....วิหารธรรม...วิหารไฟ...

กระทู้สนทนา
ผมไม่แน่ใจว่ามีผู้สนใจใฝ่รู้ในเรื่องวิหารธรรมซะเท่าไรเพราะไม่เคยเห็นใครตั้งกระทู้ชวนสนทนากัน
เป็นเรื่องที่ควรสนใจอย่างมากทีเดียวเพราะอะไรก็เพราะว่าพระอรห์เมื่อบรรลุธรรมก็มิได้อาศัยพระนิพพานอยู่เป็นสุข
แต่กลับมาอาศัยอยู่เป็นสุขในวิหารธรรมที่ได้มาก่อนบรรลุธรรมหรือจะมาสร้างวิหารธรรมเอาใหม่ในภายหลังก็ได้
แต่เดิมทีเดียวพระนิพพานนั้นมีแต่พระนิพพานธาตุเข้าถึงเมื่อพระอรหันต์ละสังขารแล้วเท่านั้น
พุทธองค์ทรงบัญญัติพระนิพพานปัจจุบันเอาเมื่อตอนถูกพวกเดียรถีย์กล่าวหาว่าศาสนาของพระองค์ไม่มีนิพพานปัจจุบัน
โดยให้เอาการสิ้นกิเลสของพระอรหันต์เป็นพระนิพพานปัจจุบัน อาการสิ้นกิเลสในพระสูตรกล่าวว่ามีเวทนาเย็น
ซึ่งเย็นนี้มีความหมายเดียวกับคำว่านิพพาน หรือจะกล่าวว่าพระอรห์มีเวทนานิพพานแล้วก็ได้
คือพระอรหันต์ทำลายอวิชชาได้สิ้นเชิงแล้วผัสสะทางอายตนะหกจึงได้เป็นเวทนาเย็น

จะเห็นได้ว่าเวทนาเย็นนั้นต้องอาศัยผัสสะจึงไม่แปลกที่ไม่เหมาะจะเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขของท่าน
อย่าว่าแต่เวทนาเย็นจะไม่เหมาะเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขของพระอรหันต์เลยแม้แต่เวทนาร้อนจากผัสสของปุถุชน
ผู้ยังไม่สิ้นกิเลสก็ไม่เหมาะที่จะเอาเวทนาร้อนมาเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขด้วยเช่นกัน ปุถุชนที่ฉลาดจึงอยู่ในวิหารธรรม
วิหารธรรมนั้นมีตั้งแต่สัญญาป่า พรหมวิหารสี่ รูปฌานและอรูปรวมทั้งสุญตาสมาบัติฯ
  ส่วนวิหารไฟนั้นปุถุชนที่ฉลาดแกมโกงมักจะช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องอยู่เพื่อความเพลิดเพลืนด้วยการปลุกเร้าความเกลียดชัง
ของมวลหมู่สมัครพรรคพวกอย่างที่ฮิตเลอร์ผู้นำนาซีเยอรมันได้สร้างวิหารแห่งไฟด้วยความเกลียดชังชาวยิวไว้ในจิตใจของคนเยอรมัน
ไม่แปลกอะไรเลยที่ชาวเยอร์มันตอนนั้นจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันแต่นั้นล่ะถ้ายังไม่เคยพบความเย็นไฉนเลยจะรู้จักความร้อน
ลองถามตัวท่านดูว่าระหว่างใช้เมตตาเป็นวิหารธรรมกับการใช้ความชิงชังเป็นวิหารแห่งใจอย่างไหนจะทำให้ใจเราอยู่เป็นสุขมีกว่ากัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่