(Fantasy) :: Melancholy Wings อนธการนิรันดร :: บทที่ 1 - เด็กอุปถัมภ์

กระทู้สนทนา
ฝากติชมด้วยนะครับ

บทนำ _เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง : http://ppantip.com/topic/30287360

เด็กอุปถัมภ์



คืนสุดท้ายของวันก่อนปิดเทอม บรรดานักเรียนชายของโรงเรียนประจำแคล์มตันจะจับกลุ่มอยู่ตามที่ต่างๆ อย่างเช่นสนามบาสเก็ตบอล ข้างสระว่ายน้ำ ตามระเบียงทางเดิน หรือแม้แต่ในห้องพักที่กำลังเก็บข้าวของที่จำเป็นใส่ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เพียงเพื่อวิ่งไล่ กอดคอ และเดินคุยกันถึงเรื่องที่พวกเขาวางแผนจะทำในช่วงวันหยุดร่วมกับครอบครัว นักเรียนที่ยังเด็กมากจะตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้ออกจากรั้วเหล็กดัดที่เป็นเหมือนสถานที่คุมขังนี้เสียที แต่พวกเด็กที่โตกว่าจะค่อนข้างเบื่อหน่ายและคิดว่าการใช้เวลากับครอบครัวนั้นทำให้พวกเขาดูหมดความมาดแมนในตัวไป ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาที่เหลือรวมกลุ่มกันเพื่อหนีเที่ยว (ซึ่งจะไม่มีใครถูกจับได้ในคืนนี้นอกเสียจากจะก่อเรื่องวุ่นวายจนถูกตำรวจนำส่งกลับมา) พูดคุย เล่นฟุตบอลเกมสุดท้าย หรืออะไรก็ตามที่ทำให้วันรุ่งขึ้น เมื่อผู้ปกครองของพวกเขามารับ กลายเป็นวันสิ้นโลกของแต่ละคนนั่นเอง

    เซเทอเรียสเองก็เช่นกัน เขานั่งอยู่บนเตียงภายในห้องพักที่กองสุมด้วยกระเป๋าเดินทางที่จัดเตรียมไว้แล้ว ฟังเพื่อนของเขาพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย เมื่อแม็กซ์เวลเล่าเป็นครั้งที่สามสิบ (พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน จึงได้ยินเรื่องนี้บ่อยกว่าคนอื่น) ว่า "พ่อของฉันตกลงจะซื้อปราสาทเก่าบนเกาะเล็กๆ ทางตอนเหนือ เพื่อเดินทางไปล่าหมีน่ะ!” เซเทอเรียสไม่ได้สนใจฟัง สายตาเขาทอดมองไปยังด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว สีม่วงแดงลามเลียอยู่ตรงยอดตึกที่อยู่ห่างออกไป ในหัวครุ่นคิดถึงข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านมา มีตรงไหนที่เขาตอบผิดบ้างนะ แต่ก็นั่นแหละ เขาแค่ต้องการพาสมองออกจากแผนการของคนอื่นมากกว่า เด็กกำพร้าอย่างเขานั้นไม่มีที่จะไป นอกจากจะไปช่วยงานที่มหาวิหารเซนต์คาลอสเหมือนทุกปีที่ผ่านมา

    เมื่อเสียงพูดคุยที่ลอยเข้าหูมานั้นกลายเป็นเสียงงึมงำ เซเทอเรียสก็ลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับบอกคนที่เหลือว่า "ฉันจะออกไปข้างนอกระเบียง" เพื่อนของเขาจึงพากันเงียบเสียง ก่อนจะมองตามคล้ายกับต้องการจะพูดบางอย่างแต่ไม่มีใครกล้า กระทั่งใครคนหนึ่งอาสาถามขึ้นเสียงอันดังกว่าที่รู้สึก "นายจะไปหรือเปล่า เซ็ธ"

    เซเทอเรียสที่กำลังก้าวไปทางประตูหลังของห้องพักชะงักเท้า บนพื้นเต็มไปด้วยข้าวของที่วางกองรวมกันอย่างไม่เป็นระเบียบ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าซ้อนกันหลายใบ ขอบถุงเท้าฟุตบอลของคู่แฝดฮาร์มอน โจเอลกับเอลตัน ผู้เป็นเจ้าของห้อง โผล่ออกมาจากใต้เตียง คาร์ริส เบเดนซึ่งเป็นคนถามยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เซเทอเรียสหันไปทางแม็กซ์เวล เขายักไหล่อย่างอับจน

    “นายบอกพวกเขาเรื่องจดหมายหรือ" เด็กหนุ่มถาม น้ำเสียงไม่ได้แสดงอาการต่อว่าหรือโกรธเคือง แต่มันก็เรียบเฉยพอจะบีบให้แม็กซ์เวลพยักหน้ารับ

    “ฉันต้องบอกพวกเขา"

    “ไม่ใช่ความผิดของแม็กซ์หรอกน่า ทำไมต้องทำให้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ด้วย ก็แค่นายได้จดหมายเชิญ" คาร์ริสพูดแทรกเสียงดังเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด เขาเป็นคนตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มและยังเป็นกัปตันทีมฟุตบอลอีกด้วย พวกเขาอยู่ในทีมด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมสอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะไม่รู้จักคำว่าความลับของกันและกัน คาร์ริสใช้ดวงตาสีเขียวมรกตทิ่มตรงเข้ามายังนัยน์ตาเขาอย่างเด็ดเดี่ยว "คำถามคือนายจะตอบตกลงคำเชิญนั้นหรือเปล่า"

    “ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น" เซเทอเรียสตอบ

    “เรากำลังหาทางออกกันอยู่" โจเอลพูดขึ้นในทันที ที่เหลือมองหน้ากันอย่างสับสน จากนั้นโจเอลจึงรู้ตัวว่าเขาได้พูดคำที่ไม่ควรพูดออกไป

    “หาทางออกเรื่องอะไร" เซเทอเรียสถาม เสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย "ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับจดหมายเชิญนั่น ทางที่...ง่ายที่สุดคือตอบตกลง หรือพวกนายลืมไปแล้วว่าเขาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉัน ฉันควรจะติดตามเขา อยู่ที่คฤหาสน์นั่น อยู่ทุกที่ที่เขาอยู่ มากกว่ามาอยู่ที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ พวกนายก็คิดไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นคนที่เจ๋งดี"

    “เขาเคยเป็นคนที่เจ๋งดีต่างหาก" คาร์ริสพูด "แต่ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว และพวกเราคิดว่านายไม่ควรตอบตกลงจดหมายเชิญนั่น บางทีถ้าเขาเกิด...”

    “อยากจะฆ่าฉันงั้นหรือ"

    “เป็นไปได้" เอลตันว่า เขาเหมือนกับโจเอลมากเพียงแต่ดูอวบกว่าเล็กน้อยเท่านั้น "เขาอาจฆ่าหลานตัวเองแล้วปกปิดความผิดด้วยการทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่างการบอกกับตำรวจว่ายัยนั่นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาอาจทำแบบนั้นกับนายก็ได้"

    “ฟังนะ พวกนายเป็นคนที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา แต่ไม่ใช่พวกบ้าบอเชื่อข่าวลือที่มีตั้งร้อยแปดแบบให้ได้ยินได้ฟังทุกวัน" เซเทอเรียสพูด จ้องหน้าพวกเขาทีละคนอย่างเอาเรื่อง "ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อว่าพวกนายเป็นอย่างหลังแล้ว เขาเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ของฉัน และเขายังเลี้ยงดูฉันอยู่จนทุกวันนี้"

    “ข้อดีข้อเดียวที่ยังเหลืออยู่" คาร์ริสปรบมือหนึ่งครั้งพร้อมกับพ่นลมหายใจ "แต่เอาเถอะ ถึงแม้ว่าเขาจะ...ไม่ได้เพี้ยน...ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่นายเห็นภาพล่าสุดที่พวกนักข่าวแอบถ่ายมาได้รึเปล่า คฤหาสน์นั่นน่ะน่าขนลุกเป็นบ้า ต่อให้พ่อของแม็กซ์ที่เป็นพวกคลั่งสมบัติเก่ามากแค่ไหนก็ไม่มีทางซื้อมันต่อแน่นอนถ้าถูกประกาศขาย นายยังอยากจะไปอยู่ที่นั่นอีกหรือ"

    “ฉันรู้ว่าเขาให้กุญแจห้องพักชั้นสามสิบสองบนตึกเชอร์รี่ พาร์คกับนายเมื่อหลายปีก่อน แต่นายไม่เคยขึ้นไปบนนั้นเลย" แม็กซ์เวลพูด "นี่เป็นโอกาสดีที่นายจะใช้ที่นั่นแล้ว เซ็ธ ถ้านายไม่อยากตอบตกลงจดหมายเชิญนั่น หรือไม่อยากไปนอนค้างที่เซนต์คาลอสน่ะ"

    “เอาล่ะ...นายมีทางเลือกที่ดีพร้อมอย่างมากสำหรับปัญหานี้ ปัญหาสุดท้ายที่เราจะแก้ไขด้วยกันก่อนวันสิ้นโลกจะมาถึง" คาร์ริสกล่าวปิดประเด็นเหมือนทุกครั้ง "ตกลงนายจะตอบรับคำเชิญจดหมายนั่นหรือเปล่า"

    เซเทอเรียสไม่ปล่อยให้พวกเขาคอยนาน เขาพูดว่า "ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น"

    เขาผลักประตูด้านหลังห้องออก พื้นระเบียงยังอุ่นเพราะซับไอร้อนของแสงแดดไว้ตลอดทั้งวัน คาร์ริสถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดอะไรบางอย่างกับคนที่เหลือให้เลิกคิดถึงเรื่องนี้ เขาถนัดเรื่องการปลุกกำลังใจเสมอ จากนั้นเสียงที่เล็ดลอดผ่านประตูออกมาก็มีแต่เสียงหัวเราะเมื่อพวกเขาหันไปพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาตลอดทั้งปี โจเอลขาหักระหว่างเกมฟุตบอลเมื่อกลางเทอมเพราะมีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งตัดสนามมาอย่างคาดไม่ถึง เซเทอเรียสลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งออกมานั่ง ลมพัดปอยผมบลอนด์ของเขาขึ้น เด็กหนุ่มหลับตา เสียงเสียดสีกันของใบไม้จึงดังชัดในโสตประสาท มันชวนให้รู้สึกเหงาราวกับรู้ว่าพรุ่งนี้โรงเรียนจะร้างไร้บรรดานักเรียนชายที่มักก่อเรื่องวุ่นวายเสมอ สิ่งที่เซเทอเรียสรอคอยมากที่สุดของชีวิตการเป็นเด็กอุปถัมภ์ของตระกูลเวสตันคือการที่คุณเวสตันมารับเขาที่โรงเรียนเมื่อถึงวันปิดเทอม เพื่อร่วมใช้เวลาส่วนใหญ่แบ่งปันชีวิตของกันและกันอย่างที่ครอบครัวอื่นทำกัน เขารู้ว่ามันเป็นการตั้งความหวังที่มากเกินไป เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง พิงพนักและแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เปิดกว้าง หมู่ดาวเริ่มเห็นชัดและส่องประกายแสงลงมาทางเขาอย่างปลอบประโลม แต่นั่นก็เป็นความต้องการที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเมื่อนานมาแล้ว เมื่อตอนที่เขายังเด็กและคิดว่าครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาโหยหาส่วนที่ขาดหายไปนั้นมากขนาดไหน จนกระทั่งเมื่อเขาโตขึ้น จึงยอมรับได้ว่าคุณเวสตันไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขามากนักเลย การให้ความช่วยเหลือด้วยการรับรองให้เขาเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดของวิลเมด เมืองหลวงของฮันเตอร์คอมป์ ก็มากเกินกว่าที่เด็กกำพร้าคนใดจะสมควรได้รับ โรงเรียนเก่าแก่และทรงเกียรติ เขาอาศัยอยู่ภายใต้กฎระเบียบและความทระนง บรรดานักเรียนชายของแคล์มตันต่างเป็นผู้ที่มาจากเชื้อสายตระกูลที่ดี ครอบครัวของแม็กซ์เวลเป็นเจ้าของเหมืองแร่ทางตะวันตก ครอบครัวเบเดนเป็นนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับฮันเตอร์คอมป์ พวกเขาเป็นคนดัง และครอบครัวฮาร์มอนเป็นขุนนางเก่า เขาเพิ่งจะเรียนรู้วิธีการนั่งกับพื้นเมื่อสามปีที่แล้วนี่เอง

    ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องยากแบบนี้ด้วยนะ หากไม่เกิดเรื่องที่เวนโอนาห์ เวสตันหายตัวไป การได้รับจดหมายเชิญจากตระกูลเวสตันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา เขาคงจะตอบรับไปโดยไม่ต้องคิดมาก ร่วมโต๊ะอาหารและเล่นเกมร่วมกับครอบครัวในช่วงเย็นบริเวณหน้าเตาผิง เวนโอนาห์อาจจะเป็นน้องสาวที่ดีก็เป็นได้ ถ้าเธอยอมรับเรื่องที่เขาเป็นเพียงแค่เด็กอุปถัมภ์อีกทั้งยังเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งด้วย หากไม่ได้เป็นไปด้วยดี เขาอาจต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อให้เธอยอมรับ เช่นเดียวกับที่เขาทำให้นักเรียนคนอื่นยอมรับ ไม่มีเด็กกำพร้าเข้ามาร่วมเรียนกับพวกเขาบ่อยนัก จึงถือเป็นเรื่องแปลก...ประหลาดมากทีเดียว ในช่วงแรกเซเทอเรียสจะถูกมองอย่างเหยียดหยาม ทานข้าวคนเดียว และถูกกลั่นแกล้งจากนักเรียนชั้นโตกว่า ความรู้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้ช่วยอะไรมากนักนอกจากทำให้เขาอ่านหนังสือได้เท่านั้น เมื่อมาอยู่ที่แคล์มตันในตอนแรก ทุกเย็นเขาจะอยู่อ่านหนังสือที่ห้องสมุดจนดึก ฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์จนตามนักเรียนคนอื่นทันและต้องฝึกทำบทเรียนที่ยากกว่านั้นหลายเท่าเพื่อกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กระทั่งคะแนนของเขาขึ้นเป็นอันดับสามของนักเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง และอันดับหนึ่งในมัธยัมสอง จากนั้นชื่อของเขาก็อยู่เป็นอันดับหนึ่งร่วมกับนักเรียนอีกไม่กี่คนที่ทำคะแนนได้สูงสุดของแต่ละเทอม ส่วนเรื่องที่เขาเป็นเด็กผอมแห้งจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นก็ทำให้เขาตกเป็นเป้าของนักเรียนที่ต้องการสร้างอิทธิพลหลายคน เย็นวันที่เซเทอเรียสได้รับคำชมจากครูดันแคน ครูประจำวิชาประวัติศาสตร์นั้นเอง โอลิเวอร์ ดีแลน นักกีฬาว่ายน้ำชั้นเดียวกับเขาก็ดักอยู่ด้านหลังอาคารเก่าโทรมที่ใช้เป็นห้องเก็บของ ลากเขาเข้าไปในนั้นและซ้อมเขาจนจุก แม็กซ์เวลกับคาร์ริสที่ติดหนี้บุญคุณเขาที่ช่วยสอนตรีโกณมิติให้ก็รีบเข้ามาช่วยเหลือ หลังจากนั้นพวกเขาก็สนิทสนมกัน คาร์ริสพาเขาวิ่งรอบโรงเรียนทุกเช้าและผลักเขาลงสระว่ายน้ำทุกเย็น เด็กชายผ่ายผอมจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจึง "พอดูได้" ตามที่แม็กซ์เวลบอกในอีกหลายเดือนต่อมา ไม่ใช่แค่วิชาการเท่านั้นที่เซเทอเรียสสนใจ แต่เขาก็เก่งฟุตบอลจนกลายเป็นผู้เล่นในทีมที่คาร์ริสขาดไม่ได้ในทุกเกมอีกด้วย ตระกูลเวสตันให้ความช่วยเหลือเขาด้วยข้าวของที่มากมายแถมยังราคาแพงอีกด้วย เดังนั้นมื่อมีเสื้อโค้ทหนังกับรองเท้าบู๊ตเข้าชุดใส่ในฤดูหนาวปีหนึ่ง ก็ไม่มีใครจำเด็กชายกำพร้าคนนั้นได้อีกต่อไป

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่