เกริ่นก่อนนะครับ ผมแค่ไม่อยากรู้สึกอิจฉาบุคคลที่ทำไม่ดีแล้วได้อำนาจได้เงิน แต่ช่วงท้ายของชีวิตก็ได้ไปภพภูมิที่ดี ช่วยปรับทัศนคติผมด้วยนะครับ
นิยาม บุคคลผู้กระทำผิด/ทำเลว/ทุจริต/เบียดเบียนผู้อื่น ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่กระทำความผิดทุจริตต่างๆ จนทำให้ตนได้เป็นผู้มีอำนาจ จนผู้อื่นเกรงใจไม่กล้าจะเอาผิดหรือเพราะกลัวว่าตนจะเดือดร้อนภายหลังจากบรรดาอำนาจที่เขามี
ระบบกรรม ไม่มีความยุติธรรมในทางโลกใช่หรือไม่
เนื่องจากตัวผมเองได้ฟังธรรมผ่านทางyoutube "พุทธวจน ของวัดนาป่าพง" และสรุปได้ใจความหนึ่งว่า ในช่วงเวลาใกล้ตาย หากเราละทิ้งทุกอย่างแล้วอยู่กับลมหายใจได้ พอเวลาเราตายเราก็จะไปสุขคติภูมิ(ขอสรุปว่าเป็นทางที่ดี) + กับอีกเรื่องเช่นเรื่องของ พระองคุลิมาลเถระ ที่ไล่ฆ่าคนแต่สุดท้ายก็ถึงนิพานได้
ทำให้ตัวผมเกิดคำถามที่ว่า
หากเราทำเลว เช่น ทุจริต หรือ เบียดเบียนผู้อื่น มามากเพียงใดแต่ถ้าก่อนตายเราพึ่งพุทธวจนได้ เราก็ไปภพภูมิที่ดีได้ เช่นนี้แล้วผู้คนที่ต้องสูญเสียจากการที่ครอบครัวโดนฆ่า หรือโดนทุจริต ก็ต้องอยู่กับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นนะสิครับ เพราะว่า ส่วนใหญ่ผู้คนที่ทุจริต จะมีชีวิตที่ดีกว่าผู้คนที่โดนกระทำ เช่น รวยกว่า เข้าถึงผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆได้ดีกว่า / มีเงินทำบุญมากๆ / มีบุคคลเกรงใจ / มีอำนาจ แต่ผู้คนที่โดนกระทำเช่นเครือญาติ พ่อ แม่ พี่น้อง ลูก ต่างต้องตกอยู่ในทุกข์คือ เศร้า เสียใจ และเคียดแค้น ที่หวังว่าสักวันหนึ่งผู้กระทำจะได้รับโทษจากสิ่งที่เขากระทำ แต่หากผู้กระทำผิดรู้ถึงพุทธวจน เขาก็รอดพ้นไปเฉยๆได้นิครับ แล้วแบบนี้มันจะยุติธรรมแก่ผู้คนที่โดนกระทำได้อย่างไรเพราะผู้กระทำความผิดไม่ต้องโดนรับโทษใดๆเพราะมีพุทธวจนช่วยไว้
กระผมเข้าใจว่า ตนเป็นพี่พึ่งแห่งตน หากตนโกรธเองตนก็จะไปภพภูมิที่ไม่ดี
แต่ในคำถามที่กระผมสงสัยก็คือ คำถามในตัวบุคคลผู้กระทำการทุจริตหรือเบียดเบียนผู้อื่นแล้วทำให้ชีวิตของตนมีความสุขสบายโดยเฉพาะบุคคลที่มีอำนาจ พวกเขาไม่ต้องรับผิดใดๆเลยหรือ ถ้าหากพวกเขาเข้าถึงพุทธวจนด้วยแล้วในตอนท้าย เช่นนี้ หากทำเลวในตอนช่วงกลางของชีวิต เพื่อสะสมเงินทองบารมี แล้วมาฟังพุทธวจนตอนใกล้ตาย แบบนี้ถือว่าใช้ชีวิตได้คุ้มที่สุดแล้วหรือป่าวครับ เพราะช่วงกลางของชีวิตมีทั้งเงินและอำนาจ และช่วงท้ายก็ได้ไปภพภูมิที่ดี
หวังว่าทุกคนจะเข้าใจคำถามของผมนะครับ และช่วยอธิบายธรรมที่เกี่ยวข้องพอให้ผมเข้าใจหน่อยสิครับ ผมไม่อยากอิจฉาบุคคลเหล่านั้น บุคคลที่ทุจริตแล้วมีอำนาจ แต่สุดท้ายเขากลับไปสุขคติภูมิ
(พุทธวจน) ระบบกรรม ไม่มีความยุติธรรมในทางโลกใช่หรือไม่
นิยาม บุคคลผู้กระทำผิด/ทำเลว/ทุจริต/เบียดเบียนผู้อื่น ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่กระทำความผิดทุจริตต่างๆ จนทำให้ตนได้เป็นผู้มีอำนาจ จนผู้อื่นเกรงใจไม่กล้าจะเอาผิดหรือเพราะกลัวว่าตนจะเดือดร้อนภายหลังจากบรรดาอำนาจที่เขามี
ระบบกรรม ไม่มีความยุติธรรมในทางโลกใช่หรือไม่
เนื่องจากตัวผมเองได้ฟังธรรมผ่านทางyoutube "พุทธวจน ของวัดนาป่าพง" และสรุปได้ใจความหนึ่งว่า ในช่วงเวลาใกล้ตาย หากเราละทิ้งทุกอย่างแล้วอยู่กับลมหายใจได้ พอเวลาเราตายเราก็จะไปสุขคติภูมิ(ขอสรุปว่าเป็นทางที่ดี) + กับอีกเรื่องเช่นเรื่องของ พระองคุลิมาลเถระ ที่ไล่ฆ่าคนแต่สุดท้ายก็ถึงนิพานได้
ทำให้ตัวผมเกิดคำถามที่ว่า
หากเราทำเลว เช่น ทุจริต หรือ เบียดเบียนผู้อื่น มามากเพียงใดแต่ถ้าก่อนตายเราพึ่งพุทธวจนได้ เราก็ไปภพภูมิที่ดีได้ เช่นนี้แล้วผู้คนที่ต้องสูญเสียจากการที่ครอบครัวโดนฆ่า หรือโดนทุจริต ก็ต้องอยู่กับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นนะสิครับ เพราะว่า ส่วนใหญ่ผู้คนที่ทุจริต จะมีชีวิตที่ดีกว่าผู้คนที่โดนกระทำ เช่น รวยกว่า เข้าถึงผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆได้ดีกว่า / มีเงินทำบุญมากๆ / มีบุคคลเกรงใจ / มีอำนาจ แต่ผู้คนที่โดนกระทำเช่นเครือญาติ พ่อ แม่ พี่น้อง ลูก ต่างต้องตกอยู่ในทุกข์คือ เศร้า เสียใจ และเคียดแค้น ที่หวังว่าสักวันหนึ่งผู้กระทำจะได้รับโทษจากสิ่งที่เขากระทำ แต่หากผู้กระทำผิดรู้ถึงพุทธวจน เขาก็รอดพ้นไปเฉยๆได้นิครับ แล้วแบบนี้มันจะยุติธรรมแก่ผู้คนที่โดนกระทำได้อย่างไรเพราะผู้กระทำความผิดไม่ต้องโดนรับโทษใดๆเพราะมีพุทธวจนช่วยไว้
กระผมเข้าใจว่า ตนเป็นพี่พึ่งแห่งตน หากตนโกรธเองตนก็จะไปภพภูมิที่ไม่ดี
แต่ในคำถามที่กระผมสงสัยก็คือ คำถามในตัวบุคคลผู้กระทำการทุจริตหรือเบียดเบียนผู้อื่นแล้วทำให้ชีวิตของตนมีความสุขสบายโดยเฉพาะบุคคลที่มีอำนาจ พวกเขาไม่ต้องรับผิดใดๆเลยหรือ ถ้าหากพวกเขาเข้าถึงพุทธวจนด้วยแล้วในตอนท้าย เช่นนี้ หากทำเลวในตอนช่วงกลางของชีวิต เพื่อสะสมเงินทองบารมี แล้วมาฟังพุทธวจนตอนใกล้ตาย แบบนี้ถือว่าใช้ชีวิตได้คุ้มที่สุดแล้วหรือป่าวครับ เพราะช่วงกลางของชีวิตมีทั้งเงินและอำนาจ และช่วงท้ายก็ได้ไปภพภูมิที่ดี
หวังว่าทุกคนจะเข้าใจคำถามของผมนะครับ และช่วยอธิบายธรรมที่เกี่ยวข้องพอให้ผมเข้าใจหน่อยสิครับ ผมไม่อยากอิจฉาบุคคลเหล่านั้น บุคคลที่ทุจริตแล้วมีอำนาจ แต่สุดท้ายเขากลับไปสุขคติภูมิ