็นผีมากที่สุด) รถของบรรดาผู้ปกครองเริ่มเข้ามาจอดตรงลานกว้างด้านหน้าโรงเรียน พวกเขาลงรถมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าบุตรชายของตนอีกครั้ง

    “เขาจะมารับนายใช่มั้ย" แม็กซ์เวลถามจากด้านหลัง เซเทอเรียสหยิบจดหมายบนหัวเตียงมากางออกอีกครั้งก่อนจะตอบว่า "เขาจะมา...เพแกน...หัวหน้าพ่อบ้านน่ะ เขาจะเป็นคนมารับฉัน"

    แม็กซ์เวลถอนหายใจ เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจเซเทอเรียสในตอนนี้ได้แล้ว อย่างน้อย...เขาก็บังคับตัวเองให้คิดว่าที่พวกเขาคิดทั้งหมดนั้นอาจจะเกิดจากอาการวิตกจนเกินเหตุก็เป็นได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่การเดินทางของเซเทอเรียสเที่ยวนี้จะน่ากลัวหรือน่าหดหู่ ดูหน้าของเขาตอนนี้สิ เด็กหนุ่มคิด พลางมองเงาสะท้อนซีดจางบนกระจกหน้าต่างของคนตรงหน้า เขาดูสับสนมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยมีความสับสนครั้งใดเลยที่จะแฝงด้วยรอยยิ้มที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้ ริมฝีปากบางของเซเทอเรียสคลี่ออกเมื่อมองเข้าไปในลานกว้างอย่างคาดหวังว่าเขาจะได้เห็นรถคาดิลแลคคันเดิมที่เคยนั่งเมื่อแปดปีก่อนปะปนอยู่ในจำนวนรถหรูหราเหล่านั้น ม่านตาสีฟ้าเข้มเล็กลงเมื่อแสงแดดสาดกระทบ ใบหน้าคมเข้มด้วยแนวกรามที่เด่นชัด เขาหันมาแล้วบอกให้แม็กซ์เวลรีบแต่งตัว พวกเขาใช้เวลาไม่นาน จากนั้นจึงหยิบเสื้อนอกตัวยาวสีดำคลุมทับเครื่องแบบนักเรียน แม็กซ์เวลยุ่งอยู่กับการจัดเนกไทให้ตรงเป็นพิเศษในเมื่อเขามักถูกแม่ของตัวเองดุเรื่องการแต่งตัวอย่างถูกต้องเป็นประจำ เมื่อพวกเขาลากกระเป๋าเดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ตรงข้ามห้องรับรองที่บรรดาผู้ปกครองต่างพบปะทักทายอย่างเป็นกันเอง (แต่ตั้งใจกรีดกรายให้เห็นเครื่องเพชรที่ประดับเต็มตัวเหมือนไฟคริสมาต์เป็นพิเศษ) แม่ของแม็กซ์เวลก็ร้องเรียกจากกลุ่มคนแน่นหนา แต่ดูเหมือนแม็กซ์เวลจะไม่อยากพบกับเธอในตอนนี้ ตอนที่พวกเขาพบกับพ่อแม่เป็นครั้งแรกนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่ควรให้ใครเห็นมากที่สุด พ่อแม่ของพวกเขาจะตรงเข้ามาพร้อมกับน้ำที่รื้นในดวงตาแดงก่ำแล้วกอดบุตรชายของตนไว้ ไม่มีเด็กผู้ชายคนไหนอยากให้เพื่อนของพวกเขาเห็นช่วงเวลานั้นแน่ เขาลากแขนเซเทอเรียสเบียดเข้าไปในกลุ่มนักเรียนชายในห้องโถง วางกระเป๋าไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องจากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปยังห้องประชุม ทั้งสองพบกับคาร์ริสกับคู่แฝดฮาร์มอนที่นั่น ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง แม็กซ์เวลก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

    “หน้าแดงเชียวนะ" โจเอลตั้งข้อสังเกต "นายคงไม่ได้ถูกคุณแม่หอมแก้มมาใช่มั้ยตาแม็กซ์น้อย"

    “หุบปากเถอะโจ" แม็กซ์เวลกระซิบลอดไรฟัน "แค่ฉิวเฉียดน่ะ"

    “นายทำสำเร็จไหม" คาร์ริสถามขึ้น

    “ทำอะไรสำเร็จ" แม็กซ์เวลถามกลับอย่างไม่เข้าใจ จนเมื่อคาร์ริสผู้ซึ่งความอดทนต่ำเกินพิกัดหันมามองเซเทอเรียสแทน เขาก็ยืดตัวตรงอย่างไม่รับรู้ "นายจะ...”

    “ฉันจะไปคฤหาสน์เวสตัน" เขาตอบเสียงเรียบ เพื่อนของเขาไม่ได้แปลกใจนัก ทั้งสี่คนมองตรงไปข้างหน้า เมื่อนักเรียนส่วนใหญ่เข้ามาจนเต็มห้องประชุมแล้ว ครูใหญ่เอรอน เอเวอรี่ดูดีเป็นพิเศษในชุดสูทอย่างเป็นทางการเดินขึ้นเวทีที่ประดับด้วนม่านสีแดงเลือดหมู เมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้น นักเรียนที่นั่งอยู่ภายในห้องประชุมรูปครึ่งวงกลมตามเก้าอี้ที่ลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดก็ยืดตัวตรงขึ้นอย่างทระนง ไม่มีใครพูดอะไรกันประมาณหนึ่งนาทีที่ครูใหญ่กล่าวทักทายอย่างเคร่งขรึม จากนั้นจึงพูดถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเด็กเล็กนั่งนิ่งเป็นพิเศษอยู่แถวหน้า "ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต" เอลตันกระซิบ การทำตามคำสั่งจะสำคัญน้อยลงเมื่อพวกเขาโตขึ้น แต่แม้พวกเขาจะมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ไม่สามารถปฏิบัติตัวให้อยู่นอกกรอบได้นานนัก คาร์ริสกระซิบกับเซเทอเรียสอย่างอดไม่ได้ว่า "ฉันรู้ว่าไม่มีใครห้ามนายได้"

    ครูใหญ่เอรอนปราดมองมาแวบหนึ่ง เซเทอเรียสไม่ได้ขยับหัวเลยสักนิด คาร์ริสยังคงพูดต่อไป "ฉันคิดดูแล้วว่าพวกเราอาจ...วิตกเกินไป" เขาเว้นวรรคเมื่อรู้สึกว่าเสียงของตนดังเกินกว่าที่ตั้งใจเล็กน้อย "เขาอาจไม่ได้ฆ่าหลานตัวเอง...แต่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านของเขา"

    เซเทอเรียสไม่ได้ตอบ ความเงียบของเขาหมายถึง "นายตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่" พร้อมกับคำหยาบอีกสองสามประโยคอย่างที่รู้กัน คาร์ริสบอกว่า "นายรู้ว่าติดต่อพวกเราได้เสมอหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น" เขาเว้นช่วงเพื่อหายใจ ในความเงียบและความตั้งใจฟังของนักเรียนรอบข้าง ทำให้เสียงของเขาดูคล้ายเสียงแมลงที่น่ารำคาญตัวหนึ่ง "ฉันไม่ยอมเสียฮาล์ฟแบ็ค (ตำแหน่งในอเมริกันฟุตบอล มีหน้าที่สกัดผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม รับลูกบอล หรือแม้แต่การขว้างลูกบอลให้ผู้เล่นคนอื่น) มือดีอย่างนายไปในปีสุดท้ายแน่นอน"

---->>
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่