ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก
เหล่านี้ มีอยู่หาได้อยู่ ในโลก.
เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ :
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๑) บุคคล จมน้ำคราวเดียวแล้วก็
จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วย
อกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว.
อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึง
จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. แต่ว่าสัทธา
เป็นต้นของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๓) บุคคล ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ สัทธา
เป็นต้นของเขาไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่.
อย่างนี้แลเรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๔) บุคคล ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็น โสดาบัน มีความไม่
ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการ
ตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบาง
แห่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นสกิทาคามี มาสู่โลกนี้อีก
เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๖) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามา
ถึงที่ตื้นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า เป็น โอปปาติกะ
(อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจาก
โลกนั้นเป็นธรรมดา.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๗) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้าม
ขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น ได้
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
(พระอรหันต์) เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่. อย่างนี้แล
เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เหล่านี้แล บุคคลเปรียบด้วยบุคคล
ตกน้ำเจ็ดจำพวก ซึ่งมีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.
คนตกน้ำ ๗ จำพวก(ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์)
เหล่านี้ มีอยู่หาได้อยู่ ในโลก.
เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ :
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๑) บุคคล จมน้ำคราวเดียวแล้วก็
จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วย
อกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว.
อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึง
จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. แต่ว่าสัทธา
เป็นต้นของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๓) บุคคล ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ สัทธา
เป็นต้นของเขาไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่.
อย่างนี้แลเรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๔) บุคคล ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็น โสดาบัน มีความไม่
ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการ
ตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบาง
แห่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นสกิทาคามี มาสู่โลกนี้อีก
เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๖) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามา
ถึงที่ตื้นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น
เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า เป็น โอปปาติกะ
(อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจาก
โลกนั้นเป็นธรรมดา.
อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! (๗) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้าม
ขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี - มีโอตตัปปะดี -
มีวิริยะดี - มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น ได้
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
(พระอรหันต์) เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่. อย่างนี้แล
เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เหล่านี้แล บุคคลเปรียบด้วยบุคคล
ตกน้ำเจ็ดจำพวก ซึ่งมีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.