ครั้นล่วงเข้าเวลามัชฌิมยามสมัย ก็ทรงสำเร็จตรัสรู้ในทิพยจักษุญาณ จึงมีคำปุจฉาว่าตรัสรู้เป็นดังฤๅ? วิสัชนาว่า พระองค์ได้ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ดุจเป็นทิพย์ล่วงเสียซึ่งจักษุแห่งมนุษย์ เห็นซึ่งสัตว์ทั้งหลายแลบังเกิดในที่ต่ำช้าแลประณีต มีพรรณอันชั่วแลดี ถึงซึ่งทุคติแลสุคติ อันควรแก่กุศลแลอกุศลของสัตว์จำพวกใดๆ ก็เห็นประจักษ์แจ้งตลอดทั่วไป ในประเทศคติแห่งสัตว์โลกนั้นจำพวกนั้นๆ ทั้งสิ้นว่า สัตว์ทั้งหลายจำพวกนี้ประกอบไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตกรรมแลกล่าวอริยุปวาทเป็นมิจฉาทิฐิแลสมาทานซึ่งมิจฉาทิฐิกรรม ทำลายเบญจขันธ์เบื้องหน้าแต่จุติจิตไปบังเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔
       เเค่มีคำถามว่า ท่านใดในที่นี้มี หรือ รู้จัก เเล้วเชื่อถือ ผู้ที่ สามารถเห็น ภพภูมิอื่น โลกทิพย์ หรือ โอปปาติกะ ได้บ้าง ไม่ต้องเปิดเผยตัวเองก็ได้เดี๋ยวจะกลายเป็นอวดอุตริ เพื่อเป็นประโยชน์ เป็นวิทยาทาน เเด่ผู้ปฏิบัติมาทางนี้ แม้จะยังไม่ใช่เครื่องมือ ทางตรง ให้ออกจากทุกข์ก็ตาม  ให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังใจเต็ม ในการพิสูจน์ตามหลักธรรมคำสอน  
       เช่น ข้าพเจ้า มีบุคคลในครอบครัวอยู่ร่วมกันทุกวัน ที่สามารถ เห็น โอปปาติกะ เห็น ว่าการตายเเล้วไม่สูญ โดยจะมีภาพ ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากสมองส่วนใน ไม่ใช่มองด้วยดวงตาปกติ เป็นทักษะที่สามารถ ปฏิบัติ เเละพัฒนาให้เชื่อถือได้ว่า ทิพยจักษุญาณในพุทธศาสนานี้เป็นของจริงพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง