https://www.facebook.com/visalo
ที่พึ่งพิงของชีวิต
ในระหว่างการอบรมคราวหนึ่ง วิทยากรให้ทุกคนเดินสบาย ๆ ไปทั่วห้อง แล้วเลือกจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกใจ จากนั้นให้สมมติว่าตรงนั้นเป็น “บ้าน” ของตน ยืนเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้นสักพัก หายใจเข้าหายใจออกสบาย ๆ
ทีนี้ให้ทุกคนออกไปเดินเที่ยวรอบห้อง แต่มีข้อแม้ว่า ระหว่างที่เดิน ให้หายใจออกได้อย่างเดียว ห้ามหายใจเข้า จะหายใจเข้าได้ต่อเมื่อกลับมายัง “บ้าน” ของตนเท่านั้น
ผ่านไป ๓ นาที เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ให้ทุกคนมองหน้าเพื่อนที่อยู่ในห้อง เลือกคนที่รู้สึกประทับใจเพียงคนเดียว (โดยที่เขาไม่รู้ตัว) แล้วสมมุติว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาเป็น “บ้าน”ของตน เป็นจุดที่แต่ละคนสามารถหายใจเข้าหายใจออกได้ตามสบายเมื่อได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อใดที่ออกไปเที่ยว เดินเล่นรอบห้อง ก็ต้องงดหายใจเข้า หายใจออกได้อย่างเดียว จนกว่าจะกลับมาที่ “บ้าน”ของตน จึงจะหายใจเข้าออกได้ตามปกติ
ผ่านไป ๓ นาที ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย ทีนี้ให้ทุกคนสมมติว่าทุกที่เป็นบ้านของตน ไม่ว่าอยู่ตรงไหน หรือเดินไปไหนก็สามารถหายใจเข้า-ออกได้ตลอดตามต้องการ
เมื่อทำกิจกรรมดังกล่าวเสร็จ ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าช่วงแรกนั้นรู้สึกอึดอัดเวลาก้าวออกจากจุดที่สมมติว่าเป็น “บ้าน” จะไปไหนก็ไปได้ไม่นาน ต่อเมื่อกลับมา “บ้าน”จึงรู้สึกสบาย
สำหรับช่วงที่สองนั้นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเพราะคนที่หมายตาไว้ในใจนั้น ไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่จะเดินไปทั่วห้อง ดังนั้นจึงต้องคอยไล่ตามอยู่เสมอ เพื่อจะได้หายใจเข้าได้อย่างปลอดโปร่ง
เมื่อถูกถามว่ากิจกรรมดังกล่าวให้แง่คิดอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน หลายคนให้ความเห็นว่า ในชีวิตจริงนั้นเรามีความสุขที่ได้อยู่บ้าน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงานก็ตาม ก็ไม่สบายเท่ากับเวลาอยู่บ้าน แต่คนเราไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอด บางครั้งก็ต้องออกไปนอกบ้าน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเหินห่างจากความสุขที่เคยมี
ความสุขของคนเรายังอยู่ที่ได้ใกล้ชิดใครบางคน ได้พบปะพูดคุยแล้วมีความสบายใจ แต่เมื่อใดที่อยู่ห่างไกลเขาก็จะมีความทุกข์มาแทนที่ ทำให้อยากเข้าหาเขาอยู่เสมอ แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่เคยอยู่นิ่งเลย ถ้าอยากอยู่ใกล้เขาก็ต้องไล่ตามหาเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้เหน็ดเหนื่อย
ทุกคนพูดตรงกันว่า ถ้าหากทุกที่เป็นบ้านดังกิจกรรมช่วงที่สาม จะรู้สึกโปร่งโล่ง เบาสบาย มีความสุข จะไปไหนหรืออยู่ที่ไหน ก็ไม่อึดอัดคับข้อง เมื่อถามว่าทุกหนแห่งจะเป็นบ้านของเราได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องทำใจให้เป็นบ้าน หรือให้บ้านย้ายมาอยู่ที่ใจ
ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ คนที่เราพึ่งพิงทางใจนั้น เขาเองก็พึ่งพิงคนอื่นหรือสิ่งอื่นอีกต่อหนึ่ง ดังกิจกรรมข้างต้น ก.เลือก ข. เป็นบ้าน ส่วน ข.กลับเลือก ค. เวลา ข.เดินเข้าหา ค. ก.ก็ต้องขยับตาม ข. เป็นเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน และเป็นเช่นนี้กันทุกคน จึงกลายเป็นการไล่ตามซึ่งกันและกันทั้งห้อง
ทุกวันนี้ผู้คนเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามความสุข เพราะหวังความสุขจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าเป็นสถานที่ บุคคล หรือวัตถุ แต่ความจริงที่ผู้คนมองข้ามไปก็คือ สิ่งเหล่านั้นหาได้เป็นอิสระในตัวเองไม่ แต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น ๆ เป็นทอด ๆ
การเอาความสุขของเราไปผูกติดกับสิ่งใด ๆ ก็ตามจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระ หรือเที่ยงแท้ยั่งยืน พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นอนัตตา ดังนั้นจึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มิอาจเป็นไปดังใจได้
การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนแปรปรวนอย่างใด
เราจะไม่มัวคาดหวังสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นดั่งใจ เพราะรู้ว่ามันไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งต่าง ๆ หากยังพร้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลโดยทำตามเหตุปัจจัย มิใช่เพราะความยึดติดถือมั่นอยากให้เป็นตามใจปรารถนา
ความสุขที่แท้อยู่ที่การพึ่งตน ซึ่งที่จริงก็คือการพึ่งธรรม ดำเนินชีวิตตามธรรมและอย่างถูกธรรมนั่นเอง
พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/article/secret255507.htm
ภาพ sodahead.com
ที่พึ่งพิงของชีวิต
ที่พึ่งพิงของชีวิต
ในระหว่างการอบรมคราวหนึ่ง วิทยากรให้ทุกคนเดินสบาย ๆ ไปทั่วห้อง แล้วเลือกจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกใจ จากนั้นให้สมมติว่าตรงนั้นเป็น “บ้าน” ของตน ยืนเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้นสักพัก หายใจเข้าหายใจออกสบาย ๆ
ทีนี้ให้ทุกคนออกไปเดินเที่ยวรอบห้อง แต่มีข้อแม้ว่า ระหว่างที่เดิน ให้หายใจออกได้อย่างเดียว ห้ามหายใจเข้า จะหายใจเข้าได้ต่อเมื่อกลับมายัง “บ้าน” ของตนเท่านั้น
ผ่านไป ๓ นาที เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ให้ทุกคนมองหน้าเพื่อนที่อยู่ในห้อง เลือกคนที่รู้สึกประทับใจเพียงคนเดียว (โดยที่เขาไม่รู้ตัว) แล้วสมมุติว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาเป็น “บ้าน”ของตน เป็นจุดที่แต่ละคนสามารถหายใจเข้าหายใจออกได้ตามสบายเมื่อได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อใดที่ออกไปเที่ยว เดินเล่นรอบห้อง ก็ต้องงดหายใจเข้า หายใจออกได้อย่างเดียว จนกว่าจะกลับมาที่ “บ้าน”ของตน จึงจะหายใจเข้าออกได้ตามปกติ
ผ่านไป ๓ นาที ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย ทีนี้ให้ทุกคนสมมติว่าทุกที่เป็นบ้านของตน ไม่ว่าอยู่ตรงไหน หรือเดินไปไหนก็สามารถหายใจเข้า-ออกได้ตลอดตามต้องการ
เมื่อทำกิจกรรมดังกล่าวเสร็จ ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าช่วงแรกนั้นรู้สึกอึดอัดเวลาก้าวออกจากจุดที่สมมติว่าเป็น “บ้าน” จะไปไหนก็ไปได้ไม่นาน ต่อเมื่อกลับมา “บ้าน”จึงรู้สึกสบาย
สำหรับช่วงที่สองนั้นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเพราะคนที่หมายตาไว้ในใจนั้น ไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่จะเดินไปทั่วห้อง ดังนั้นจึงต้องคอยไล่ตามอยู่เสมอ เพื่อจะได้หายใจเข้าได้อย่างปลอดโปร่ง
เมื่อถูกถามว่ากิจกรรมดังกล่าวให้แง่คิดอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน หลายคนให้ความเห็นว่า ในชีวิตจริงนั้นเรามีความสุขที่ได้อยู่บ้าน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงานก็ตาม ก็ไม่สบายเท่ากับเวลาอยู่บ้าน แต่คนเราไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอด บางครั้งก็ต้องออกไปนอกบ้าน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเหินห่างจากความสุขที่เคยมี
ความสุขของคนเรายังอยู่ที่ได้ใกล้ชิดใครบางคน ได้พบปะพูดคุยแล้วมีความสบายใจ แต่เมื่อใดที่อยู่ห่างไกลเขาก็จะมีความทุกข์มาแทนที่ ทำให้อยากเข้าหาเขาอยู่เสมอ แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่เคยอยู่นิ่งเลย ถ้าอยากอยู่ใกล้เขาก็ต้องไล่ตามหาเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้เหน็ดเหนื่อย
ทุกคนพูดตรงกันว่า ถ้าหากทุกที่เป็นบ้านดังกิจกรรมช่วงที่สาม จะรู้สึกโปร่งโล่ง เบาสบาย มีความสุข จะไปไหนหรืออยู่ที่ไหน ก็ไม่อึดอัดคับข้อง เมื่อถามว่าทุกหนแห่งจะเป็นบ้านของเราได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องทำใจให้เป็นบ้าน หรือให้บ้านย้ายมาอยู่ที่ใจ
ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ คนที่เราพึ่งพิงทางใจนั้น เขาเองก็พึ่งพิงคนอื่นหรือสิ่งอื่นอีกต่อหนึ่ง ดังกิจกรรมข้างต้น ก.เลือก ข. เป็นบ้าน ส่วน ข.กลับเลือก ค. เวลา ข.เดินเข้าหา ค. ก.ก็ต้องขยับตาม ข. เป็นเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน และเป็นเช่นนี้กันทุกคน จึงกลายเป็นการไล่ตามซึ่งกันและกันทั้งห้อง
ทุกวันนี้ผู้คนเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามความสุข เพราะหวังความสุขจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าเป็นสถานที่ บุคคล หรือวัตถุ แต่ความจริงที่ผู้คนมองข้ามไปก็คือ สิ่งเหล่านั้นหาได้เป็นอิสระในตัวเองไม่ แต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น ๆ เป็นทอด ๆ
การเอาความสุขของเราไปผูกติดกับสิ่งใด ๆ ก็ตามจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระ หรือเที่ยงแท้ยั่งยืน พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นอนัตตา ดังนั้นจึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มิอาจเป็นไปดังใจได้
การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนแปรปรวนอย่างใด
เราจะไม่มัวคาดหวังสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นดั่งใจ เพราะรู้ว่ามันไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งต่าง ๆ หากยังพร้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลโดยทำตามเหตุปัจจัย มิใช่เพราะความยึดติดถือมั่นอยากให้เป็นตามใจปรารถนา
ความสุขที่แท้อยู่ที่การพึ่งตน ซึ่งที่จริงก็คือการพึ่งธรรม ดำเนินชีวิตตามธรรมและอย่างถูกธรรมนั่นเอง
พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/article/secret255507.htm
ภาพ sodahead.com